

นี่เราแก่หรือยัง ? รู้จัก Ageism อคติต่อช่วงวัยที่ทำให้ ‘อายุ’ ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลข
Art & Culture / Living Culture
06 Nov 2023 - 5 mins read
Art & Culture / Living Culture
SHARE
06 Nov 2023 - 5 mins read
เราแก่หรือยัง ?
เป็นคำถามง่าย ๆ ที่หลายคนอาจตอบยาก เพราะไม่มีคำเฉลยตายตัว อีกทั้งคำตอบเหล่านั้นจะขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน
หากคุณเป็นพนักงานออฟฟิศวัย 30 ปีหมาด ๆ คุณก็อาจจะตอบว่าตัวเองแก่แล้ว หรือแม้กระทั่งตอนเรียนอยู่ ป.4 ก็อาจจะตอบว่าแก่ได้เช่นกัน เพราะตอนนั้นมีสถานะเป็นพี่ของน้อง ป.3 แล้ว
ดังนั้นคำถามที่ว่า ‘นี่เราแก่หรือยัง ?’ นั้น ขึ้นอยู่ที่ว่าใช้เกณฑ์ใดเป็นตัวตั้ง ความรู้สึก? สังคม? หรือวิทยาศาสตร์? เราขอชวนทุกคนมาสำรวจเรื่องราวของ ‘อายุ’ ไปด้วยกัน และไม่แน่มันอาจจะเปลี่ยนคำตอบแรกที่อยู่ในใจไปเลยก็ได้
ความแก่คืออะไร ?
สถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐฯ (National Institutes of Health) และอีกหลายตำราได้แบ่งมนุษย์เราออกเป็น 5 ช่วงวัย คือ
- ทารกแรกเกิด (แรกเกิดถึง 1 เดือน)
- ทารก (1 เดือน - 1 ปี)
- เด็ก (1-12 ปี)
- วัยรุ่น (13-17 ปี)
- ผู้ใหญ่ (18 ปีขึ้นไป)
- ผู้สูงอายุ (65 ปีขึ้นไป)
เกณฑ์อายุนี้ทำให้เราสามารถระบุได้ ใครเป็นเด็ก ใครเป็นวัยรุ่น ใครเป็นผู้สูงอายุ ซึ่งในทางกฎหมายของแต่ละประเทศก็ใช้เกณฑ์นี้ในการกำหนดกฎเกณฑ์ต่าง ๆ อีกด้วย เช่น อายุ 18 ปี เข้าสู่วัยผู้ใหญ่สามารถทำใบขับขี่รถยนต์ได้ หรือผู้มีอายุ 60 ปี ต้องเกษียณจากงาน
แต่ในความเป็นจริงแล้ว เกณฑ์ที่ว่านี้กำลังเปลี่ยนไปตามยุคสมัย และแน่นอนว่ามันไม่สามารถตอบคำถามที่ว่า ‘เราแก่หรือยัง?’ ได้เลย
แล้ว ‘ความแก่’ คืออะไร?
งานวิจัยของ จอห์น โชเวน (John Shoven) ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ระบุว่า ความแก่หมายถึงโอกาสที่คุณจะเข้าใกล้กับความตายมากยิ่งขึ้น เช่น หากโอกาสที่คุณจะเสียชีวิตในปีหน้าคือ 2 เปอร์เซ็นต์และเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปี นั่นหมายความว่าคุณกำลังแก่ตัวลงเรื่อย ๆ ซึ่งเปอร์เซ็นต์ที่เพิ่มขึ้นมาจากการที่เซลส์ร่างกายที่เสื่อมสภาพลงในทางชีวภาพ
นั่นหมายความว่า ตัวเลขอายุของคุณบอกไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้คุณแก่และใกล้ความตายแล้วหรือยัง เพราะบ่อยครั้งที่อายุจริงก็สวนทางกับอายุเซลส์อย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากปัจจุบันผู้คนสามารถเข้าถึงวิทยาการทางแพทย์พัฒนาได้มากขึ้น สามารถรักษา ชะลอวัยให้เซลส์ยังคงสภาพดี ทำให้คนแข็งแรงขึ้นและอายุยืนมากขึ้น
ข้อสังเกตที่น่าสนใจคือ ในช่วงปี 1920 เกณฑ์อายุของผู้ชายที่ระบุว่า ‘แก่’ อยู่ที่ 55 ปี ในขณะที่ปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็น 70 ปี ส่วนผู้หญิงที่ถูกระบุว่าแก่อยู่ที่อายุประมาณ 73 ปี ไม่ใช่วัย 60 ต้น ๆ อย่างในอดีตแต่อย่างใด และนักประชากรศาสตร์ยังคาดการณ์อีกว่าคนเราจะมีอายุยืนยาวขึ้นในทศวรรษต่อ ๆ ไป
