Empathy สร้างได้ ! ฝึกทักษะหัวใจให้เข้าถึงความรู้สึกคนรอบข้าง เคล็ดลับเปลี่ยนชีวิตให้มีความสุข

21 Feb 2025 - 5 mins read

Art & Culture / Living Culture

Share

เชื่อไหม ? คุณจะเข้าใจความรู้สึกของคนอื่นและมีความสุขมากกว่าเดิม หากฝึกใจตัวเองให้มี Empathy

 

เพราะในช่วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา ‘Empathy’ กลายเป็นคำสำคัญที่ถูกพูดถึงบ่อยครั้ง แม้จะมีความพยายามแปลเป็นภาษาไทยว่า ‘ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น’ แต่ก็ยังใช้แทนกันไม่ได้ เพราะความหมายที่แท้จริงของ Empathy นั้นลึกซึ้งมากกว่าความเห็นอกเห็นใจ หรือการเอาใส่ใจกับความรู้สึกของคนอื่น

 

ก่อนเข้าสู่เนื้อหาหลักของบทความ ซึ่งเป็นคำอธิบายความหมายที่ถูกต้อง รวมถึงแนะนำเคล็ดลับสำหรับฝึก Empathy เพื่อให้เราสร้างความสัมพันธ์ที่ดีด้วยการเข้าใจความคิด ความรู้สึก ความต้องการของคนอื่น โดยปล่อยวางตัวเองจากอคติ LIVE TO LIFE อยากชวนผู้อ่านเริ่มต้นสำรวจใจด้วยคำถาม 5 ข้อ ที่จะชวนให้ทุกคนได้กลับมาทบทวนตัวเองอย่างจริงจัง

 

คำถาม ‘สำรวจใจ’

อ่านคำถามแล้วเลือกคำตอบที่ตรงกับความเป็นตัวเองมากที่สุด ในแต่ละข้อควรใช้เวลาอ่านและเลือกคำตอบภายในเวลา 40 วินาที โปรดเข้าใจว่า ไม่มีคำตอบไหนถูกหรือผิด ขอเพียงเชื่อมั่นและซื่อตรงในคำตอบที่ตัวเองเลือก

 

1. ทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้ต้นสายปลายเหตุแน่ชัด แต่ถ้าคุณเห็นคนรู้จักนั่งร้องไห้ฟูมฟายอยู่ลำพัง คุณรู้สึกอย่างไร และจะทำอย่างไร ?
[1] รู้สึกเห็นใจ และรีบเข้าไปปลอบพร้อมถามถึงเรื่องราวที่ทำให้ร้องไห้
[2] รู้สึกไม่สบายใจ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะไม่แน่ใจว่าตัวเองจะช่วยอะไรให้ดีขึ้นได้
[3] ไม่รู้สึกอะไรเป็นพิเศษ ปล่อยให้เขาจัดการตัวเอง เพราะว่าเป็นเพียงคนรู้จักที่ไม่ได้สนิทสนม

 

2. หากมีใครสักคนมาระบายหรือเล่าปัญหาส่วนตัวที่ทำให้เขาทุกข์และเดือดเนื้อร้อนใจให้ฟัง คุณจะทำอย่างไร ?
[1] ตั้งใจรับฟังเรื่องราวทั้งหมด และพยายามทำความเข้าใจความทุกข์ที่เขากำลังเผชิญอยู่
[2] ตั้งใจฟัง แล้วถามเพิ่มบางจุด เพื่อคิดวิธีแก้ไขปัญหาให้ เพราะมั่นใจว่าจะช่วยคลี่คลายความทุกข์ทั้งหมดได้
[3] รู้สึกไม่สบายใจที่จะฟัง อยากเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นมากกว่า เพราะว่าตัวเองยังไม่พร้อมช่วยปรับทุกข์ให้ใคร

 

