

ทำถึงทุกบทบาท ความสุขของช่างอากาศยานที่ได้แต่งแดร็กเล่นเกมเป็น ELISTA the Drag Gamer
Better Life / People
19 Jun 2024 - 8 mins read
Better Life / People
SHARE
19 Jun 2024 - 8 mins read
ถ้าเลือกได้ เชื่อว่าทุกคนคงอยากทำตามความฝันของตัวเอง
แต่ในชีวิตจริง ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้ทำในสิ่งที่เสียงของหัวใจเรียกร้องได้ เพราะเงื่อนไขของชีวิตแต่ละคนย่อมต่างกัน เช่นเดียวกับ เอก หรือ ELISTA the Drag Gamer ที่เลือกแบ่งชีวิตออกเป็น 2 บทบาท คือ ช่างอากาศยาน และแดร็กควีน เพื่อตัวเองจะได้ทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ขณะเดียวกันก็มีเวลาให้ได้ทำตามความฝันที่เติมเต็มสีสันให้ชีวิตสนุกและมีความสุข
LIVE TO LIFE ร่วมเฉลิมฉลอง Pride Month หรือเดือนแห่งความหลากหลายทางเพศ ด้วยบทสัมภาษณ์จากเรื่องราวหลากมุมมองของ ELISTA the Drag Gamer ทั้งความฝัน ความสุข และความจริงที่ชีวิตต้องก้าวผ่านและเติบโต เพื่อสร้างและส่งต่อแรงบันดาลใจให้ทุกคนที่มีความฝันเลือกทางชีวิตให้ตัวเองก้าวเดินได้อย่างมั่นคงและสวยงามที่สุด
ทุกคนมีความฝัน จำได้ไหมว่าตอนเด็ก ๆ คุณฝันอยากเป็นอะไร
“ตั้งแต่จำความได้ประมาณ 3 - 4 ขวบ เรารู้แค่ว่าอยากเป็นแดนเซอร์มาก ๆ ตื่นเต้นทุกครั้งเวลาเห็นแดนเซอร์ใส่ชุดขนนกบนเวทีลูกทุ่ง เรามองเห็นตัวเองเต้นอยู่ตรงนั้นมาตลอด ใส่ชุดที่มีขนนกเยอะ ๆ ใหญ่ ๆ แบบนี้แหละที่เราอยากเป็น”
“ตอนนั้นเรายังเด็กเกินกว่าจะรู้ว่าเพศคืออะไรด้วยซ้ำ แล้วสังคมที่บ้านตอนเด็ก ๆ ก็ไม่ได้กดดันหรือห้าม เขาบอกแค่ว่า ‘อยากเป็นอะไรเป็นเลย’ เราก็มักจะตอบไปว่า ‘หนูจะเป็นแดนเซอร์’ เพราะเป็นความฝันอย่างเดียวของเรา”
ฝันอยากเป็นแดนเซอร์ แต่ทำไมถึงมาลงเอยกับอาชีพช่างอากาศยาน
“เราเป็นคนที่เชื่อฟังพ่อแม่มาก ๆ เพราะว่าที่บ้านอยู่กันแบบครอบครัวใหญ่ พ่อแม่เปิดกว้างและสนับสนุนเราให้ทำทุกอย่างที่อยากทำ พอเราเห็นปู่ทำงานเป็นช่างรถไฟ และเห็นพ่อทำงานเป็นช่างรถยนต์ กลายเป็นภาพชินตาว่าช่างเป็นอาชีพที่ดี มั่นคง และมีหนทางเติบโตต่อไปได้”
“แล้วตอนที่ต้องตัดสินใจเลือกเรียนต่อช่างเครื่องบิน เราถามตัวเองก่อนเลยว่า คนที่เป็นแบบเราทำอาชีพช่างได้แน่ใช่ไหม เพราะคนส่วนใหญ่มีความคิดเหมารวมว่า ช่างเครื่องยนต์เป็นอาชีพที่ผู้ชายแมน ๆ ทำกัน แต่เราคิดว่าคนเราควรดูกันที่ความสามารถ แล้วเราก็เป็นคนที่เชื่อมั่นในตัวเองด้วย ดังนั้น ถ้าเลือกเดินไปในอาชีพนี้เหมือนปู่และพ่อ เราน่าจะทำได้สบายอยู่แล้ว”
