

เรื่องกินเรื่องใหญ่ ชวนเข้าคลาสกับ ‘กินสคูล’ โรงเรียนที่สอนให้กินดีเพื่อเราและเพื่อโลก
Art & Culture / Living Culture
28 Apr 2025 - 7 mins read
Art & Culture / Living Culture
SHARE
28 Apr 2025 - 7 mins read
‘เรื่องกินเรื่องใหญ่’
เรื่องกินเป็นหัวข้อที่อยู่ในบทสนทนาของคนไทยทุกเช้า สาย บ่าย เย็น เรื่องกินถือเป็นเรื่องใหญ่เสมอในประเทศที่เดินออกไปหน้าปากซอยก็หาของอร่อยกินได้ 24 ชั่วโมง
ยิ่งในยุคสมัยนี้ ‘เรื่องกิน’ ยิ่งเป็นเรื่องใหญ่ เมื่อโลกที่หมุนไปอย่างรวดเร็วทำให้ ‘การกิน’ ต้องเร็วตามไปด้วย เราจึงเน้นกินง่าย และกินไว ตอบโจทย์ชีวิตที่เร่งรีบ แต่ไม่ได้กิน ‘อาหารที่ดี’ และนิยามของคำว่าดีไม่ใช่แค่ดีต่อสุขภาพ แต่ต้องดีต่อสิ่งแวดล้อม และโลกที่เราอยู่อาศัย เรื่องกินจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ที่คนทั้งโลกต้องให้ความสำคัญ
LIVE TO LIFE ชวนผู้อ่านทุกคนมาเยือนชุมชนบ้านน้ำแพร่ อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ ผู้คนที่นี่ยังมีวิถีชีวิตแบบชนบท เด็ก ๆ ชวนกันมาจับปลาในห้วยทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ ที่นี่เป็นที่ตั้งของ ‘กินสคูล’ (Kin School) โรงเรียนเล็ก ๆ ที่เปิดรับนักเรียนทุกเพศ ทุกวัย ไม่จำกัดอายุ ขอแค่อยากเรียนรู้เรื่องการ ‘กินดี’ และมีคุณครูท้องถิ่นที่ชวนไปเสาะหาอาหารดี ๆ มากินด้วยกัน
จุดเริ่มต้นของการ ‘กินดี’
อาคารสองชั้นสีขาวที่มีประตูหน้าต่างไม้ ตั้งตระหง่านอยู่สุดด้านในท้ายซอย โถงข้างล่างมีโต๊ะประชุมไม้วางขนานกันอยู่กลางห้อง มีเก้าอี้หลายตัวไว้ต้อนรับนักเรียนผู้มาเยือน มีกระเทียมและหอมแดงวางอาบแดดสายอยู่ที่ชานบ้าน มีมะม่วงสีเขียวเต็มกระจาด ที่สะดุดตาที่สุดคือ ‘ห้องครัว’ ขนาดใหญ่กินพื้นที่ราวหนึ่งในสามของชั้นหนึ่ง มีเครื่องครัวสีสวยครบครันแขวนเรียงกันบนผนัง บอกให้เรารู้ว่าเจ้าของบ้านต้องรักการทำอาหารแน่ ๆ
เก๋ - กิ่งกร นรินทรกุล ณ อยุธยา เจ้าของบ้านต้อนรับอย่างเป็นกันเอง พลางทยอยจัดเก็บผักที่ซื้อมาจากตลาดเมื่อเช้านี้ ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องของการ ‘กินดี’ ที่เธอขับเคลื่อนมานานกว่า 20 ปี เธอเป็นหนึ่งในผู้ริเริ่ม ‘Food for Change’ หรือ ‘กินเปลี่ยนโลก’ โครงการที่สนับสนุนการเกษตรอย่างยั่งยืนในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน และเป็นผู้ก่อตั้งกินสคูลแห่งนี้