3. ในความสัมพันธ์ทุกรูปแบบ คุณคิดว่าการเข้าใจความรู้สึกของกันและกันสำคัญแค่ไหน ?
[1] สำคัญมาก เพราะการเข้าอกเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่าย ทำให้เกิดความไว้วางใจและช่วยพัฒนาความใกล้ชิดของกันและกันได้
[2] ขึ้นอยู่กับว่าคนในความสัมพันธ์นั้นเป็นใคร การเข้าใจความรู้สึกของคนที่สนิทและใกล้ชิดกันย่อมสำคัญมากกว่าคนที่รู้จักแค่ผิวเผิน
[3] ไม่สำคัญเท่าไหร่ เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การช่วยคิดหาทางแก้ไขปัญหาให้อีกฝ่าย

 

4. หัวหน้ามอบหมายให้คุณและเพื่อนร่วมงานช่วยกันทำงานสำคัญ คุณจึงพยายามทุ่มเทเต็มที่ แต่เพื่อนกลับทำผิดพลาดในขั้นตอนสุดท้าย งานจึงออกมาไม่ดีอย่างที่ควรจะเป็น ทันทีที่รู้เรื่องนี้ คุณจะทำอย่างไร ?
[1] พยายามทำความเข้าใจสาเหตุ ให้กำลังใจและให้โอกาสเพื่อนร่วมงาน
[2] เพราะเป็นงานที่ตั้งใจทำมาก จึงทั้งผิดหวังและไม่พอใจในตัวเพื่อน แต่พยายามไม่แสดงออก เพราะไม่อยากทำให้บรรยากาศการทำงานแย่ลงไปมากกว่าเดิม
[3] ตำหนิหรือวิจารณ์การทำงานของเพื่อนอย่างตรงไปตรงมา เพราะคิดว่าเหมาะสมแล้วที่คนทำผิดต้องรู้ตัวและรับผิดชอบการกระทำของตัวเอง

 

5. เท่าที่เคยสังเกตตัวเอง คุณสามารถรับรู้อารมณ์และความรู้สึกของคนอื่นได้ไวแค่ไหน ?
[1] แค่ได้ฟังน้ำเสียงและเห็นท่าทางก็รับรู้อารมณ์และเข้าใจความรู้สึกลึก ๆ ข้างในของคนคนนั้นได้
[2] ปะปนกันไป บางครั้งก็รู้สึกว่ารับรู้อารมณ์คนอื่นได้ง่าย แต่บางครั้งก็ไม่มั่นใจว่าคนอื่นกำลังรู้สึกอย่างไร
[3] ขอสารภาพตามตรงว่าไม่ค่อยได้สนใจหรือสังเกตอารมณ์และความรู้สึกของคนอื่น

 

เมื่อเลือกคำตอบครบทุกข้อแล้ว ให้คิดคะแนนแยกรายข้อ ด้วยเกณฑ์ต่อไปนี้

  • ตอบ [1] ได้ 3 คะแนน
  • ตอบ [2] ได้ 2 คะแนน
  • ตอบ [3] ได้ 1 คะแนน

จากนั้นรวมคะแนนที่ได้ทั้ง 5 ข้อ ผลลัพธ์สุดท้าย คือคำตอบที่ช่วยเตือนใจให้แต่ละคนรู้ว่า Empathy สำคัญกับตัวคุณเองมากแค่ไหน ? และ ถึงเวลาที่คุณต้องฝึกฝนใจให้เปี่ยมไปด้วย Empathy แล้วหรือยัง ? ซึ่งแบ่งได้เป็น 3 ผลลัพธ์ ดังนี้

 

15-14 คะแนน : คุณเป็นคนที่มี Empathy สูงมาก เพราะเข้าใจและสามารถรับรู้ทั้งอารมณ์และความรู้สึกของคนอื่นอยู่ตลอด ตัวคุณเองจึงมักเป็นที่พึ่งทางใจของคนรอบข้าง หากใครมีปัญหาทุกข์ใจ คุณคือคนแรก ๆ ที่เขาหรือเธอผู้นั้นจะนึกถึง

 

13-9 คะแนน : คุณเป็นคนที่มี Empathy ปานกลาง เพราะเข้าใจอารมณ์และความรู้สึกของผู้อื่นได้ดีเฉพาะกับบางคน เช่น คนในครอบครัว หรือเพื่อนที่รู้จักกันมานาน และในบางสถานการณ์เท่านั้น เช่น สถานการณ์ที่คุ้นชิน หรือเคยประสบมาก่อน การฝึกฝนให้ตัวเองมี Empathy จะช่วยขยายความเข้าใจและเข้าถึงความรู้สึกของผู้คนที่หลากหลายในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ดีมากขึ้น