“ตอนนี้ครอบครัวมีช่างรถไฟ ช่างรถยนต์ และช่างเครื่องบินแล้ว ถ้ามีหลานก็อยากให้เป็นช่างเรือ จะได้ครบ (หัวเราะ)”
ลูกชายที่เติบโตมาในครอบครัวใหญ่ มักจะถูกคาดหวังไว้สูง
“คุณปู่คุณย่า มีลูกหลายคน คุณพ่อเป็นลูกคนโต ส่วนคุณอาที่เหลือไม่มีใครมีลูกเลย เรากลายเป็นหลานชายที่เป็นความหวังเดียวของตระกูลก็ว่าได้”
“ตอนเด็ก ๆ เราแสดงออกได้เต็มที่ ขนาดเราไปป่าวประกาศว่าอยากเป็นแดนเซอร์ใส่ชุดขนนกใหญ่ ๆ ยังไม่เคยมีใครว่าเลย ไม่มีใครห้ามว่า ไม่ได้นะ แบบนั้นไม่ใช่ผู้ชาย”
“จนกระทั่งวัยประถม เริ่มมีเพื่อนผู้ชายถามว่า เป็นตุ๊ดหรือเปล่า เพราะเห็นเราคบแต่เพื่อนผู้หญิง ขนาดเราไม่ได้เป็นคนกรี๊ดกร๊าดนะ นั่นคือคำถามแรกที่ทำให้เราเริ่มรู้สึกแย่ กลับมาบ้านคุณอาก็เริ่มมีท่าทีเปลี่ยนไป เขาบอกว่าเราเป็นหลานชายนะ เป็นความหวังของครอบครัวด้วย”
คุณพาตัวเองผ่านจุดที่เริ่มถูกตั้งคำถามมาได้อย่างไร
“ยิ่งโตขึ้น ทุกอย่างยิ่งเปลี่ยน ทำให้เราเริ่มเรียนรู้ว่า เพศคืออะไร ผู้ชายต้องเป็นแบบไหน เพราะสังคมรอบตัวพยายามหล่อหลอมว่า เพศที่ดีมีแค่ชายกับหญิงเท่านั้น เป็นตุ๊ดไม่ดี มันน่าอาย”
“จุดพีคที่สุด เกิดขึ้นตอนมัธยมศึกษาปีที่สาม ความฝันในวัยเด็กที่อยากเป็นแดนเซอร์กลับมาชัดอีกครั้ง แล้วเราก็เพิ่งเข้าใจว่า ที่อยากเป็นจริง ๆ คือ นางโชว์ ไม่ใช่แดนเซอร์ ทำให้เริ่มมีความคิดอยากศัลยกรรมเปลี่ยนตัวเอง เรารีบคุยกับที่บ้าน ปรากฏว่าไม่มีใครเห็นด้วย”
“คุณอาที่เลี้ยงเรามาตั้งแต่เด็ก อยากให้เรากลับมาเป็นผู้ชายเต็มร้อย แต่เรารู้ตัวว่า แก้ไม่ได้ เราเกิดมาเพื่อเป็นแบบนี้ เขาไม่อยากให้เราเป็นเหมือนญาติที่เป็นสาวประเภทสอง เพราะเขาติดยาและขายบริการ นั่นคือภาพฝังใจของทุกคนในครอบครัว”
“ตอนแรกเราร้องไห้เสียใจ ไม่อยากให้คนเหมารวม อยากให้มองเป็นเรื่องของแต่ละคนมากกว่า เพราะเราเป็นเด็กดีที่ตั้งใจเรียน ไม่เคยสอบได้ต่ำกว่าที่สาม เลยรู้สึกน้อยใจว่าทำไมถึงมองว่าเราจะกลายเป็นคนไม่ดี แต่พอมีสติก็กลับมาคิดได้ว่า จริง ๆ แล้วทุกคนหวังดี เป็นห่วงเรา เพื่อความสบายใจ เราเลือกวางตัวใหม่ให้เหมาะสม เพราะไม่อยากทำให้ครอบครัวต้องเสียใจ การได้รับการยอมรับจากครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญ แต่การยอมรับตัวเองได้เป็นสิ่งสำคัญที่สุด”
