เมื่อ ‘มิกิ’ ชวน ‘แม่แพม’ สลัดภาพคุณแม่นางเอก 1 วันมาคุยกันเรื่องของแม่ที่ไม่เคยบอก

24 Aug 2023 - 9 mins read

Better Life / People

Share

คนเป็นแม่หลายคนต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “การเป็นแม่คนนั้นเหนื่อยมาก แต่ก็มีความสุขมากเช่นเดียวกัน” และเป็นความเหนื่อยและสุขแบบฉบับที่ถ้าไม่ได้เป็นแม่ก็อาจไม่เข้าใจ 

 

LIVE TO LIFE จึงอยากชวนผู้อ่านไปทำความรู้จักกับสองแม่ลูกคู่ซี้ ‘คุณแม่คนเก่ง’ ผู้ได้สัมผัสมาแล้วทั้งความเหนื่อยยากและแสนสุขแบบคนเป็นแม่ และ ‘ลูกสาวคนเล็ก’ ที่เติบโตอย่างกล้าแกร่งด้วยความรักของแม่

 

หลายคนคงรู้จัก ‘แม่แพม’ - นวลนง จามิกรณ์ ในฐานะคุณแม่ของ แพนเค้ก - เขมนิจ นักแสดงชื่อดังแนวหน้าของไทย ตั้งแต่วันแรกที่ก้าวเท้าเข้าวงการ จนถึงวันนี้เป็นเวลาเกือบ 20 ปีแล้ว ไม่ว่าแพนเค้กจะไปเดินแบบ ถ่ายละคร ออกอีเวนต์ที่ไหน เราก็จะเห็นแม่แพมอยู่เคียงข้างคอยดูแลลูกสาวของเธอเสมอ  

 

อาชีพแม่ของเธอยังไม่หมดแค่นั้น เพราะนอกจากพี่แพนแล้ว แม่แพมยังต้องแบ่งเวลามาดูแล พัตเตอร์ - เตชธร  ลูกชายคนกลาง และ มิกิ - อิงกมล ลูกสาวคนสุดท้องแบบไม่ให้ขาดตกบกพร่องราวกับเป็นซูเปอร์วูแมนที่พร้อมปฏิบัติภารกิจเมื่อลูกร้องเรียก  

 

จากพีอาร์สำนักประชาสัมพันธ์บมจ.การบินไทย สู่คุณแม่ฟูลไทม์ของลูก ๆ ทั้ง 3 คน ชีวิตการเป็นแม่ทำให้เธอได้เรียนรู้อะไรมากมาย หลายคนอาจรู้จักแม่แพมจากมุมมองของแพนเค้กแล้ว วันนี้เราจึงขอชวนมารู้จักแม่แพมในมุมของ ‘มิกิ’ ลูกสาวคนเล็กที่ปัจจุบันเป็นทั้งคอนเทนท์ครีเอเตอร์ เป็นอินฟลูเอนเซอร์ เล่าเรื่องไลฟ์สไตล์สนุก ๆ และที่สำคัญ เธอเป็นลูกคนเล็กที่ซี้กับแม่สุด ๆ ไม่แพ้พี่ ๆ เลย

 

มิกิกับแม่แพมสนิทกันไหม 

 

มิกิ : สนิทมากเลยค่ะ บางทีก็ตีกัน 

 

แม่แพม : Like A Friend นะ (หัวเราะ) คอนเซ็ปต์ของแม่ในการเลี้ยงลูกคือมีความเป็นเพื่อนกันให้มากที่สุด แต่เราก็มีมุมโหดนะ บางอย่างก็ปล่อยผ่านไม่ได้ 

 

เรื่องไหนบ้างของมิกิที่แม่แพมมักจะปล่อยผ่านไม่ได้ 

 

แม่แพม : เรื่องคำพูด มารยาท กาลเทศะ เช่นถ้าไปเจอใครแล้วไหว้ยึก ๆ ยัก ๆ เนี่ยไม่ได้เลย แม่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากแล้วจะไม่ปล่อยผ่าน ฉันต้องพูด ต้องเช็กบิล 

 

ชีวิตการเป็นคุณแม่ของแม่แพมเริ่มต้นขึ้นตอนไหน 

 