 

8-5 คะแนน : คุณจำเป็นต้องฝึกฝน Empathy เพิ่มเติม เพราะว่าทุกคนมีความสามารถที่จะเข้าใจอารมณ์และความรู้สึกของผู้อื่นอยู่แล้วเป็นพื้นฐาน เพียงแต่ต้องได้รับการชี้แนะด้วยเทคนิคที่เฉพาะเจาะจงและต้องพยายามหมั่นฝึกฝนด้วยตัวเองอยู่เสมอ เพื่อให้มี Empathy เกิดขึ้นในใจ ไม่ต่างจากการปลูกต้นไม้สักต้นที่ต้องใช้เวลารดน้ำพรวนดิน

 

เข้าใจความหมายของ Empathy

ถึงตรงนี้ LIVE TO LIFE เชื่อว่าหลายคนคงอยากรู้ว่า Empathy คือ อะไรกันแน่ ? ใช่ความสามารถรับรู้อารมณ์และความรู้สึกของคนอื่นอย่างที่คนส่วนใหญ่เข้าใจหรือเปล่า ? เพราะถ้าดูที่มาของคำว่า Empathy ซึ่งมีรากศัพท์จากภาษากรีก 2 คำ คือ Em หมายถึง ข้างใน และ Pathos หมายถึง ความรู้สึก ก็น่าจะหมายถึงเช่นนั้นได้

 

แต่ในฐานะนักจิตบำบัดด้านศิลปะการเคลื่อนไหวผู้เชี่ยวชาญการพัฒนา Empathy Skill และเป็นคนแรก ๆ ที่ทำงานเพื่อส่งเสริมให้ผู้คนในสังคมไทยตระหนักรู้ถึงความสำคัญของ Empathy คุณดุจดาว วัฒนปกรณ์ ได้อธิบายความหมายของ Empathy ไว้อย่างชัดเจนและครบถ้วนว่า

 

“เป็นความสามารถอันละเอียดอ่อนที่จะรับรู้ความคิด ความรู้สึก ความต้องการ จากทัศนคติของผู้อื่น Empathy จึงเป็นเสมือนยาที่ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดและขุ่นข้องหมองใจ ช่วยให้จิตใจเราสงบและเป็นสุขมากขึ้น ยังเป็นกาวที่ช่วยสมานความสัมพันธ์ให้แข็งแรง และช่วยให้เราไม่รู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้างเกินไปในโลกอันกว้างใหญ่นี้”

 

Empathy จึงเป็นมากกว่าความเข้าใจที่ไม่ใช่ทั้งความสงสารและความเห็นใจ แต่เป็นความพยายามเอาใจคนอื่นมาสวมใส่ใจเรา เหมือนสำนวนภาษาอังกฤษที่ว่า Put yourself in someone else's shoes. เพราะเมื่อเราลองสวมใส่รองเท้าของคนอื่นแล้ว เราจะได้รับรู้และรู้สึกร่วมแบบเดียวกันกับที่เจ้าของรองเท้ากำลังรู้สึกอยู่ตอนนี้ เพื่อจะได้เข้าใจสิ่งที่เขาหรือเธอผู้นั้นกำลังเผชิญอยู่ โดยที่เราต้องไม่ตัดสินว่าดีหรือไม่ดี และไม่ถือความคิดตัวเองเป็นไม้บรรทัดไปวัดหรือเปรียบเทียบกับคนอื่น สิ่งที่เราควรทำและต้องทำ คือเปิดใจและปล่อยวางตัวเองจากอคติหรือความคิดส่วนตัวใด ๆ เพื่อจะได้มองเห็นและรู้สึกแบบเดียวกับคนตรงหน้านั่นเอง

คุณดุจดาว วัฒนปกรณ์
ขอบคุณภาพถ่ายจาก www.becommon.co

 