เริ่มสนใจแต่งแดร็กตั้งแต่เมื่อไหร่
“จุดเริ่มต้นที่ทำให้เราแต่งแดร็ก เริ่มจากรู้จัก พี่ไจ๋ ซีร่า เขาคือคนที่ชอบแต่งหน้าแต่งตัวเป็นแดร็กควีน เราติดตามผลงานของเขามาตลอด พอถึงเดือนสุดท้ายของการเรียนมัธยมปลาย โรงเรียนจัดงานพรอม เราตัดสินใจว่าจะแต่งแดร็กแล้วขอให้พี่ไจ๋ช่วยสอน เพราะเรามองเขาเป็นแรงบันดาลใจ”
“พี่ไจ๋เป็นคนที่มีความมั่นใจและเป็นตัวของตัวเอง เขาในเวอร์ชันแต่งแดร็กดูสวยมาก ๆ แต่พอล้างหน้าถอดชุด เขาก็คือผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง เรารู้สึกว่าคนนี้แหละ ช่วยเติมเต็มความฝันของเราได้ เรายังเป็นลูกชายและหลานชายของครอบครัว ทุกคนเรียกเราว่าน้องเอกได้อย่างภูมิใจ แต่ในอีกบทบาทหนึ่ง ช่วงเวลาที่เราอยากแสดงออกตัวตนอีกมุมที่อยากเป็น เราก็จะแต่งแดร็กเป็น ELISTA”
ภาพ : instagram.com/theonlyelista
“อีกอย่างที่เป็นแรงบันดาลใจให้เรา คือ รายการ RuPaul’s Drag Race เราเห็นคนเข้าแข่งขันมีสรีระเป็นผู้ชาย แต่ทุกคนมีทักษะ มีความสามารถในการแต่งแดร็กให้ออกมาดูสวยเหลือเกิน ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องมีใจรักและมีฝีมือจริง ๆ เพราะเป็นการสร้างงานศิลปะแบบหนึ่ง แบบนี้แหละที่เราอยากแต่ง”
อยากรู้ที่มาของฉายา ELISTA the Drag Gamer
“คนที่แต่งแดร็กควีนทุกคนจะต้องมีฉายา โดย ELISTA มาจากชื่อ Alyssa Edwards เขาคือแดร็กควีนที่เราชอบมาก แล้วชื่อเอกของเราขึ้นต้นด้วย E เลยตั้งชื่อใหม่ให้คล้องกัน”
“ส่วน the Drag Gamer เกิดขึ้นช่วงที่โควิดกำลังระบาด ตอนนั้นสนามบินปิดทั่วโลก ไม่ได้ลงพื้นที่ มีเวลานั่งเล่นแต่งหน้าอยู่ที่บ้านไปวัน ๆ แต่ไม่หายเบื่อ คิดได้ว่าเราเป็นคนชอบเล่นเกมอยู่ก่อนแล้ว เลยเปิดคอมตั้งกล้องแล้วสตรีมเกมเลย เชื่อไหม มีคนเข้ามาดู เข้ามาติดตามเยอะมาก เพราะคนส่วนใหญ่น่าจะไม่เคยเห็นใครแต่งแดร็กแบบจัดเต็มแล้วมานั่งเล่นเกมให้ดูแบบนี้ ทำให้เริ่มเป็นที่รู้จักตั้งแต่ตอนนั้น”
“ถามว่าเหนื่อยไหม เหนื่อยมาก เพราะแต่ละครั้ง เราเล่นเกมไม่เคยต่ำกว่า 6 ชั่วโมง ไม่นับเวลาแต่งหน้าแต่งตัวอีก 2 ชั่วโมง แต่สนุกและมีความสุขเพราะตั้งใจทำจากความชอบ”