แม่แพม : ตอนอายุ 26 แม่ตั้งใจอยู่แล้วว่าชีวิตนี้ฉันต้องมีลูก ไม่เคยนึกเลยว่าถ้าแต่งงานแล้วฉันจะเที่ยว คิดแต่ว่าเดี๋ยวฉันจะท้องช่วงไหนดี (หัวเราะ) เราจะเดินหน้ากับการสร้างมนุษย์คนใหม่อย่างไรดี แม่ใช้คำนี้เลยนะ เพราะถ้าเราต้องสร้างคนใหม่ขึ้นมา 3 คน เขาต้องเป็นคนแบบที่เราอยากให้เป็น  

 

ยังจำความรู้สึกตอนเห็นหน้าลูกครั้งแรกได้ไหม 

 

แม่แพม : ตอนเห็นหน้าลูกไม่ได้ตื่นเต้นหรือเห่อลูกเลย แต่แม่คิดต่อไปแล้วว่าฉันจะทำให้เด็กคนนี้เติบโตไปอย่างไร ลูกของฉันต้องเติบโตอย่างงดงามที่สุด เราจะเลี้ยงอย่างไรให้เขาเพียบพร้อม อยู่ในเครื่องนุ่งห่มที่สะอาด สะอ้าน แม่หาซื้อของให้ลูกเองทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นผ้าอ้อมหรือเสื้อผ้า 

 

ที่สำคัญเราต้องสู้กับทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ แม่จะนึกเสมอว่าใจของเราต้องแข็งแรงเพื่อเตรียมตัวรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับลูกในวันข้างหน้า เช่น ความเจ็บไข้ได้ป่วยของเขา เพราะถ้าใจเราไม่หนักแน่นลูกก็จะเป๋ตามไปด้วย เราต้องเป็นนักรบแถวหน้าให้ลูก  

 

ลูก ๆ ทั้ง 3 คนนิสัยแตกต่างกันอย่างไร 

 

แม่แพม : ลูกบ้านนี้แตกต่างกันสุดขั้ว พี่แพนโตมาในฐานะที่เป็นลูกคนแรก อยู่กับแม่เป็นหลัก ตอนนั้นแม่ยังทำงาน มีการย้ายถิ่นฐาน ยังไม่มีอะไรเลย ยุคของพัตเตอร์ เราเริ่มสร้างเนื้อสร้างตัว แล้วเขาก็เป็นอีกสไตล์หนึ่งเพราะเป็นลูกชายคนเดียว รับมือลำบากเหมือนกันเพราะแม่เองก็ไม่คุ้นเคยกับการมีลูกผู้ชาย ส่วนมิกิเป็นลูกที่มีความพร้อมสูงมาก การงานก็พร้อม มีคนมาช่วยดูแล บ้านช่องก็ลงตัว มิกิเลยห้อมล้อมด้วยมวลของความพร้อม 

 

มิกิ : สภาพแวดล้อมและสถานการณ์ทางบ้านตอนที่พวกเราเกิดต่างกันนั่นเอง 

 

จากการเลี้ยงพี่ ๆ ทั้งสองคน แม่แพมได้บทเรียนอะไรมาปรับใช้กับมิกิบ้าง 

 

แม่แพม : เยอะมาก ตอนที่เลี้ยงเขาเรานิ่งลงไปเยอะแล้ว และตอนเขาเด็ก ๆ เขาไม่เคยเร่งเร้าอารมณ์แม่ เวลามิกิอยู่กับแม่ เขาค่อนข้างน่ารัก ภาพจำของมิกิคือเขาจะตัวเล็ก จูงมือแม่ แล้วบอกว่าพินรักแม่อยู่แบบนั้น แต่ก่อนเขาชื่อพิน ให้ทำอะไร อยู่กับใครก็อยู่ได้ มีความแตกต่างกับพี่น้องคนอื่น ๆ แต่ช่วงโตแล้วเนี่ยไม่ได้เลย (หัวเราะ)  

 

มิกิ : พอโตขึ้น เราก็มีความคิด มีอารมณ์ ความรู้สึกมากขึ้น เรามีเหตุผลของเรามากขึ้น แม่เลี้ยงเรามาแบบถ้ารู้สึกอะไรก็พูดได้เลย เราเลยไม่เก็บความรู้สึกเท่าไหร่ คิดเห็นอย่างไร รู้สึกอะไรก็พูดเลย พอพูดปุ๊บมันก็ทำให้เกิดบทสนทนาที่เข้มข้นขึ้น 

 

แม่ : Fighting Fighting ! (หัวเราะ) เราต่อสู้กันด้วย Mindset ความคิดและวิธีคิดของกันและกัน มาเลย พร้อมรับฟัง ทำอย่างไรที่ใครจะสยบใครได้ แม่พร้อมฟังว่าวิธีของเขาถูกไหมและเราต้องปรับกันไป