คุณดุจดาวยังมองว่า Empathy เป็นทักษะสำคัญที่ชีวิตขาดไม่ได้ “Empathy ไม่ใช่สัญชาตญาณ ไม่ใช่สิ่งที่มีติดตัวมาตั้งแต่เกิด แต่เป็นทักษะที่ต้องฝึกฝน เราอาจนึกว่าบางคนดูเหมือนจะมี Empathy มาแต่กำเนิด แต่หากลองสืบลึกเข้าไปจะพบว่านั่นเกิดจากการเลี้ยงดู ถ้าใครสักคนเติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่พ่อแม่พี่น้องมี Empathy และใช้กันเป็นเรื่องปกติตั้งแต่จำความได้ ก็มีโอกาสสูงที่เขาจะใช้ Empathy เป็นโดยอัตโนมัติ เพราะวิธีที่ดีที่สุดในการมี Empathy คือ การเรียนรู้จากประสบการณ์”

 

 

ฝึกเป็นคนมี Empathy ความสุขของการเข้าใจคนอื่น

เคยถามตัวเองอย่างจริงจังไหมว่า ที่ผ่านมาคุณเป็นคนใส่ใจกับ ‘ความรู้สึกของคนอื่น’ แค่ไหน ?

 

ไม่ว่าคำตอบจะเป็นอะไร นี่คือโอกาสอันดีที่ทุกคนจะได้ฝึกฝนและพัฒนา Empathy ให้เกิดขึ้นในหัวใจของตัวเอง เพราะ Empathy ถือเป็นหนึ่งใน Soft Skill หรือทักษะพื้นฐานด้านอารมณ์และการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ซึ่งไม่เพียงช่วยสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างกันและกัน (Human Connection) จนก่อเกิดเป็นรักที่มั่นคงยั่งยืน แต่ยังทำให้ใช้ชีวิตในสังคมที่เปิดกว้างและโอบรับทุกความหลากหลายได้อย่างราบรื่นและมีความสุข ด้วยเคล็ดลับ 5 ขั้นตอน ที่ LIVE TO LIFE สรุปมาจากคำแนะนำของคุณดุจดาวที่เขียนอธิบายไว้ในหนังสือ On Empathy

 

1. เริ่มต้นด้วยหัวใจที่อยากเข้าใจผู้อื่น : เราไม่อาจเข้าใจทุกคนได้ทะลุปรุโปร่งตั้งแต่แรก จึงต้องมีความอยากหรือความตั้งใจดีที่อยากเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่าย นี่คือประตูบานแรกที่ของการฝึกใจให้มี Empathy ยิ่งมีความอยาก เราจะยิ่งมีความพยายามฝึกฝนตัวเองให้เข้าถึงใจของคนอื่น

 

2. ฝึกจัดการใจของตัวเองให้อยู่ถูกที่ถูกทาง : ปล่อยวางใจไม่ให้อยู่เหนือคนอื่น จะช่วยลดอคติ มุมมอง ความเชื่อที่เรายึดถือมาตลอด เพื่อไม่ให้ใจรีบด่วนสรุปหรือตัดสินคนอื่น คือ ไม่เอาความคิดของเราไปใช้ตัดสินเรื่องราวของใคร ไม่รู้สึกขัดใจ เพราะใจที่มี Empathy ต้องเป็นอิสระจากความถูกผิด การเปรียบเทียบ และกฎระเบียบที่เรายึดมั่นถือมั่น

 

3. ฝึกฟังอย่างตั้งใจ : การฟังอย่างตั้งใจ หรือ Active Listening ไม่ใช่แค่การได้ยินเสียง แต่เป็นการให้ความสนใจรับฟังสิ่งที่คนอื่นพูด ทั้งเนื้อหาที่พูดและน้ำเสียงที่สื่อออกมา เพื่อจับความรู้สึกและอารมณ์ โดยไม่ขัดจังหวะด้วยการถามเพิ่มหรือพูดแทรก แต่ให้คิดตามขณะฟังว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับเขา เพราะเป็นวิธีที่ช่วยให้เข้าถึงใจของผู้อื่นในมุมมองที่เป็นเขา

 