บาลานซ์บทบาทระหว่างการทำงานเป็นช่างอากาศยาน กับการแต่งแดร็กควีนอย่างไร ให้ตัวเองทำเต็มที่ในทุกบทบาทและยังสนุก
“ยอมรับว่าเคยเครียดกับเรื่องนี้ เพราะภาพของอาชีพช่างกับภาพแต่งแดร็กค่อนข้างขัดแย้งกัน กังวลว่าจะไปด้วยกันได้ไหม เดือนแรกของการทำงานคิดเยอะมาก เพราะเราเป็นคนเปิดเผยไม่เคยปิดตัวเอง ตั้งภาพแต่งแดร็กใส่วิกยาวถึงพื้นเป็นรูปโปรไฟล์ (หัวเราะ)”
ภาพ : instagram.com/theonlyelista
“พอคนรู้ว่าเรามีอีกบทบาทหนึ่ง บางคนมีท่าทีเปลี่ยนไปเลย เพราะเขาไม่เข้าใจเลยทำตัวไม่ถูก เราถามตัวเองว่า ทำอะไรผิดไปหรือเปล่า ได้คำตอบว่า ไม่นะ ไม่มีอะไรผิด ก็ต้องให้เวลาแต่ละคนเรียนรู้ความหลากหลาย เคยคิดว่า หรือเลิกแต่งแดร็กไปเลยเพื่อรักษาภาพลักษณ์ของอาชีพ”
“แต่เราทิ้งอย่างใดอย่างหนึ่งไปไม่ได้ เลือกบาลานซ์ทั้ง 2 บทบาทให้เจอกันคนละครึ่งทางดีกว่า ในหนึ่งสัปดาห์เราทำงานแค่ 4 วัน อีก 3 วัน ได้หยุดพัก มีเวลามากพอให้ได้เป็นตัวของตัวเอง โดยเฉพาะสิ่งที่เรารักจะทำ แล้วสิ่งที่ทำอยู่ทั้งคู่ก็ทำให้เราหาเลี้ยงตัวเองได้ ทั้งเชิงร่างกายและเชิงจิตวิญญาณ บทบาทหนึ่งสร้างอาชีพ อีกบทบาทเติมเต็มความฝัน”
หลายคนยังนึกภาพไม่ออกว่าช่างอากาศยานทำหน้าที่อะไรบ้าง
“หลัก ๆ คือตรวจสภาพเครื่องบินให้พร้อมขึ้นบินอย่างปลอดภัย ซึ่งเรามีเวลาทำงานจำกัดมาก ๆ เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ระหว่างเปลี่ยนเที่ยวบิน เพราะต้องเช็กเครื่องบินทุกส่วนทันทีหลังจากเครื่องลงจอดส่งผู้โดยสาร เพื่อรับผู้โดยสารเที่ยวบินใหม่แล้วขึ้นบินต่อ”
“เราต้องเติมน้ำมัน ตรวจสภาพล้อว่าโอเคไหม หรือต้องเปลี่ยนยาง ดูตัวเครื่องมีจุดไหนต้องซ่อมแซมหรือเปล่า เป็นงานที่ท้าทายและต้องมีความรับผิดชอบสูง เพราะเป็นการทำงานเกี่ยวกับความปลอดภัย”
ส่วนการแต่งแดร็กเป็นการสร้างตัวตนใหม่ให้เป็นอีกคนหนึ่งใช่ไหม
“หลายคนเชื่ออย่างนั้น บางคนแต่งแดร็กเพื่อสร้าง Alter Ego เป็นตัวเองในอีกเวอร์ชัน คือเปลี่ยนบุคลิกทั้งหมดให้กลายเป็นคนใหม่ไปเลย ทุกคนมีวิธีแสดงออกเป็นของตัวเอง แต่ส่วนตัวไม่ได้แยกตัวตนขนาดนั้น ไม่ได้อยากสร้างตัวตนของ ELISTA the Drag Gamer ให้ต่างจากเอก เพราะกลัวว่าจะสูญเสียความเป็นตัวเองไป”