 

รู้สึกอย่างไรกับการเป็นคุณแม่ที่ใช้เวลาดูแลลูก ๆ แบบฟูลไทม์ 

 

แม่แพม : เหนื่อยมาก แต่ก็มีความสุขมาก พอเรามีหลาน เราก็พยายามบอกแม่เขาว่าอย่าปล่อยช่วงเวลานี้ทิ้งไปนะ เพราะมันมีค่ามาก ช่วงเวลาที่เรากำลังสร้างเขา เขาเป็นเหมือนคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ที่สมองกำลังแล่น ถ้าเราไม่ปลูกฝังเขาตั้งแต่ตอนนี้มันอาจจะสายเกินไป 

 

สำหรับแม่แล้ว สิ่งที่ต้องทำให้ลูกจะไม่มีคำว่าผัดวันประกันพรุ่ง เช่น ในวัยนี้เขาต้องเรียนเปียโน แม่ก็ทำทุกอย่างเพื่อให้เขาได้เรียน เราไม่ใช่ครอบครัวร่ำรวยหรือมีเงินเหลือเฟือ แต่แม่ก็พยายามให้เขาได้มีอะไรติดตัวไปในช่วงเวลาที่เหมาะสมให้ได้ 

 

แม่เองเป็นคนไม่ปล่อยผ่าน เพราะเราคิดว่าถ้ามันผ่านแล้วก็จะผ่านไปเลย แม่จะให้เขาทำสิ่งนั้นให้ได้ ถ้าเขาผูกคอซองไม่ดี ก็ต้องผูกจนดี เราจะไม่ปล่อยให้มันเบี้ยวแบบนั้นทุกวัน เราจะมีวิธีพูดให้เขาเห็นว่าสิ่งไหนคือสิ่งที่ดีที่สุด แต่ถ้าคุณอยากจะทำสิ่งไม่ดี มันก็แล้วแต่คุณ

 

ที่บอกว่าเหนื่อยแต่มีความสุข แล้วความสุขของการเลี้ยงลูกของแม่แพมคืออะไร 

 

แม่แพม : การสื่อสารกัน เวลาที่เราได้พูดกับเขา เวลาที่เขามีเรื่องอะไรก็มาบอกเรามันเหมือนเสียงสวรรค์ มันสร้างรอยยิ้มให้เรา แม้ว่าตอนนั้นชีวิตเราจะหนักหนา สาหัส ทำงานก็ไม่เป็นเวลา ตอนทำงานก็ต้องวิ่งรับส่งลูกตลอด แต่ช่วงเวลาที่ลูกทุกคนอยู่ในรถกับเรานั้นมีค่ามาก 

 

แม่ให้ลูกมาเป็นอันดับหนึ่งในชีวิตมากกว่าสามีและการทำงาน แม่ทำงานไม่ประสบความสำเร็จเลยเพราะใจไปฝักใฝ่อยู่กับการเลี้ยงลูก (หัวเราะ) เราตื่นตั้งแต่เช้าไปส่งลูก พอสัก 3 โมง ฉันก็นั่งไม่ติดแล้ว เพราะลูกจะเลิกเรียน ฉันต้องคิดแล้วว่าต้องเตรียมอะไรให้ลูกกินตอนเลิกเรียน เพราะบ้านเราอยู่ไกล ลูกต้องกินข้าวในรถ 

 

บางที เวลาเดินอยู่ใน ม.เกษตรฯ แม่ยังคิดว่าถ้าตายไป จิตแม่คงจะผูกพันกับมหาวิทยาลัย เพราะเราใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นเยอะมาก ระหว่างรอลูก เราก็เดินออกกำลังตรงนั้นบ้าง ตรงนี้บ้าง จนทุกคนแถวนั้นรู้จักเราหมด 

 

แม่แพมเตรียมพร้อมและสนับสนุนลูกเสมอ  

 

แม่แพม : แม่ต้องหาสิ่งมาบำรุงใจลูกตลอด สิ่งที่ทำให้ลูกมีชีวิตชีวาในแต่ละวันได้ อย่างมิกิเขาชอบเครื่องเขียนมาก แม่ก็จะต้องเห็นดีเห็นงามไปด้วย 

 

มิกิ : แม่สนับสนุนหมดเลย อยากได้อะไรแม่ก็จะหามาให้  

 

