

รู้จักเทรนด์ ‘Slow Reading’ แนะนำ 7 หนังสือคลาสสิกที่ยิ่งอ่านช้ายิ่งตราตรึงใจ
Art & Culture / Entertainment
08 Apr 2025 - 6 mins read
Art & Culture / Entertainment
SHARE
08 Apr 2025 - 6 mins read
โลกที่หมุนไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ ‘การอ่าน’ ต้องเร็วตามไปด้วย
สำหรับนักอ่าน ในหนึ่งปี หนึ่งเดือน หรือแม้แต่หนึ่งสัปดาห์ เรามักจะคอยนับว่าอ่านหนังสือไปแล้วกี่เล่ม เราอ่านหนังสือน้อยไปหรือเปล่า ? แต่บางครั้งในปริมาณที่มากมายนั้นกลับทำให้เราจำเรื่องราวแทบไม่ได้เลย
LIVE TO LIFE ขอชวนทุกคนมารู้จัก ‘Slow Reading’ มูฟเมนต์ทวนโลกที่กำลังหมุนไว ที่อยากให้ทุกคนอ่านหนังสืออย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้หนังสือเล่มนั้นมีความหมายและตราตรึงอยู่ในใจของเราไปนานแสนนาน
จุดเริ่มต้นของมูฟเมนต์ Slow Reading
วลีที่บอกว่า ‘คนไทยอ่านหนังสือวันละไม่เกิน 8 บรรทัด’ คงไม่จริงเสมอไปเพราะในโลกดิจิทัลนั้น ข้อมูลต่าง ๆ หลั่งไหลราวกับสายน้ำ แค่เรื่องดราม่าบน Facebook ก็มีให้อ่านได้แบบไม่จบ ไม่สิ้น
‘ข้อมูล’ มหาศาลที่พร้อมเสิร์ฟบนหน้าจอ ทำให้เราอ่านในปริมาณที่มากขึ้นและยัง ‘เร็วขึ้น’ อย่างไม่ทันได้รู้ตัวอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นความเปลี่ยนแปลงระดับชีววิทยาที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ยุคดิจิทัลเลยทีเดียว
ยิ่งไปกว่านั้นโลกหลังยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมก็ยิ่งตอกย้ำให้เราใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบ เราต้องทำทุกอย่างให้มีประสิทธิภาพโดยใช้เวลาน้อยที่สุด เช่นเดียวกับการอ่าน เราก็ให้คุณค่ากับการอ่านอย่างรวดเร็วและอ่านหนังสือจำนวนมาก ราวกับเป็นเครื่องจักรที่ต้องผลิตสินค้าจำนวนมหาศาลอย่างไม่หยุดหย่อน
ความรวดเร็วที่ว่านี้กัดกินไปทุกวงการ จนมาถึงจุดหนึ่งผู้คนก็เริ่มโหยหาชีวิตแบบค่อยเป็นค่อยไป อย่างที่เคยเป็นมา และในช่วงเวลานั้นก็ทำให้เกิดขบวนการ ‘Slow Reading’ ขึ้นด้วยเช่นกัน
คำนี้ปรากฏขึ้นครั้งแรก ๆ ในงานเขียนของ ฟรีดริช นีตซ์เช ในหนังสือเรื่อง Daybreak (1881) ใจความว่า
“ภาษาศาสตร์นั้นไม่ต้องการความรีบเร่ง ‘ทำให้ทุกอย่างเสร็จ’ มันสอนให้รู้จักอ่านให้ดี ซึ่งหมายถึงอ่านอย่างช้า ๆ ลึกซึ้ง ตั้งใจ มีสติ อ่านด้วยความคิดภายใน อ่านด้วยใจที่เปิดกว้าง อ่านด้วยนิ้วมือและสายตาที่บอบบาง เพื่อนรักของฉัน หนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับผู้อ่านและนักภาษาศาสตร์ที่เชี่ยวชาญเท่านั้น เรียนรู้ที่จะอ่านให้ดีล่ะ !”