“ตอนพี่สาว ๆ เราเคยคิดว่าคนไทยเป็นคนเรื่องมากกับอาหาร มีความรุ่มรวยเรื่องวัฒนธรรมอาหาร แต่เอาเข้าจริง ๆ พวกเราเปลี่ยนไปเร็วมาก”
“พี่ไปเรียนที่ยุโรปปี พ.ศ. 2541 พบว่าคนที่นั่นเขากินอาหารกระป๋อง อาหารแช่แข็ง เราเห็นเพื่อนกินกัน เลยลองซื้อมากินบ้าง แต่กินไม่ได้เลย ก็เลยคิดว่าคนไทยก็คงกินไม่ได้เหมือนกัน แต่ใครจะคิดว่าเดี๋ยวนี้แกงกระป๋องจะขายได้ หลังจากกลับไทยไม่นาน เราก็พบว่าที่เคยเชื่อว่าคนไทยเป็นคนกินยาก มีวัฒนธรรมอาหารแข็งแรง มันเปลี่ยนไป กลายเป็นชอบความเร็ว ความง่าย สามารถเอาอาหารแช่แข็งอุ่นไมโครเวฟแล้วกินได้เลย ความละเมียดและวัฒนธรรมอาหารของเรามันหายไป”
“เรากินอาหารแบบอุตสาหกรรมแทนที่จะตามฤดูกาล จากที่มีความหลากหลายของพืชผัก มีความหลากหลายของอาหารท้องถิ่นและรสชาติ ทุกวันนี้เราเหลือข้าวที่กินกันอยู่ไม่กี่ชนิด มีผักไม่กี่ชนิด กินเนื้อสัตว์มากกว่าเพราะราคาถูก เราเปลี่ยนแปลงไปสู่สถานการณ์ที่ไม่น่าพึงพอใจเท่าไหร่” เก๋ค่อย ๆ เล่าให้ฟัง
นั่นเป็นครั้งแรกที่ทำให้เธอเห็นถึงวิถีการกินที่เปลี่ยนแปลงไปในยุคสมัยที่สังคมเริ่มเพิ่มอัตราเร็ว เธอโตมากับแกงภาคกลางรสดั้งเดิมของแม่ เป็นคนชอบกิน เสาะหาของดีของอร่อยมาแต่ไหนแต่ไร เธอจึงเป็นคนแรก ๆ ที่รับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนของความเปลี่ยนแปลงที่ว่านั้น และเริ่มหันมาใส่ใจเรื่องการกินให้ดีอย่างจริงจัง และริเริ่มโครงการ ‘กินเปลี่ยนโลก’
“โจทย์ใหญ่คือเราต้องคุยกับคนว่าจะกลับมารักษารากฐานอาหารที่มีคุณค่า รักษาความหลากหลาย รักษาระบบนิเวศ และรักษาอาชีพเกษตรกรรายย่อยไว้ได้อย่างไร สิ่งนี้คือโจทย์ใหญ่ หลังจากที่ส่งเสริมการเกษตรยั่งยืนมานาน เราจะส่งเสริมผู้บริโภคบ้าง เพราะผู้บริโภครับเอาการเปลี่ยนแปลงของสังคมสมัยใหม่ไปหมดแล้ว”
“สิ่งที่พวกเราพยายามทำคือชวนกันคุยว่าเราควรมีระบบอาหารแบบไหน และระบบที่เป็นอยู่มันดีต่อใครบ้าง ดีต่อชีวิตพวกเราไหม ดีต่อเกษตรกร ดีต่อสิ่งแวดล้อมไหม เราพบว่าระบบอาหารที่เปลี่ยนแปลงไปมันสร้างปัญหามากกว่าสร้างประโยชน์ให้กับคนหมู่มาก ทั้งปัญหาสุขภาพ ปัญหาเศรษฐกิจและปัญหาสิ่งแวดล้อม ซึ่งเราคิดว่ามันไม่ควรเกิดกับประเทศที่ผลิตอาหารส่งออกอันดับต้น ๆ ของโลก”