“การแต่งแดร็กช่วยเพิ่มความมั่นใจให้เราได้มากขึ้น และเราก็ใช้อินเนอร์จากความฝันที่อยากเป็นนางโชว์ตั้งแต่เด็กเอาออกมาแสดงและสร้างความบันเทิง เพราะได้ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ เลยรู้สึกว่าทุกอย่างกลมกลืนเข้ากันเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องพยายามเป็นคนใหม่ เราเป็นตัวของตัวเองแบบนี้แหละ”
ล่าสุด เห็นคุณมีผลงานเพลงที่ทำร่วมกับแดร็กควีนระดับโลกด้วย
“เป็นสิ่งที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน ส่วนตัวรู้จักกับน้องธรรมชาติอยู่ก่อนแล้ว เป็นตัวตั้งตัวตีที่อยากทำเพลง Don’t Kill The Vibe เพื่อเฉลิมฉลอง Pride Month ปีนี้”
“การร้องเพลงเป็นประสบการณ์ใหม่ที่สนุก แล้วเราได้ร่วมร้องเพลงกับ Laganja Estranja เขาเป็นแดร็กควีนระดับที่เคยแข่งขันในรายการ RuPaul’s Drag Race ซีซั่น 6 ตื่นเต้นมาก ๆ ไม่เคยคิดว่าชีวิตจะได้มาทำอะไรแบบนี้ เพราะอย่างที่บอกว่าความฝันเดียวที่อยากทำมาตั้งแต่เด็กคือเป็นนางโชว์ (หัวเราะ) ทุกคนตั้งใจมาก ๆ อยากให้ทุกคนได้ลองฟังกัน”
คิดอย่างไรกับคำว่า ‘พิสูจน์ตัวเอง’
“ชอบคำถามนี้มาก เพราะไม่เคยมีใครถามเราเลย เชื่อว่าทุกคนมีคำตอบอยู่ในใจ แต่การที่คนคนหนึ่งจะได้รับการยอมรับจากใครสักคน คนนั้นจะต้องพิสูจน์ตัวเองด้วยการมีชื่อเสียง มีเงินทอง ประสบความสำเร็จสูงสุดก่อนเหรอ คงเหนื่อยน่าดู”
“เราจะต้องพิสูจน์ตัวเองไปทำไมกัน ในเมื่อไม่ได้ทำอะไรผิด เราแค่เป็นในสิ่งที่ใครบางคนไม่ได้คาดหวังอยากให้เราเป็น เราไม่จำเป็นต้องพิสูจน์อะไร ถ้าวันหนึ่งเราตอบตัวเองได้ว่ากำลังทำอะไรอยู่แล้วเราทำมันได้อย่างดี นั่นคือเพียงพอแล้ว”
“ไม่รู้หรอกนะว่า เป็นแบบนี้แล้วจะมีใครมาชื่นชอบหรือรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเราหรือเปล่า แต่ในเมื่อฉันรักที่จะเป็นและทำแบบนี้ ฉันยืนยันหนักแน่นว่าจะเป็นและทำแบบนี้ต่อไป เพราะคนที่พร้อมยอมรับ ไม่ต้องทำอะไรเลยเขาก็ยอมรับ ส่วนคนที่ไม่พร้อมยอมรับ ทำมากแค่ไหนเขาก็ไม่ยอมรับ เราไปบังคับใครไม่ได้”
ภาพ : instagram.com/theonlyelista
การซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเองและยืนหยัดเป็นตัวเองนั้นสำคัญแค่ไหน
“เราผ่านจุดที่อยากเปลี่ยนตัวเองมาแล้ว เพราะเอาตัวเองไปผูกติดอยู่กับความคิดคนอื่นและสิ่งที่สังคมคาดหวังอยากให้เป็น สุดท้ายฝืนใจตัวเองเปล่า ๆ เราไม่มีความสุข กลับมาซื่อสัตย์กับตัวเองดีกว่า เพราะทำให้เรามีความสุขที่สุด ไม่ต้องหลอกตัวเอง คงไม่มีใครอยากทำให้ตัวเองทุกข์เพราะไม่ได้เป็นตัวเอง”