แม่แพม : แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องหาทุกสิ่งที่เราไม่สามารถหามาได้นะ เช่น เรื่องเสื้อผ้า เราก็หาเสื้อผ้าในสไตล์ที่เป็นเรา ไม่จำเป็นต้องราคาแพง ไม่ต้องคว้าในสิ่งที่เราเอื้อมไม่ถึง แม่ก็จับอันนู้นมาแมตช์อันนี้ให้เป็นเสื้อผ้าลูกสไตล์ของแม่ อย่างมิกิเองเขาก็ซึมซับแฟชั่นของแม่มาเช่นกัน 

 
แสดงว่าแม่แพมชอบแต่งตัวมาก 

 

แม่แพม : แม่เคยได้ยินคำหนึ่งจากพี่เตอร์ ตอนเราไปรับเขาที่โรงเรียน เขาบอกว่าเพื่อนเขาไปบอกคุณแม่ตัวเองว่าทำไมแม่ไม่แต่งตัวเหมือนแม่พัตเตอร์บ้าง อย่างผ้าไหมที่แม่ใส่ก็ไม่เหมือนใคร สีสันต่างกัน เสื้อสีเขียว กุ๊นสีชมพู กระโปรงอีกสีหนึ่ง แม่เลยบอกลูกว่า เห็นมั้ยว่าเวลาแม่ไปรับลูก แม่ยังตั้งใจ 

 

มิกิ : ชอบคุณแม่เวลาแต่งตัวมาก เพราะดูแล้วเพลินตา ตอนเด็ก ๆ ไม่อายเลยเวลาแม่มารับเพราะแม่แต่งตัวสวย แต่งหน้าสวย เราภูมิใจในตัวของแม่เรา  

 

แม่แพม : นี่คือความสุขของคนเป็นแม่เนอะ ตอนแรกก็แอบนึกว่าลูกจะอายไหม ฉันดูเยอะเกินไปหน่อยหรือเปล่า (หัวเราะ) แต่ในขณะเดียวกัน ลูกทุกคนก็ยอมรับในตัวแม่  

 

ที่แม่ทำแบบนี้ส่วนหนึ่งคือแม่อยากสร้างสังคมที่แข็งแรง สร้างสภาพแวดล้อมให้กับลูก เช่นถ้าลูกต้องอยู่กับเพื่อนกลุ่มนี้ พ่อแม่ของเพื่อนก็ต้องรักลูกเราด้วย และเขาก็ต้องรักตัวแม่ด้วยจนส่งผลมาถึงลูก อยากให้ลูกยืนอยู่ได้ด้วยความมั่นใจ 

 

การมีลูกเปลี่ยนแม่แพมไปอย่างไรบ้าง 

 

แม่แพม : เรารักแม่ของเรามากขึ้นและใจเย็นลง แรก ๆ เรายังทำโทษ ดุว่าลูกอย่างมีอารมณ์เพราะเราจัดการไม่ได้ ยังมีวุฒิภาวะไม่มากพอ แต่พอสักระยะหนึ่ง เวลามันก็ทำให้เราสงบและนิ่งไปเยอะ แม่ค่อย ๆ ก้าวข้ามผ่านแต่ละช่วงมาได้ ก็ต้องขอบคุณลูกที่ทำให้ชีวิตเราเปลี่ยนแปลงไป  


 
นี่คือชีวิตในฝันของแม่แพมไหม  

 

แม่แพม : ใช่เลย ! เราแฮปปี้กับทุกโมเมนต์ ไม่เคยนึกเสียใจเลยว่าลูกทำให้ฉันเหนื่อย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นแม่ก็จะเดินหน้าต่อไป 

 

พอโตมาหน่อยพี่แพนก็เริ่มทำงาน แม่แพมก็ต้องไปด้วย แล้วมิกิเป็นอย่างไรในตอนนั้น 

 

แม่แพม : ตอนชีวิตพี่แพนเริ่มเปลี่ยนแปลง มิกิยังอยู่ประถมอยู่เลยแต่ต้องรับผิดชอบตัวเองตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะแม่ต้องวิ่งตามพี่แพนตลอด ส่วนพี่เตอร์ก็ยุ่งอยู่กับการซ้อมฟุตบอลและเล่นกีฬา เราก็เลยให้พ่อดูแลเขา  

 