4. ฝึกมองด้วยมุมมองของอีกฝ่าย : มุมมองของเราย่อมไม่เท่ากับมุมมองของคนอื่น ให้มองเหตุการณ์ทุกอย่างด้วยมุมมองของเขา ใช้ความรู้สึกของเขาเป็นที่ตั้ง แม้ว่าเราอาจไม่เชื่อ ไม่เห็นด้วย และคิดต่างจากอีกฝ่าย แต่ให้เคารพในตัวตนและการตัดสินใจของเขา การยึดถือความถูกต้องของเราว่าดีที่สุด จะกลายเป็นอุปสรรคขัดขวางไม่ให้เข้าถึงใจคนอื่นได้ แต่ถ้าเรายอมรับและอนุญาตให้ทุกคนมีจุดยืนที่แตกต่างจากเรา ต่างฝ่ายจะรับรู้ได้ถึงความตั้งใจจริงที่จะทำความเข้าใจความรู้สึกเหล่านั้น

 

5. ฝึกสื่อสารด้วยใจที่มี Empathy : การสื่อสารที่ดีเริ่มต้นจากการตั้งใจรับฟัง เพราะทำให้เรารู้สิ่งที่อีกฝ่ายต้องการ จึงไม่ควรรีบร้อนให้คำแนะนำ หรือเสนอทางแก้ให้ แต่ควรคิดทบทวนอย่างดีก่อนสื่อสารออกไป เพราะต้องเป็นคำพูดที่แสดงถึงความหวังดีและความเข้าใจดี ไม่ใส่อารมณ์ ไม่ลดทอนคุณค่าอีกฝ่าย ไม่สั่งสอน และไม่มีอคติด่วนตัดสินปะปน เช่น

  • “คงเป็นเรื่องที่ตัดสินใจยากเลยใช่ไหม ถ้าอยากเล่าก็บอกได้เลยนะ ฉันอยู่ข้างเธอเสมอ”

ส่วนตัวอย่างคำพูดที่ควรหลีกเลี่ยง เพราะแสดงถึงความไม่มี Empathy ได้แก่

  • “คิดมากไปไหม…” / “อย่าไปคิดมาก” / “เธอไม่เข้าใจ”
  • “เรื่องแค่นี้เอง” / “ช่างมันเถอะ” / “อย่าไปใส่ใจเลย”
  • “อย่างน้อย…” เช่น อย่างน้อยก็มีคนอื่นที่ลำบากกว่าเรา
  • “ฉันเป็นคนพูดตรง ๆ” แม้ไม่หยาบคาย แต่กลายเป็นความรุนแรงที่ทำร้ายใจของอีกฝ่ายได้

 

ท้ายที่สุด เมื่อมี Empathy ต่อคนอื่นแล้ว ต้องไม่ลืมมี Self-Empathy ต่อตัวเอง ซึ่งไม่ใช่ความสงสารตัวเองหรือหลงตัวเอง แต่เป็นการให้ความสำคัญกับใจของตัวเอง เมื่อรู้สึกเหนื่อยล้า หนักใจ หรือต้องการกำลังใจ สามารถใช้หลักการเดียวกันกับการมี Empathy ต่อคนอื่น โดยให้เวลาตัวเองได้อยู่เงียบ ๆ เพื่อผ่อนคลายจากความวุ่นวายรอบตัว โอบกอดร่างกายอย่างอ่อนโยนเพื่อปลอบประโลมตัวเอง ฟังเสียงในใจและขอบคุณตัวเองที่อดทนกับความเหนื่อยหรือความลำบาก

 

Empathy หรือ ความเข้าอกเข้าใจกันโดยไม่ตัดสิน จึงมีค่าและเป็นของขวัญที่เราทุกคนควรมอบให้กัน แม้กระทั่งตัวเอง เพราะทำให้อบอุ่นใจและสงบสุขทั้งผู้ให้และผู้ได้รับ

 

 

อ้างอิง

  • ดุจดาว วัฒนปกรณ์. (2567). On Empathy. สำนักพิมพ์อมรินทร์ฮาวทู.

SHARE

facebook
twitter
copy
Related articles / บทความที่เกี่ยวข้อง
Loading...