ขอบคุณภาพจาก กินสคูล
เรื่องการกินเกี่ยวข้องกับพวกเราทุกมิติ ทั้งสุขภาพ สังคม เศรษฐกิจ การเมือง และสิ่งแวดล้อม เรื่องกินจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ ยิ่งในยุคที่มนุษย์ต้องการกินอาหารที่เร็ว ง่าย และผลิตได้ในปริมาณมหาศาลทำให้เกิด ‘ภาวะโลกรวน’ (Climate Change) เราต้องใช้พื้นที่มหาศาลมาทำฟาร์มปศุสัตว์ ไม่เพียงทำลายระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพเท่านั้น ยังสร้างก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศ
นั่นทำให้เกิดแนวคิด Slow Food ซึ่งเป็นแนวทางที่จะช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวได้ การกินแบบนี้ไม่ได้หมายถึงการกินช้า แต่หมายถึงการกินที่สวนกระแสอาหารอุตสาหกรรมที่เน้นปริมาณและความเร็ว เป็นแนวทางที่ทำให้สุขภาพดี สิ่งแวดล้อมดี ยั่งยืนทั้งระบบ โดยคำนึงถึง 3 ข้อคือ ‘Good Clean Fair’
Good - กินอาหารที่อร่อยและมีคุณค่าทางโภชนาการ ดีต่อสุขภาพของเรา
Clean - กระบวนการผลิตที่สะอาด ปลอดภัยเป็นมิตรกับคนกิน คนผลิตและสิ่งแวดล้อม
Fair - ระบบการผลิตต้องยุติธรรมต่อผู้ผลิตให้อยู่ได้อย่างยั่งยืน ผู้บริโภคสามารถซื้อได้ไม่เกินกำลัง กระจายความมั่งคั่ง
เก๋บอกกับเราว่ากินเปลี่ยนโลกและกินสคูลเองเป็นส่วนหนึ่งของแนวคิดนี้เช่นกัน
‘กินสคูล’ โรงเรียนที่ผลิตนักเรียน(กิน)ดี
หลังจากลงพื้นที่สุ่มตรวจสารปนเปื้อนในผักทั่วราชอาณาจักร ทำการสำรวจเรื่องอาหารในหลายจังหวัด เก๋และเพื่อนร่วมอุดมการณ์ในกลุ่มกินเปลี่ยนโลกก็ได้สั่งสมประสบการณ์เรื่องการกินดีมากมาย และตัดสินใจย้ายมาเชียงใหม่เพื่อเปิดห้องเรียนกินสคูลแห่งนี้ เพื่อบอกเล่าแนวคิดการกินอย่างยั่งยืน
“พี่สามารถหาของกินได้โดยรู้ที่มา ไม่ว่าจะเป็น หมู ไก่ ซีฟู้ด เครื่องปรุง ข้าว ผัก เราแบ่งปันได้ว่าหาได้ที่ไหนและที่นี่เป็นพื้นที่ให้มาเรียนรู้เรื่องเหล่านี้ได้” เก๋บอกกับเรา