ตอนนั้นแม่ให้พี่แพน 24 ชั่วโมง ค่ำไหน นอนนั่น จนถึงตอนนี้ก็ต้องบอกกับพี่แพนว่าความสำเร็จส่วนหนึ่งก็มาจากมิกิ เพราะถ้ามิกิทำตัวมีปัญหา พี่แพนก็จะทำอะไรได้ไม่เต็มที่ เพราะแม่คงจะห่วงและพะวง แต่มิกิสามารถจัดการทุกอย่างของเขาเองได้ดีตั้งแต่ยังเรียนอนุบาล   

 

มิกิ : เราเป็นคนเจ้ากี้เจ้าการ (หัวเราะ) แต่เท่าที่จำได้จะโทรหาแม่บ่อยมาก โทรเช็กว่าแม่อยู่ไหน เมื่อไหร่จะกลับ พรุ่งนี้ไปไหน เพราะคิดถึงแม่ 

 

สิ่งที่มิกิต้องรับผิดชอบเมื่อแม่ไม่อยู่บ้านคืออะไร 

 

มิกิ : เรื่องอาหารการกิน คือมิกิอยู่กับคุณยายเป็นหลัก แต่คุณยายจะเคร่งครัด สมมุติถ้าเราอยากกินอะไร เราก็ต้องสรรหาทำกินเอง เพราะคุณยายไม่ได้ตอบสนองเรา นอกนั้นก็เป็นเรื่องการเรียนและเรื่องงาน 

 

แม่แพม : เขาดูแลตัวเองได้ ไม่ว่าจะการเรียน ทำการบ้าน แม่ไม่ต้องไปยุ่งกับเขา เพราะเดี๋ยวเขาก็จะสามารถจัดการเรื่องราวต่าง ๆ ได้เอง เขาจะดีลกับอาจารย์ได้เอง (หัวเราะ)  สมัยเด็ก ๆ มิกิไม่ใช่คนเรียนเก่งเลย แต่เพื่อน ๆ จะจ้างเขากินนม คนที่ไม่ชอบกินนมก็จะมาจ้างให้มิกิกินแทน เพื่อน ๆ จะชอบกอดเขามาก เขาเป็นที่รักของเพื่อนๆ มาตั้งแต่อนุบาล  

 

มิกิ : มิกิน่าจะมีมนุษยสัมพันธ์กับเพื่อนเป็นอย่างดี ก็เลยสามารถประคองตัวเองให้เรียนมาได้เรื่อย ๆ (หัวเราะ)  

 

แม่แพม : ด้วยความที่เขาเป็นตัวของตัวเอง เลยทำให้เขาได้เป็นประธานสี เป็นประธานนักเรียน แม่ไม่อยากจะเชื่อว่าอยู่ดี ๆ ทำไมมิกิถึงลุกขึ้นมาเป็นสิ่งนี้ได้ เราขำมาก (หัวเราะ) เรานึกไม่ถึงเพราะเขาเป็นน้องเล็ก แต่นั่นก็ทำให้เราได้รู้ว่าเขามีศักยภาพและมีความเป็นผู้นำ โดยเฉพาะในปัจจุบัน แม่ไม่ต้องไปยุ่งอะไรกับเขาสักอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า หน้า ผม เขาจัดการทุกอย่างเองได้แถมยังแนะนำเราได้ด้วย  

 

แต่มีอยู่อย่างเดียวที่แม่จะต้องทำให้เขาเสมอ คือ พร้อมที่จะฟังเรื่องราวต่าง ๆ ของเขา ไม่ว่ากี่โมง กี่ยาม ถ้าลูกมีเรื่องสะกิดใจอยากจะเล่า เราก็ต้องฟังลูก แม่ต้องให้ข้อคิดอะไรนิดหน่อย แล้วเขาจะไปคิดต่อเอง 

 

เรื่องที่มิกิปรึกษาแม่ส่วนใหญ่คือเรื่องอะไร 

 

มิกิ : ทุกเรื่องเลย แม่รู้ทุกเรื่องของมิกิ ถ้าปัจจุบันก็จะเป็นเรื่องงาน รองลงมาคือเรื่องการเลี้ยงหลาน  

 

แม่แพม : และเรื่องการปรับตัวกับสิ่งต่าง ๆ เนื่องจากมิกิทำงานด้วยตัวเอง ถ้าเป็นคนรุ่นก่อนเขายังผ่านการทำงานระบบองค์กร แต่เด็กรุ่นใหม่อย่างเขาอาจไม่ได้เจอสิ่งนั้น ในฐานะที่เราเคยทำงานในองค์กรใหญ่ ๆ มา เราก็จะมีข้อคิดที่แนะนำเขาได้ ดีที่ลูกยังเก็บไปคิด แม้จะไม่ได้เชื่อเราเสียทีเดียว แต่ก็ทำให้ลูกเบาใจ ลดความไม่สบายใจลงไปได้บ้าง  