ในปี 2008 ไอ. อเล็กซานเดอร์ โอลโชวสกี้ (I. Alexander Olchowski) นักเขียนนิยายชาวอเมริกันก็ได้ก่อตั้งขบวนการ Slow Book Movement เพื่อชวนให้คนอ่านหนังสืออย่างช้า ๆ สวนกระแสโลกที่ดิจิทัลที่หมุนไปอย่างรวดเร็ว
อ่านเร็วไม่ดีตรงไหน ?
ทำไมถึงควรอ่านหนังสือช้า ๆ
‘การอ่านเร็ว’ และ ‘อ่านช้า’ ตอบโจทย์เป้าหมายที่แตกต่างกัน
การอ่านเร็ว ประมาณ 600-700 คำต่อนาที ช่วยให้มองเห็นภาพรวมของหนังสือและสอนให้เรารู้จักเลือกเก็บเฉพาะข้อมูลที่จำเป็น ถ้าต้องนำไปทำงาน สอบ หรือเรียน วิธีนี้นับว่าได้ผลดี อีกทั้งยังประหยัดเวลาอีกด้วย แต่ในขณะเดียวกันการอ่านเร็วทำให้เรามักจะพลาดรายละเอียดสำคัญ ๆ ของเนื้อหาไป
หากคุณค่าของการอ่านคือความเข้าใจ ‘การอ่านช้า ๆ ’ จะให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างออกไป
เมื่อสายตามองเห็นตัวหนังสือ สมองจะแปลความหมายโดยอัตโนมัติ แต่กระบวนการอ่านยังไม่ได้จบแค่นั้น เพราะขั้นตอนต่อไปคือการทำความเข้าใจความหมายและสัญญะต่าง ๆ ซึ่งผู้อ่านต้องอาศัยการตีความจากบริบทในเรื่อง จากประสบการณ์ของตัวละคร รวมถึงประสบการณ์ของตัวผู้อ่านเองด้วยเช่นกัน
การอ่านเร็วมาก ๆ อาจทำให้เราข้ามกระบวนการนี้ไป กล่าวคือไม่ทันได้คิดตามหรือมีเวลาจินตนาการถึงสิ่งที่เกิดขึ้นที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อ
ยกตัวอย่างเนื้อหาส่วนหนึ่งจากวรรณกรรมเรื่อง ‘เจ้าชายน้อย’ โดย อองตวน เดอ แซงเตก-ซูเปรี
“ฉันเป็นเพียงสุนัขป่าธรรมดา ๆ ตัวหนึ่งเหมือนสุนัขป่าอื่น ๆ ทว่า ถ้าเมื่อใดเธอคุ้นเคยใกล้ชิดกับฉัน เมื่อนั้นเราก็ต่างต้องการซึ่งกันและกัน เธอก็จะเป็นเด็กคนเดียวในโลกสำหรับฉัน และฉันก็จะเป็นสุนัขป่าตัวเดียวในโลกสำหรับเธอด้วย”
อ่านจบในเสี้ยววินาทีแรก เราต่างก็รับรู้ได้ว่าหมาป่าพูดอะไรกับเจ้าชายน้อย แต่หากใช้เวลาค่อย ๆ ตีความอีกนิด เราจะมองเห็นใจความที่ซ่อนอยู่ระหว่างบรรทัด บ่งบอกถึงความสัมพันธ์ที่ค่อย ๆ แน่นแฟ้นขึ้นของทั้งสองตัวละคร
ฝึกอ่านช้าทำอย่างไร ?