ว่าแล้วเก๋ก็พาเราไปสำรวจตู้เย็นหลังใหญ่ที่มีแพ็คเนื้อหมูแช่แข็งเรียงเป็นตั้ง ๆ เธอบอกว่าเป็นเนื้อหมูหลุมจากราชบุรี เก๋ยังรื้อตู้เย็นอวดวัตถุดิบชั้นดีที่เธอสรรหามาจากผู้ผลิตอย่างยั่งยืนทั่วประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นอาหารทะเลจากแบรนด์แมวกินปลา ไก่แทนคุณ กุ้งแชบ๊วยจากเพจปลาของแม่ เนื้อวัวที่เลี้ยงอย่างยั่งยืน เนื้อปูจากชาวบ้านที่ลิบง ปลาเค็มจากชาวบ้านที่สทิงพระ ปลากรายจากชัยนาท
เก๋พาเรามาอีกมุมหนึ่งของห้องที่มีเครื่องปรุงเรียงราย แต่ละอย่างเธอคัดมาแล้วว่าดี มีทั้งซีอิ๊วจากถั่วเหลืองออร์แกนิก หมักแบบปลอดสาร น้ำปลาจากปลาสร้อยตามฤดูกาลที่ศรีสัชนาลัย กะปิเคยแท้ไร้แป้ง น้ำตาลโตนด และอีกมากมาย
คลาสของกินสคูลมีหลากหลายแบบ ทั้งสอนเรื่องอาหาร เครื่องปรุง และทำความรู้จักกับวัตถุดิบตามฤดูกาล คลาสตามฤดูกาลจะพาไปสำรวจวัตถุดิบต่าง ๆ และเรียนรู้วิธีปรุง เช่น พาไปชิมถั่วหลากชนิดและดูวิธีปรุงให้อร่อย หรือรู้จักผักพื้นบ้าน เป็นต้น ส่วนคลาสที่มีตลอดทั้งปีคือ ‘คลาสเครื่องปรุง’ พาไปดูวิธีหมักซีอิ๊ว หมักน้ำปลา ทำน้ำส้มกินเอง รวมถึงการอ่านฉลากเครื่องปรุงให้เป็น เพื่อรู้จักส่วนผสมทั้งหมด
นอกจากนี้ยังมี คลาสจัดการอาหาร เช่น เก็บผักอย่างไรให้มีคุณภาพ กินอย่างไรไม่ให้สร้างขยะอาหาร วิธีจัดการวัตถุดิบสำหรับมนุษย์ออฟฟิศที่มีเวลาจ่ายตลาดแค่ 1 วันแต่อยากทำอาหารกินเองไปทั้งอาทิตย์
เก๋เล่าว่าทุกคลาสจะออกแบบมาจาก Pain Point ของผู้คนในยุคปัจจุบัน เช่น ถ้าอยากจะลดเนื้อสัตว์จะเพิ่มโปรตีนพืช เราจะทำอย่างไรให้อร่อย เราปรุงผักอย่างไรให้อูมามิ เป็นต้น นอกจากคลาสเรียนรู้เรื่องอาหารแล้ว กินสคูลยังเป็นพื้นที่เสวนาของคนในคอมมูนิตีที่รักการกินดีในเชียงใหม่ เป็นห้องประชุม และมีบริการจัดเลี้ยงอาหารแบบยั่งยืนอีกด้วย
“คนมาที่นี่จะได้ฝึกตั้งคำถามมากขึ้น เสาะแสวงหามากขึ้น เช่น เวลาไปซื้อของจะต้องรู้จักถาม เพราะทุกอย่างที่แม่ค้าพูดคือคำโฆษณา ถ้าเราถามเขาว่าผักปลอดสารไหม เขาจะบอกว่าปลอดสาร ถ้าถามว่าปลอดสารอะไรบ้าง แม่ค้าจะเริ่มโกรธละ” เก๋เล่าติดตลก
“ถ้าไม่ถามต่อ เราอาจเชื่อไปว่าเขาไม่ได้ใส่อะไรเลย แต่ถ้าลองถามดี ๆ เขาอาจไม่ได้ใส่ยาฆ่าแมลง แต่ใส่ยาฆ่าหญ้า เราต้องเข้าใจว่ากระบวนการผลิตพืชหนึ่งชนิดมีสารกำจัดศัตรูพืชมากมาย ทั้งยาคุมหญ้า ยาฆ่าหญ้า ยาฆ่าแมลง ยาฆ่าเชื้อรา เราจำเป็นต้องรู้ว่าพืชชนิดไหนเป็นอย่างไร”