 

เวลามีเรื่องผิดหวัง ไม่สบายใจแม่แพมและมิกิดีลกับมันอย่างไร 

 

มิกิ : จริง ๆ มีเรื่องผิดหวังหลายเรื่องในชีวิต เราเศร้าก่อน จากนั้นก็จะคุยกับแม่ แล้วเราก็จะค่อย ๆ มูฟออน ยิ่งโตขึ้นเราก็จะยิ่งรู้สึกว่าความผิดหวังเหล่านี้มันสอนให้เราเข้มแข็งมากขึ้น ถ้าคิดแบบนี้เราก็จะมูฟออนได้ง่ายขึ้น 

 

แม่แพม : ตั้งแต่เด็กเวลาไม่ได้ดั่งใจแม่จะค่อนข้างเป็นคนอารมณ์ร้าย ถึงขั้นที่ว่ามีบางช่วงเวลาที่เรามีภาวะซึมเศร้า แต่ตอนนั้นเราไม่รู้หรอกว่าเราเป็น พอเราออกจากตรงนั้นมาได้ เราก็รู้ว่าชีวิตต้องเดินหน้าต่อใจต้องเข้มแข็งให้ได้มันถึงจะพาเรื่องต่าง ๆ ผ่านไปได้  

 

ตอนนั้นที่แม่เป็นแบบนั้นก็เพราะถูกตีกรอบทุกเรื่อง ทำผิดอะไรไม่ได้เลย กลัวจนขนหัวลุก สอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ก็กลายเป็นความผิดหวังอย่างรุนแรง จนทำให้เราตระหนักได้ว่าชีวิตคนเรามันผิดพลาดบ้างไม่ได้เลยเหรอ พอเรามีลูก ทุกอย่างเลยฟรีสไตล์ ลูกอยากทำอะไร อยากเรียนอะไรก็สุดแล้วแต่ลูก เราผ่านความทุกข์มาทุกรูปแบบ ส่วนมากแม่จะเป็นคนไม่จมกับทุกข์เลย เราไม่ต้องทุกข์มาก เวลามีความสุขก็อย่าไปตื่นเต้นกับมันมาก เราก็ So So ไป เราจะปรี๊ดกับความสุขไม่ได้เลย แต่ถ้าถูกรางวัลที่ 1 ก็ไม่แน่นะ (หัวเราะ) 

 

ลูกคนนี้เคยทำให้แม่แพมเสียน้ำตาไหม 

 

มิกิ : ด้วยความที่เราสนิทกันที่สุด เราเลยเป็นตัวเองเวอร์ชั่นที่ร้ายที่สุดต่อหน้าแม่ได้ เพราะเรารู้ว่าสุดท้ายแล้วเขาจะให้อภัยเรา เราก็เลยจัดหนักกับเขา ไม่รู้ว่าแม่เคยแอบนอนร้องไห้หรือเปล่า (หัวเราะ)  

 

แม่แพม : ไม่เคย บอกได้เลยว่าไม่เคยเอาอารมณ์ลูกมาทำให้ตัวเองเสียใจ มีแต่คิดว่าฉันต้องชนะเธอให้ได้ เพราะเธอเอาแส้มาฟาดฉันถึงที่ (หัวเราะ)  

 

ในยามที่ลูกทุกข์ สับสน หรือหาตัวเองไม่เจอ เราก็ต้องทำทุกอย่างให้ลูกมีทางออกให้ได้ แต่เราจะไปเศร้ากับลูกไม่ได้ เวลาลูกมาปรับทุกข์เราจะไม่ร้องไห้ไปพร้อมกับลูก เพราะลูกจะยิ่งน่าสงสารเข้าไปใหญ่ เราต้องหาทุกวิถีทางที่ทำให้น้ำตาเขาหยุดไหลให้ได้ คนเป็นแม่ สำคัญที่สุดคือต้องคอนโทรลอารมณ์ตัวเองให้ได้ก่อนที่จะไปจัดการกับอารมณ์ของลูก เหมือนเวลาอยู่บนเครื่องบินที่เราต้องสวมหน้ากากออกซิเจนให้ตัวเองก่อนจะไปสวมให้เด็กที่มาด้วย  

 