ในขณะเดียวกันช่วงวัยรุ่นก็ยืดขยายออกไปด้วยเช่นกัน เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ตั้งแต่ปี 1973 จนมาถึง 2013 ข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติอังกฤษระบุว่า อายุเฉลี่ยในการแต่งงานของหนุ่มสาวชาวอังกฤษเพิ่มขึ้นถึง 8 ปี โดยผู้ชายจะอยู่ที่ 32.5 ปี และผู้หญิงอยู่ที่ 30.6 ปี และช่วงวัยรุ่นก็ได้ขยายจากช่วงอายุจาก 19 ปี ไปเป็น 24 ปี เราสังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงนี้ได้ง่าย ๆ เมื่อรุ่นคุณพ่อคุณแม่สร้างครอบครัวตั้งแต่อายุยังน้อย ส่วนในปัจจุบันนั้นต่างออกไป วัย 30 ต้น ๆ หมายถึงวัยที่พร้อมออกท่องโลกกว้าง หาประสบการณ์ใหม่ ๆ ใช้เวลาไปกับชีวิตอิสระที่ไร้พันธะผูกมัด
เป็นเรื่องดีที่ว่าคนรุ่นใหม่ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบกับชีวิตมากนัก ทว่าก็สร้างความท้าทายให้กับสังคมเป็นอย่างมาก เมื่อนโยบายต่าง ๆ อาจไม่ได้ปรับตัวตามไปด้วย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ ในบ้านเรายังใช้กฎที่ว่าบุคคลต้องเกษียณอายุราชการในวัย 60 ปี ถูกมองว่าเริ่มไร้สมรรถภาพในการทำงาน ทั้งที่ความจริงแล้วคนวัยนี้คือผู้ที่สั่งสมประสบการณ์มานานจนเชี่ยวชาญงานนั้น ๆ เป็นอย่างดี อีกทั้งยังเปี่ยมด้วยแรงกำลังที่จะสร้างประโยชน์ให้กับโลกได้อีกมากมาย
และกฎเกณฑ์ที่บอกว่าใครแก่ไปหรือเด็กไปนั้น นำไปสู่การเกิด ‘อคติเรื่องอายุ’ ได้เช่นกัน
อคติของอายุ
ที่ทำให้ ‘อายุ’ ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลข
ในสังคมของเรามีขอบเขตบาง ๆ ที่ขีดเส้นแบ่งไว้อยู่ เส้นแบ่งที่ว่าคือ ‘อายุ’ และสิ่งนั้นทำให้เกิด ‘อคติต่ออายุ’ (Ageism) ขึ้นมา ซึ่งองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่าสิ่งนี้คือทัศนคติแบบเหมารวม เป็นอคติและการเลือกปฏิบัติต่อผู้อื่นหรือตนเองตามอายุ
มนุษย์จะมีทัศนคติแบบเหมารวมต่อช่วงวัยต่าง ๆ ซึ่งเป็นทัศนคติที่แตกต่างกันในแต่ละสังคม เพื่อใช้ทำความเข้าใจพฤติกรรมของตนเองและผู้อื่น บางคนเริ่มรู้สึกกดดันเมื่ออายุ 30 ปี เพียงเพราะสังคมมองว่าเป็นวัยที่ควรมั่นคงด้านการเงิน การงาน และชีวิตได้แล้ว ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริงไม่ได้มีกฎเกณฑ์ใดกำหนดไว้เป็นลายลักษณ์อักษร และมนุษย์ทุกคนมีแนวทางการใช้ชีวิตที่แตกต่างกัน แต่พวกเรากลับแบกรับความคาดหวังนั้นมาเพราะสิ่งที่เรียกว่า ‘อคติต่ออายุ’
อคติเหล่านี้มีหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็น การตัดสินใจรับคนเข้าทำงาน การเลือกปฏิบัติต่อผู้สูงอายุและคนในช่วงวัยที่ต่างกัน ไปจนถึงการกำหนดกฎหมายและนโยบายของประเทศ ซึ่งสามารถสร้างผลกระทบในสังคมได้มากมาย เช่นเดียวกับอคติทางเพศ เชื้อชาติ หรือความพิการ
ความเหลื่อมล้ำทางอายุที่เห็นได้ชัด คือในโลกของการทำงาน เริ่มตั้งแต่การสมัครงาน เมื่ออายุของคุณโชว์หราอยู่บนเรซูเม่ ก็อาจโดนตัดสินตั้งแต่ยังไม่ทันได้พิจารณาความสามารถ องค์กรต่าง ๆ มักจะกำหนดเพดานอายุของคนทำงานเอาไว้ โดยส่วนใหญ่เพราะปัจจัยเรื่องค่าตอบแทน ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วแม้จะอายุน้อยกว่าก็ควรได้รับค่าตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อกับความสามารถ และในขณะเดียวบางองค์กรกลับมองว่าการจ่ายเงินมาก ๆ ให้กับคนอายุเยอะไม่คุ้มค่า เพราะพวกเขาจะมีสมรรถภาพการทำงานน้อยกว่าเด็ก ๆ รุ่นใหม่
อคติต่ออายุเป็นเรื่องที่ยังคงอยู่เสมอในสังคม และทำให้หลายคนรู้สึกถูกเลือกปฏิบัติ ซึ่งเป็นที่มาที่ทำให้เกิดความโดดเดี่ยวภายในจิตใจ ซึ่งองค์การอนามัยโลกเผยว่า ผู้ป่วยโรคซึมเศร้ากว่า 6.3 ล้านคนทั่วโลกอาจมีสาเหตุมาจากผลของการเหยียดอายุ
แล้วพวกเราจะก้าวผ่าน ‘อคติต่ออายุ’ อย่างไร ?