“ไก่บางยี่ห้อเขาเคลมว่าเป็นไก่สะอาด เท้าไม่แตะพื้น ไซซ์เท่ากันเป๊ะ อกใหญ่ ไก่อ้วน อ้างว่าไม่ได้ใช้ฮอร์โมน สารเร่ง หรือ Anti-biotic แต่ไม่สามารถตรวจสอบได้ เราจะเชื่อว่าสะอาดได้ไหม ในเมื่อความสะอาดและมีคุณภาพมันถูกนิยามโดยอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เราควรนิยามความสะอาดของเราเอง ว่ากระบวนการผลิตสะอาดไหม ใช้สารเคมีไหม มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างไร มีสารตกค้างในดินหรือไม่ ถ้าการผลิตข้าวโพดเพื่อเป็นอาหารไก่ทำให้เกิดฝุ่นควันอยู่ในอากาศแบบนี้ พี่ว่าไม่สะอาด” เก๋บอกกับเรา
เรียนรู้ที่จะ ‘กินดี’ ได้อย่างไร
อาหารอุตสาหกรรมเปลี่ยนโลกของเราไปอย่างสิ้นเชิง ในฐานะผู้บริโภคตัวเล็ก ๆ นั้นแน่นอนว่าไม่อาจเปลี่ยนแปลงการผลิตในระดับมหภาคได้ในเร็ววัน อย่างไรก็ตามการรณรงค์ระดับนโยบายยังคงดำเนินต่อไป แต่ฟันเฟืองสำคัญที่จะทำให้โลกมี ‘ระบบอาหารที่ดี’ นั้น ส่วนสำคัญก็มาจากผู้บริโภคอย่างพวกเราทุกคน และนั่นคือสิ่งที่กินสคูลเชื่อ
“เราต้องเริ่มเรื่องมาก อยากหากินของที่มีคุณภาพ ไม่ใช่เอาเร็วหรือง่ายเข้าว่า ทำให้เรื่องกินสำคัญเท่าเรื่องอื่น ๆ เราแทบไม่เคยเช็กข้อมูลเวลาซื้อผัก ซื้อข้าว เราอยากให้เริ่มด้วยการให้เวลา หาข้อมูล ตรวจสอบข้อมูลอาหารที่เรากิน เหมือนเวลาเช็กสเปกก่อนซื้อสมาร์ตโฟน”
สำหรับเก๋ เธอบอกกับเราว่าหากจะเริ่มฝึก ‘กินให้ดี’ ต้องคำนึงถึง 4 ปัจจัยคือ
1.กินตามฤดูกาล
2.กินหลากหลาย
3.กินอย่างรู้ที่มา
4.หาเพื่อนที่มีแนวคิดเดียวกัน
“กินตามฤดูกาลจะทำให้ความเข้มข้นของสารเคมีที่เราได้รับน้อยลง อย่างเราชอบกินกะหล่ำให้กินตอนฤดูหนาวเพราะศัตรูพืชน้อย ใช้ยาน้อย แต่ไปกินตอนฤดูร้อน เขาก็ต้องใช้ยากำจัดศัตรูพืช คนสมัยก่อนจะกินอะไรเขาต้องรอให้ถึงฤดูกาล แต่สังคมอุตสาหกรรมสปอยล์เราให้เรากินได้ตลอดเวลาโดยไม่สนฤดูกาล”
“อยากให้รักษาวัฒนธรรมการกินหลากหลายของพวกเราไว้ ทุกวันนี้มันมีสถิติว่าเรากินโปรตีนจากเนื้อสัตว์เกินจำเป็น เพราะราคาถูกกว่าโปรตีนจากแหล่งอื่น เราต้องลดไก่ ลดหมู แต่แน่นอนว่าการลดมันไม่ได้กระทบกับปริมาณโปรตีนที่เราต้องการในแต่ละวัน เราสามารถกินโปรตีนจากพืชหรือสัตว์เลี้ยงอย่างยั่งยืนได้”
“สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องกินแบบรู้ที่มาต้องแน่ใจว่าการผลิตนั้นเป็นมิตรกับทั้งสุขภาพคนกิน คนปลูก เราควรตรวจสอบสิ่งที่เอาเข้าปากเพื่อให้ดีต่อตัวเราเอง นี่เป็นโจทย์สำคัญ เคล็ดลับของพี่คือ ‘ไม่อร่อย ไม่กิน’ เพราะฉะนั้นของที่ใหม่สด ตามฤดูกาล โดยธรรมชาติมันจะเป็นอร่อย เราพยายามกินของดี ๆ พวกนี้เพื่อให้ร่างกายของเราชิน แล้วเราจะค่อย ๆ หาของดีงามมากินไปเอง”
“ของกินที่ดีงามตามความเชื่อของกินสคูล ต่อให้มีเงินแต่ถ้าไม่มีความรู้ก็หาไม่ได้ คุณต้องมีเพื่อนเป็นเกษตรกร ผู้ผลิต แสวงหาแหล่งผลิตต่าง ๆ ที่จะเป็นที่พึ่งพาของเราได้ เราไม่สามารถมั่นใจในฉลากประกันคุณภาพได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะไม่มีใครที่ช่วยเราตรวจสอบได้ แต่ถ้าไปซื้อผักตามตลาดสีเขียวตรงจากชาวบ้านที่ไว้ใจ เรามั่นใจได้และราคาถูกกว่ากันเยอะ บางทีเราต้องสร้างระบบความไว้เนื้อเชื่อใจกับมนุษย์ด้วยกันเอง”
“พี่เลยเชื่อว่าเราจะเข้าถึงของดีได้ เราต้องรื้อฟื้นความรู้จากพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย รื้อฟื้นความรู้เรื่องฤดูกาล ทำความเข้าใจการผลิตว่าเดี๋ยวนี้เขาใส่อะไรกัน แล้วถ้าเขาต้องการผลิตแบบปลอดภัยเขาต้องใส่อะไรบ้าง เรามาเรียนรู้ด้วยกันที่กินสคูลได้”
โลกจะเปลี่ยนไปเมื่อเราเปลี่ยนแปลง
ตั้งแต่เริ่มจับตะหลิวเป็น เก๋ก็ปรุงอาหารด้วยซอสหอยนางรมมาตลอดด้วยความเคยชิน แต่หลังจากเปลี่ยนวิธีคิดเรื่องอาหาร ทำความเข้าใจส่วนผสมและเห็นว่าซอสหอยนางรมทุกวันนี้นั้นปรุงแต่งเกินความจำเป็น ทำให้ลิ้นรับรสจัดเกินไป เธอก็ค่อย ๆ ลดที่ละนิดเป็นระยะเวลา 2 ปีจนเลิกใช้ได้ในที่สุด
ผลข้างเคียงของการเลือกกินมากขึ้น พิถีพิถันมากขึ้นทำให้เธอรับรสหวานธรรมชาติจากผักได้ดี สัมผัสความเค็มแท้ของเกลือ ความอูมามิจากธรรมชาติที่ไม่ต้องปรุงแต่ง
“เราเปลี่ยนแนวคิด เปลี่ยนวิธีคิดได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะเปลี่ยนพฤติกรรมได้ทันที เราไม่ต้องรีบปานนั้น ไม่ต้องกดดันตัวเอง ค่อย ๆ เปลี่ยนทีละเล็ก ทีละน้อยเหมือนพี่ก็ได้”
“ทำอาหารกินเองคือการเปลี่ยนแปลงอย่างแรก เพราะจะหาอาหารสะอาดกินนอกบ้านมันยาก เขาทำเยอะและทำขาย เขาประณีตมากไม่ได้ จะให้มานั่งพิรี้พิไรล้างทุกเกล็ด ทุกซอกก็ลำบาก”