มิกิ : ส่วนมิกิถ้าร้องไห้ให้แม่บ่อยที่สุดคือคิดถึงแม่ เป็นแนวนั้นเสียมากกว่า (หัวเราะ) 

 

เป็นห่วงกันและกันในเรื่องไหนมากที่สุด  

 

มิกิ : ยอดฮิตเลยก็ต้องเป็นเรื่องสุขภาพ บางทีเราก็ดุแม่บ้าง (หัวเราะ) ที่เป็นห่วงเพราะเราไม่อยากให้แม่เจ็บตัว เข้าโรงพยาบาล แม่เป็นคนที่ลุยๆ มากับเรามาตลอด ก็เลยอยากให้แม่สนุกสนานกับเราตลอดไปให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ 

 

แม่แพม : ห่วงอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงง่ายของมิกิแค่เรื่องเดียว ถ้ามิกิจัดการกับสิ่งนี้ได้ก็จะมั่นคง แม้แม่จะไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้แล้ว แม่จะไม่ห่วงมิกิเรื่องอะไรเลย นอกจากไม่อยากให้มิกิจมอยู่กับเรื่องอะไรนาน ๆ   

 

บทเรียนชีวิตอะไรที่คุณแม่ผ่านมาแล้วจะย้ำเตือนให้ลูก ๆ เสมอ 

 

แม่แพม : เรามักจะสอนให้เขารู้จักสิ่งที่ไม่ควรทำ ไม่ควรยุ่ง อย่าก้าวเข้าไปในความสุขที่มันไม่ดี เช่น ไปยุ่งกับคนที่เขามีเจ้าของแล้ว พอลูก ๆ เริ่มเป็นวัยรุ่น ทุกคนก็จะเริ่มมีความรัก เราไม่ห้ามแต่ก็ไม่ทิ้ง คนที่เข้ามาในชีวิตลูกต้องรู้ว่าแม่อยู่ตรงนี้เสมอ ถ้ามันเป็นความรักที่ไม่ส่งผลดีกับลูก เราก็จะเตือน 

 

เราอาจจะถูกส่งมาเกิดเพื่อให้พร้อมรับมือกับลูกที่แสนอะเมซิงทั้ง 3 คน คุณแม่เลยต้องผ่านความทุกข์ทั้งหลายมาหมดแล้ว ยกเว้นเรื่องเป็นมือที่สามนะ อันนี้ไม่ชอบโดยส่วนตัว (หัวเราะ)  

 

ทุกปัญหาที่คนเขาจะได้เจอในชีวิตแม่เจอมาแล้ว สิ่งไหนที่เราได้รับ สิ่งไหนที่เราขาด บางเรื่องไม่น่าเกิดขึ้นกับเราแต่เราก็สามารถก้าวข้ามผ่านมาได้ เราก็จะบอกลูก แต่ยุคของลูกเรามันเป็นอีกยุคหนึ่งแล้ว เราไม่รู้ว่าเขาจะพาตัวเองก้าวผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นได้ไหม เราจึงต้องสอนให้เขาเป็นคนคิดเป็น สำคัญที่สุดคือการครองสติ สติมา ปัญญาเกิด แล้วก็ค่อยเป็นค่อยไป 

 

การประสบความสำเร็จในการเป็น ‘คุณแม่’ สำหรับแม่แพมคืออะไร 

 

แม่แพม : การที่ลูกแคร์เรา ลูกห่วงเราโดยที่เราไม่ต้องร้องขอ และลูกยังคงให้เราเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตพวกเขา แม่คิดว่าแม่ประสบความสำเร็จแล้ว แต่แม่ต้องไม่หยุดพัฒนาตัวเองเพื่อที่จะได้ยืนเคียงข้างเขา เราจะเป็นคนแก่ที่นั่ง ๆ นอน ๆ ให้เขาเป็นห่วงอย่างเดียวไม่ได้เพราะยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว เขาอยู่ในเทรนด์แบบไหนเราก็พยายามเรียนรู้ให้ได้ การเลี้ยงลูกก็ต้องอัปเดตไปตลอดชีวิตนะ (หัวเราะ)  

 

มิกิได้เรียนรู้อะไรจากคุณแม่บ้าง  

 

มิกิ : หนึ่งในเรื่องที่ได้เรียนรู้จากคุณแม่คือการเตรียมพร้อมกับทุกอย่างในชีวิต ต้องมีการวางแผนล่วงหน้า เราเห็นมาจากแม่ เพราะแม่จะต้องพร้อมกับทุกสถานที่ที่ไป พอเราพร้อม เราก็จะไม่กังวลและมั่นใจ ออกไปใช้ชีวิตของเราได้อย่างเต็มที่ 