ในสังคมที่มีทั้งคนที่ยอมรับและไม่ยอมรับ ผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ รวมถึงคนที่รู้สึกแปลกแยก ควรทำอย่างไรเพื่อปลุกพลังใจและก้าวข้ามความท้าทายเหล่านี้ไป
“เราเชื่อว่าทุกคนพยายามต่อสู้กับทุกอุปสรรคมาตลอด เพื่อหาที่ทางของตัวเอง หลายคนต้องยืนหยัดเป็นตัวของตัวเองท่ามกลางคำดูถูกเหยียดหยามและสายตาที่ตัดสินเหมารวมจากคนที่ไม่เปิดใจยอมรับความแตกต่าง เราไม่อยากให้ไปกดดัน บังคับ หรือพยายามทำให้ใครยอมรับตัวเรา เพราะสุดท้ายเราจะเหนื่อยและเศร้าเอง ทำไปแล้วมีแต่เสียพลังชีวิตและหมดกำลังใจโดยไม่ได้อะไรกลับมา”
ภาพ : instagram.com/theonlyelista
“อยากจะส่งกำลังใจให้ทุกคนว่า เราไปบอกใครให้เขายอมรับในตัวเราไม่ได้หรอก เราบอกไม่ได้ว่า เชื่อมั่นในตัวหนูเถอะ แต่ถ้าเรายอมรับตัวเองได้ แล้วทำเต็มที่กับสิ่งที่รัก เชื่อว่าวันหนึ่ง ทุกคนจะเข้าใจเองว่าเรากำลังทำอะไร”
หมายความว่าให้กลับมามีความสุขกับตัวเอง
“ใช่ที่สุด ทำเท่าที่ตัวเองไหว เป็นตัวเองในแบบที่ตัวเรามีความสุขมากที่สุด ถ้าวันหนึ่งอยากตะโกน รู้สึกว่าทำแล้วได้ปลดปล่อย ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ก็ทำเลย แต่ถ้าคนอื่นเป็นเดือดเป็นร้อนเพราะเพศสภาพของเรา ก็ช่วยอะไรไม่ได้ นั่นคือความทุกข์ของเขา เป็นปัญหาของเขา”
“ขอให้คิดว่าถ้าคิดและทำดีที่สุดแล้ว ก็ไม่เห็นมีอะไรต้องเสียดาย อย่างน้อยตัวเราเองพอใจในสิ่งที่เราเลือกเป็น ถ้าทำแล้วมีความสุข ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ทำ นั่นคือความสุขของเรา ทุกอย่างเริ่มจากตัวเอง”
คนเราค้นหาตัวตนได้ตลอดชีวิต ตอนนี้อาจมีหลายคนกำลังสับสนว่าจะเอาอย่างไรกับตัวเองต่อไป คุณมีอะไรอยากฝากไปถึงพวกเขาเหล่านี้บ้าง
“เราไม่มีทางรู้ได้แน่นอนว่าตัวเองชอบหรือไม่ชอบอะไร จนกว่าจะได้ลองทำสักครั้ง ถึงจะรู้ว่าควรทำต่อหรือพอแค่นี้ ถามตัวเองว่าต้องการอะไร แล้วเงื่อนไขในชีวิตสนับสนุนให้เราทำสิ่งนั้นได้เลยไหม ถ้าทุกอย่างพร้อม ก็ลงมือทำได้เลย เพราะเป็นการเติมเต็มตัวเอง สำหรับคนที่ยังไม่พร้อมก็ไม่ต้องเสียใจ ชีวิตนี้ยังอีกยาวไกล วันนี้ทำไม่ได้ ใช่ว่าจะทำไม่ได้ไปตลอด เราแค่ต้องพยายามและคอยดูจังหวะของชีวิตที่เหมาะสม แล้วระหว่างทางต้องไม่ลืมทำให้ตัวเองมีความสุขมาก ๆ”