“พี่เข้าใจมากเลยว่าคนที่ต้องทำงานและเดินทางวันละ 3 ชั่วโมงในกรุงเทพฯ กลับบ้านมาก็รู้สึกเหนื่อยมาก แต่พี่เชื่อว่าทุกคอนโด หอพัก มีไมโครเวฟ มีหม้อหุงข้าว อาจจะเริ่มจากหาข้าวดี ๆ มาหุงกินเอง ใช้เครื่องปรุงขวดเล็ก ๆ เจียวไข่ใส่ผัก ตุ๋นไข่ใส่ผัก ควักน้ำพริกที่ชอบมาคลุก นั่งกินฟิน ๆ ดูทีวีที่บ้าน พี่ว่าปรับเวลานิดเดียวก็พอทำได้ อาจจะทำกินแค่อาทิตย์ละ 2-3 วัน”
“เดี๋ยวนี้เริ่มมีตลาดสีเขียวในกรุงเทพฯ มากขึ้น มีผู้ผลิตผักจากชานเมืองเข้ามาส่งผักเป็นรอบ ๆ เราพอพึ่งพาได้ และที่สำคัญต้องเรียนรู้การเก็บตุนอาหารให้เป็นเพื่อให้เก็บให้ได้นานขึ้น เราอาจต้องพยายามเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ค่อย ๆ ให้เวลากับมัน”
“แต่สำหรับใครที่ยังต้องพึ่งพาร้านอาหารตามสั่ง เวลาไปกินก็ลองสั่งเค้าว่าใส่อะไรบ้างหรือไม่ใส่อะไรบ้าง ให้เขารู้ว่าคุณต้องการกินแค่นี้ อย่างที่บอกว่าเราต้องหาเพื่อน หาคนทำอาหารที่เราไว้ใจได้ และรับฟังเรา”
เชียงใหม่เป็นเมืองที่รุ่มรวยเรื่องอาหารการกิน ที่นี่มีสารพัดผักท้องถิ่นตามฤดูกาล มีควายที่ชาวบ้านเลี้ยงอย่างยั่งยืน มีเกษตรกรที่ทำเกษตรอย่างยั่งยืน และมีภูมิปัญญาการทำอาหารแบบดั้งเดิมจากบรรพบุรุษที่สืบทอดกันมารุ่นสู่รุ่น ที่สำคัญเชียงใหม่ยังมีผู้คนมากมายที่พร้อมเสาะแสวงหาของดีเหล่านั้น ทำให้คอมมูนิตีการกินดีอย่างยั่งยืนในเชียงใหม่เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ
“เราเห็นปรากฏการณ์ที่มีซีอิ๊วและน้ำปลาแบรนด์ที่ไม่คุ้นเคยเข้ามาขายในริมปิง (ซูเปอร์มาร์เก็ตที่มีเฉพาะในเชียงใหม่) มากขึ้น มี Grocery ของดี ๆ หมายความว่าคนเริ่มมีโจทย์ในการหาของทางเลือกมากขึ้น ถึงมีคนเอามาขาย เราว่าคนเข้าใจเรื่องนี้มากขึ้น ซึ่งมันก็มาจากการศึกษาอย่างยาวนาน และเชื่อว่ามีผู้ประกอบการที่มาบอกเล่าเรื่องราวของตัวเองมากขึ้นว่าผลิตอย่างไร มาจากไหน เรามีเชฟที่ใส่ใจ มีนักกิจกรรม สังคมที่เราอยากเห็นเป็นแบบนี้”
“เราต้องการสังคมที่มีข้อมูล ข่าวสาร และสังคมที่คนตั้งคำถาม หาคำตอบ ตรวจสอบกันไปมาอยู่เสมอ เพื่อที่เราจะได้กินสิ่งที่มีคุณภาพที่สุด”
กินสคูล by Food for Change
116/3 หมู่ 2 ต.น้ำแพร่ อ.หางดง เชียงใหม่ 50230
โทร. 081-530-8339
FB : กินสคูล by Food for Change
Instagram : kinschool_by_foodforchange_th