 

แม่แพม : แต่ไม่ใช่ว่าเขาจะคิดแบบนี้ได้เลยนะ เขาก็ผ่านความพลาดผิดพลาดมาแล้ว 

 

มิกิ : ยังคงเรียนรู้สิ่งเหล่านี้อยู่เรื่อย ๆ ไม่จบสิ้น พอเราพลาด เราถึงรู้ว่ามันเป็นยังไง แต่แม่จะไม่ว่าเราเลย สมมุติเราลืมเอาชุดว่ายน้ำมาโรงเรียน ลืมเอาหนังสือเรียนมาโรงเรียน แม่จะช่วยเราแก้ปัญหาก่อนเป็นอันดับแรก แล้วค่อยสอนทีหลัง 

 

แม่แพม : แม่จะสวมเสื้อคลุม กระโดดออกจากหน้าต่างที่ทำงานไปช่วยลูก เหมือนซูเปอร์วูแมน (หัวเราะ) 

 

มิกิ : การที่เราเตรียมพร้อม เราเห็นแล้วว่าทำตามแม่มันดีกว่า ทุกวันนี้ บางครั้งก็รู้สึกว่า เออ รู้งี้เชื่อแม่ดีกว่าว่ะ (หัวเราะ) 

 

ส่วนแม่แพมได้เรียนรู้อะไรจากมิกิบ้าง 

 

แม่แพม : มิกิเขาก็ถ่ายทอดความคิดใหม่ ๆ ให้หลายอย่าง เขามุ่งมั่นเรื่องการดูแลตัวเอง เขาเป็นสาววีแกน และเขาปลูกฝังคนในบ้านเราทุกคนให้รีไซเคิลขยะ แม่ไม่เคยเห็นความสำคัญของสิ่งนี้เลยเพราะแม่เอาความสะดวกเป็นหลัก มิกิก็จะหาวิธีพูดให้เราซึมซับ ให้เรานึกถึงเต่าทะเลเพราะเขารู้ว่าจุดอ่อนของเราคือความสงสาร แม่ก็ใช้เวลาพอสมควรจนตอนนี้แม่เป็นแนวหน้าเรื่องการแยกขยะได้แล้ว เราได้พัฒนาตัวเองไปพร้อม ๆ กับลูก มิกิเขาเป็นคนชอบให้ความรู้ เขามีวิธีการสื่อสารกับเรา 

 

แต่ละคนภูมิใจอะไรในตัวอีกฝ่าย 

 

มิกิ : ช่วงนี้แม่ทำสมาธิ สวดมนต์ ใส่บาตร มิกิภูมิใจที่แม่สามารถวางตัวเองลงและพักผ่อนได้ (หัวเราะ) ที่ผ่านมาแม่ทำงานหนักมาตลอดไม่เคยหยุดและดูแลลูก ๆ ตลอด เราภูมิใจที่แม่ให้ความสำคัญกับการพักผ่อนและการดูแลจิตใจของตัวเอง ซึ่งแม่อาจไม่เคยสนใจมาก่อน ตอนนี้เป็นช่วงเวลาของแม่แล้ว 

 

แม่แพม : มิกิเป็นลูกที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูง เขาสามารถใช้สิ่งที่เขามีมาทำให้ตัวเองโดดเด่นขึ้นมาได้ แม่ไม่ต้องคอยบอกให้เขาทำอะไรเพราะเขาจะไปทำของเขาเอง แม่ภูมิใจที่เขาเป็นเป็นผู้นำ แม่รู้เลยว่าลูกไปอยู่ที่ไหน ๆ ในโลกก็ได้เพราะเขาดูแลตัวเองได้

 

ท้ายที่สุดนี้ นิยามคำว่า ‘แม่’ ของแม่แพมคืออะไร 

 

แม่ คือ ผู้หญิงที่มีความอดทนสูงที่มาพร้อมความรักที่ยิ่งใหญ่ ความรักมันไม่ได้สวยงามเสมอไปเราต้องมีความอดทน มีความขยันด้วย ถ้าเรามุ่งมั่นอยากให้ลูกของเราประสบความสำเร็จ 

 

ติดตามมิกิและแม่แพมได้ที่ 

Instagram : ingomojo / mommy.pam.pam.pam 

TikTok : ingomojo

SHARE

facebook
twitter
copy
Related articles / บทความที่เกี่ยวข้อง
Loading...