สำหรับคนที่เชี่ยวชาญการอ่าน การอ่านไวไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเราเคยชินและทำอยู่ทุกวัน การลด Speed มาช้าจึงถือว่าเป็นเรื่องที่ท้าทายไม่น้อย
คาร์ล นิวพอร์ต (Cal Newport) เขียนไว้ในหนังสือ Slow Productivity ว่าด้วยกฏแห่งความช้า โดยหานำมาประยุกต์กับการอ่านให้ช้าลง ต้องจดจำ 3 ข้อนี้ไว้ให้ดี ได้แก่
1.เน้นคุณภาพ อ่านให้เข้าใจเรื่องราว
2.เลิกนับจำนวนเล่มหนังสือ
3.จดจำไว้เสมอว่า ‘ความเร็ว’ แปรผกผันกับ ‘ความเข้าใจ’ เมื่อได้อย่างก็ต้องเสียอย่าง
สิ่งสำคัญในการฝึกอ่านช้านั้นคือต้อง มี ‘สติ’ รู้ตัวอยู่ตลอดเวลา ไม่ให้ตัวเองอ่านเร็วเกินไป หากวัดเป็นตัวอักษร คือ ไม่ควรเกิน 250 คำต่อนาที อาจเริ่มจากการกลับไปฝึกอ่านออกเสียงเหมือนครั้งยังเด็กประถม เพื่อเรียกสติและชินกับอัตราความเร็วที่พอดี
ไม่อ่านมากจนเกินไป ใช้เวลาแค่ 30 นาทีต่อวัน อาจจะดูเหมือนน้อย แต่หากคำนวณจากจำนวนหน้าหนังสือโดยเฉลี่ยแล้ว วิธีนี้ก็ยังทำให้เราอ่านหนังสือจบได้ในเวลาไม่นาน และเป็นความ Productive ที่ไม่ต้องเร่งรีบอีกด้วย
และข้อสุดท้ายคือ เลือกหนังสือที่เหมาะกับการอ่านช้า ๆ ประเภทที่ยังไม่แนะนำหากยังคงอ่านเร็วเป็นประจำคือ หมวดระทึกขวัญ สืบสวน สอบสวน ที่ชวนให้อยากรู้เฉลยไว ๆ หากฝึกอ่านช้าอาจยิ่งทำให้หงุดหงิดได้ง่าย
หนังสือที่แนะนำคือ หมวดวรรณกรรมคลาสสิกทั้งหลาย ที่มีเนื้อเรื่องไม่หวือหวา แต่กลับถ่ายทอดชีวิต ประสบการณ์ และความรู้สึกนึกคิดของตัวละครออกมาได้อย่างละเอียดลออ นักประสาทวิทยายังค้นพบอีกว่าการอ่านวรรณกรรมหรือนิยายจะช่วยกระตุ้นสมองที่ใช้ในการตีความและเพิ่มทักษะทางสังคมได้เป็นอย่างดี LIVE TO LIFE จึงอยากแนะนำวรรณกรรมคลาสสิกตลอดกาล 7 เรื่องที่ควรค่าแก่การอ่านแบบค่อยเป็นค่อยไป
ขุมทรัพย์สุดปลายฝัน
The Alchemist (1988)
Paulo Coelho
"เมื่อคุณต้องการสิ่งใด ทั้งจักรวาลจะร่วมมือกันเพื่อช่วยให้คุณได้สิ่งนั้น"
ซานติอาโก เป็นเด็กเลี้ยงแกะจากแคว้นอันดาลูเซีย ผู้ฝันถึงขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ในพีระมิดอียิปต์ เมื่อฝันแบบนั้น เขาจึงตัดสินใจออกเดินทางไปตามหาขุมทรัพย์นั้นทันที ระหว่างทางเขาพบกับผู้คนมากมาย ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ พ่อค้าแก้ว นักเล่นแร่แปรธาตุ ได้ไปใช้ชีวิตอยู่ในกองทัพ เฉียดตาย และผ่านอุปสรรคมามากมาย ไม่ว่าจะพบเจออะไรเขาก็ยังเชื่อมั่นในความฝันนั้นและคอยฟังสิ่งที่จักรวาลกระซิบบอกเสมอจนพาไปพบกับ ‘ขุมทรัพย์’ ที่ล้ำค่า
สาวทรงสเน่ห์
Pride and Prejudice (1813)
Jane Austen
“ฉันเพียงตั้งใจใช้ชีวิตในแบบที่คิดว่าจะนำมาซึ่งความสุขของฉันเอง
โดยไม่ทำตามคุณหรือใครก็ตามที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับฉัน”