สมาคมจิตวิทยาอเมริกัน (APA) ระบุว่าการเหยียดอายุถือเป็นปัญหาร้ายแรงที่สังคมต้องเรียนรู้เช่นเดียวกับการเลือกปฏิบัติแบบอื่น ๆ และสิ่งที่จะทำให้ประชากรโลกข้ามผ่านอคติประเภทนี้คือ ‘ความตระหนักรู้’ ว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งสำคัญ
หากเปรียบเทียบกับอดีตเราจะเห็นได้ว่าความตื่นรู้เรื่องความเท่าเทียมทางเพศมีแนวโน้มที่ดีขึ้น เนื่องจากทุกคนตระหนักรู้ว่านั่นเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น ส่งผลให้เกิดความเคลื่อนไหวต่าง ๆ เพื่อเรียกร้องความเท่าเทียมเกิดขึ้นมากมายในสังคม แนวทางของการลดการเหยียดอายุก็ต้องเป็นแบบนั้นเช่นกัน การศึกษาที่ช่วยให้ผู้คนเข้าใจช่วงวัยของตนเองและผู้อื่นนั้นจะช่วยลดความร้ายแรงของการเหยียดอายุลงไปได้ ที่สำคัญคือ การเปิดโอกาสให้คนต่างวัยได้ปฏิสัมพันธ์กันจะช่วยให้คนเข้าใจกันมากขึ้นกว่าเดิม
เบคกา เลวี (Becca Levy) นักระบาดวิทยา จาก Yale School of Medicine พบว่าผู้สูงอายุที่มองว่าความแก่เป็นเรื่องดีจะอายุยืนกว่าคนที่มองความแก่ทางลบถึง 7.5 ปี
นี่เป็นอีกข้อบ่งชี้ที่น่าสนใจว่าการกดดันตัวเองและเชื่อว่าตนไร้ความสามารถเพราะอายุมากขึ้นนั้นไม่ได้ส่งผลดีต่อชีวิต โดยเฉพาะสุขภาพจิตของเราเลย แต่ถึงอย่างนั้นทัศนคติดี ๆ ต่ออายุที่เพิ่มขึ้นไม่อาจสร้างได้ที่ตัวบุคคลเพียงอย่างเดียว แต่หากเป็นหน้าที่ของทุกคนในสังคมที่ต้องช่วยกันเสริมสร้างพลังทางใจที่ว่านั้นขึ้นมา เช่นเดียวกับวันที่เราพากันเดินขบวน Pride Parade เพื่อสื่อสารกับผู้มีความหลากหลายทางเพศว่าไม่มีใครที่แปลกแยก แต่ทุกคนคือสมาชิกคนหนึ่งที่ได้รับการยอมรับในสังคม
การศึกษาอีกชิ้นหนึ่งเผยว่า เมื่อผู้สูงอายุได้รับสารเชิงบวกเกี่ยวกับช่วงวัยของเขาจะทำให้เพิ่มพลังในการทำสิ่งต่าง ๆ ได้ เราทุกคนจำเป็นต้องเห็นศักยภาพและสนับสนุนผู้สูงอายุอยู่เสมอ มองอายุอย่างเท่าเทียม เพราะหากสังคมเชื่อว่าผู้สูงอายุ หรือคนที่อายุมากขึ้นมีศักยภาพในการทำงานได้ ก็ถือเป็นการถ่ายทอดพลังให้พวกเขาเชื่อมั่นในตัวเองได้มากขึ้น
ตอนนี้หลายคนอาจพบคำตอบของคำถามที่ถามว่า ‘เราแก่หรือยัง ?’ แล้ว
แต่นั่นอาจไม่ใช่สิ่งที่สำคัญอีกต่อไป เพราะไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไหร่ แก่หรือไม่ หากใจเปี่ยมด้วยความเชื่อมั่น และเชื่อว่าเรายังไม่แก่เกินเรียนรู้ ไม่แก่เกินจะทำตามความฝัน ไม่แก่เกินไปสำหรับโลกใบนี้ เราก็สามารถแสดงศักยภาพได้อย่างเต็มที่ และออกแบบชีวิตในทุกช่วงวัยของเราได้
อ้างอิง
- World Health Organization. Ageing: Ageism. https://bit.ly/494eTJA
- Kendra Cherry. What Is Ageism?. https://bit.ly/47g8mtB
- Beth W. Orenstein. 7 Ways to Overcome Ageism. https://bit.ly/4068oBy
- Kirsten Weir. Ageism is one of the last socially acceptable prejudices. Psychologists are working to change that. https://bit.ly/405GuWy
- Sally Abrahms. What is Ageism and 5 Ways to Stop It. https://bit.ly/401b0kr