เรื่องราวในยุค Regency (ช่วงระหว่างปี 1795 ถึง 1837) ของ เอลิซาเบธ เบนเน็ต พี่คนโตในบรรดาพี่น้องผู้หญิง 5 คนของตระกูลเบนเน็ต เมื่อครอบครัวไม่มีผู้ชาย ลูกสาวทุกคนจึงจำเป็นต้องแต่งงานเพื่อให้สามีเป็นผู้สืบทอดมรดกของครอบครัว
เอลิซาเบธเป็นคนดื้อรั้น เฉลียวฉลาด และพยายามจะเอาชนะค่านิยมทางสังคมที่มีต่อผู้หญิงในสมัยนั้น เธอได้พบกับ มิสเตอร์ดาร์ซี ชายหนุ่มผู้เย่อหยิ่ง เริ่มแรกทั้งคู่ไม่ค่อยถูกกันมากนัก เอลิซาเบธมีอคติต่อดาร์ซีมากมาย แต่เมื่อเวลาผ่านไปดาร์ซีก็เริ่มเกิดความรู้สึกพิเศษต่อเอลิซาเบธ ทั้งสองต่างเรียนรู้ที่จะเข้าใจกันจนได้พบกับความรักที่แท้จริงในที่สุด
ผู้บริสุทธิ์
To Kill A Mockingbird (1960)
Harper Lee
“นกม็อกกิ้งเบิร์ดไม่กินพืชผักในสวน ไม่ทำรังในยุ้งข้าว
พวกมันไม่ทำอะไรเลยนอกจากขับขานเพลงจากหัวใจให้พวกเราฟัง
นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมการฆ่านกม็อกกิ้งเบิร์ดถึงเป็นบาป”
ในปี 1930 สเกาต์ ฟินช์ เด็กหญิงวัย 6 ปี อาศัยอยู่กับ เจเรมี ผู้เป็นพี่ชาย และ แอตติคัส ฟินช์ พ่อผู้เป็นทนายความ ในเมืองเมย์คอมบ์ รัฐอลาบามาทางตอนใต้ของสหรัฐฯ วันหนึ่งพ่อของเธอต้องว่าความให้กับ ทอม โรบินสัน ชายผิวสีที่ถูกกล่าวหาว่าข่มขืนหญิงผิวขาว แม้หลักฐานทุกอย่างจะบ่งชี้ว่าเขาบริสุทธิ์ แต่อคติทางเชื้อชาติในยุคนั้นกลับพยายามทำให้ทอมมีความผิดให้ได้
เรื่องราวทั้งหมดถูกเล่าผ่านมุมมองแบบเด็ก ๆ ของสเกาต์ ที่ชวนให้ตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องเชื้อชาติและความยุติธรรมอย่างใสซื่อ บริสุทธิ์
ในสวนลับ
The Secret Garden (1911)
Frances Hodgson Burnett
“สวนลับผลิบานและก็ผลิบาน ทุก ๆ เช้าจะเผยให้เห็นปาฏิหาริย์ใหม่ ๆ เสมอ”
เมื่อพ่อและแม่จากไปเพราะโรคระบาดอย่างกะทันหัน แมรี่ เลนน็อกซ์ เด็กหญิงชาวอังกฤษที่เติบโตในอินเดีย จึงถูกส่งไปอยู่กับคุณลุงที่คฤหาสน์ในชนบทของอังกฤษ เธอรู้สึกโดดเดี่ยวและเบื่อหน่ายมาเสมอ จนกระทั่งได้พบกับ ดิกคอน เด็กชายผู้รักธรรมชาติ และ โคลิน ลูกชายของลุงที่ป่วยกระเสาะกระแสะตลอดเวลาและถูกซ่อนตัวเอาไว้ในห้องไม่ให้ไปพบกับโลกภายนอก
วันหนึ่งแมรี่ค้นพบ ‘สวนลับ’ รกร้างในคฤหาสน์ เด็ก ๆ ทั้งสามจึงช่วยกันฟื้นคืนชีพสวนแห่งนั้นให้กลับมางดงามอีกครั้ง โคลินสุขภาพดีขึ้น แมรี่ไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป และในขณะเดียวกันมิตรภาพของพวกเขาก็ผลิบานตามไปด้วย
ร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว
One Hundred Years of Solitude (1967)
Gabriel García Márquez
“กาลเวลาไม่ได้ผ่านไป แต่มันหมุนวนเป็นวงกลม”
วรรณกรรมแนว ‘สัจนิยมมหัศจรรย์’ ว่าด้วยเรื่องราวของผู้คนหกรุ่นแห่ง ตระกูลบวนเดีย ที่อาศัยอยู่ในเมืองมากอนโด ที่มีจุดเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ก่อตั้งเมืองจนถึงคราวล่มสลาย
ทุกยุคสมัยมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมาย เช่น สงครามกลางเมือง ฝนที่ตกต่อเนื่องนานหลายปี การมาเยือนของบริษัทจากต่างชาติ หรือคำสาปที่สาปให้ทายาทรุ่นสุดท้ายของบวนเดียมีหางเป็นหมู ตลอดระยะเวลาตั้งแต่รุ่งเรืองจนล่มสลาย ตัวละครทุกรุ่นล้วนต้องเผชิญกับ ‘ความโดดเดี่ยว’ ในรูปแบบที่แตกต่างกันไป
เดเมียน
Demian (1919)
Hermann Hesse
“ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ของโลกมาบรรจบกันเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเรื่องราวของมนุษย์ทุกคนจึงสำคัญ เป็นนิรันดร์และศักดิ์สิทธิ์”
เอมิล ซินแคลร์ เป็นเด็กชายที่โตมาในครอบครัวที่เคร่งศาสนา เขามองเห็นโลกเป็นเพียง 2 ขั้วคือ โลกแห่งแสงสว่างและโลกแห่งความมืดมิด มองเห็นแค่ความดีและความชั่วเท่านั้น จนกระทั่งเขาได้พบกับ แมกซ์ เดเมียน เด็กหนุ่มลึกลับที่มาเปลี่ยนชีวิตของเขาไปตลอดกาล
เดเมียนมีความคิดที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ชวนให้ซินแคลร์ตั้งคำถามกับโลกเดิมที่เขาเคยอาศัยอยู่ และทำให้รู้จักกับ ‘อับราซาส’ เทพเจ้าที่มีทั้งความดีและความชั่ว หลังจากนั้นซินแคลร์ก็ได้ค้นพบตัวตนในโลกใบใหม่ เติบโตขึ้น และเจอเส้นทางของตัวเอง
โต๊ะโตะจัง เด็กหญิงข้างหน้าต่าง
Madogiwa no Totto-chan (1981)
Tetsuko Kuroyanagi
“มีดวงตาแต่มองไม่เห็นความงาม มีหูแต่ไม่ได้ยินเสียงดนตรี
มีปัญญาแต่ไม่รับรู้ความจริง มีหัวใจแต่ไม่เคยหวั่นไหวและเร่าร้อน
สิ่งเหล่านี้คือความน่ากลัว”
เรื่องนี้เป็นอัตชีวประวัติที่ เท็ตสึโกะ คุโระยานากิ นักแสดงและนักจัดรายการชาวญี่ปุ่นได้บันทึกเอาไว้ และเรียบเรียงออกมาเป็นวรรณกรรมเยาวชนน่าอ่าน
ตัวเอกคือ โต๊ะโตะจัง เด็กหญิงช่างเจรจาที่เพิ่งถูกไล่ออกจากโรงเรียนประถมมาหมาด ๆ เพราะชอบแหกกฎ ความขบถทำให้เธอพบกับโรงเรียนแห่งใหม่ที่ทำมาจากโบกี้รถไฟ และมีการสอนแปลกใหม่ ที่นี่ทำให้โต๊ะโตะจังได้เป็นตัวเอง มีความสุขกับการเรียน และทำให้วัยเด็กของเธอน่าจดจำ
เท็ตสึโกะได้ใช้จิตวิญญาณของความเป็นเด็กย้อนกลับไปเยือนวันงานของเธออีกครั้ง และถ่ายทอดออกมาเป็นเรื่องราวที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับใครหลาย ๆ คน
การอ่านหนังสือแบบค่อยเป็นค่อยไปอาจใช้เวลาสักเล็กน้อย แต่เชื่อว่าเป็นวิธีที่คุ้มค่าที่จะทำให้เราเห็นข้อความระหว่างบรรทัดและมุมมองใหม่ ๆ ในแบบที่การอ่านไวอาจให้ไม่ได้
อ้างอิง
- Benjamin Bergen. Reading Fast and Slow. https://bit.ly/3RrXpim
- Patrick Kingsley. The art of slow reading. https://bit.ly/3RAg37L
- W. Jason Niedermeyer. Maybe Aesop Was Right, the Tortoise Does Win: A Natural History of the Slow Reading Movement. https://bit.ly/41TVxVW