

ทบทวนความสุขผ่านความทรงจำ ก่อน COCKTAIL จะแยกย้าย ออกเดินทางครั้งใหม่ในแบบที่เลือกเอง
Better Life / People
13 Mar 2025 - 10 mins read
Better Life / People
SHARE
13 Mar 2025 - 10 mins read
การที่วงดนตรี ‘ประกาศยุบวง’ เป็นเรื่องน่าเสียดายสำหรับแฟนเพลงที่ติดตามผลงานของวงดนตรีวงนั้นมาอย่างยาวนาน
นอกจากความรู้สึกเสียดายยังปะปนด้วยความเสียใจ เมื่อต่อจากนี้จะไม่มีโอกาสได้ฟังเพลงใหม่ ๆ ของศิลปินที่เคยผูกพัน
เชื่อว่าหลายคนเกิดความรู้สึกดังกล่าว เมื่อ Cocktail (ค็อกเทล) วงดนตรีร็อกที่ครองใจนักฟังเพลงมายาวนานกว่า 22 ปี แถลงข่าวการยุบวงเมื่อช่วงปลายเดือนมกราคม พ.ศ. 2567 ที่ผ่านมา
แต่ถึงแม้จะรู้สึกเสียดายแค่ไหน ค็อกเทลก็ไม่ทำให้แฟนเพลงเสียใจ
เพราะพวกเขาประกาศยุบวงล่วงหน้าถึง 2 ปี และตลอดช่วงเวลากว่า 700 วันที่เหลืออยู่ ค็อกเทลได้วางแผนการทำงานต่าง ๆ เอาไว้เป็นอย่างดี เหมือนอย่างที่ โอม - ปัณฑพล ประสารราชกิจ Frontman ของวงยืนยันหนักแน่นกับ LIVE TO LIFE
“แม้ในขณะที่ผมพูดไปแล้วว่าผมจะเลิก ผมยังไม่เคยชุ่ยหรือทำงานน้อยลงแม้แต่นิดเดียว ผมยังทำงานหนักกับวง ๆ นี้ตลอดตั้งแต่ตื่นจนเข้านอน แม้รู้ว่าปีหน้าจะไม่มีค็อกเทลแล้วก็ตาม”
ตารางการทำงานก่อนจะสิ้นสุดวงค็อกเทลไล่มาตั้งแต่การจัดคอนเสิร์ต Cocktail ข้อสอบ ในเดือนพฤษภาคมปี 2567 ตามด้วยการปล่อยอัลบั้มเต็มอัลบั้มสุดท้ายที่ชื่อ Yours Ever และจัดนิทรรศการเชิงประสบการณ์ “COCKTAIL, YOURS EVER, LIFETIME EXHIBITION” ที่เป็นการรวบรวมผลงานเพลงของ COCKTAIL ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปี ตั้งแต่สตูดิโออัลบั้มแรกจนถึงสตูดิโออัลบั้มสุดท้าย Yours Ever มาถ่ายทอดเป็นงานศิลปะ
ค็อกเทลกำหนดให้ปี 2567 เป็นปีสุดท้ายที่วงรับงานจ้าง ไม่ว่าจะเป็นงานเฟสติวัลต่าง ๆ งานตามร้านกลางคืน หรืองานลูกค้าต่าง ๆ ตามอีเว้นท์ เพื่อที่ตลอดทั้งปี 2568 จะเป็นช่วงเวลาของการทำกิจกรรมของค็อกเทลได้อย่างเต็มที่ นั่นก็คือ คอนเสิร์ต ไทยประกันชีวิต Presents COCKTAIL EVER LIVE ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 30 - 31 มีนาคม 2568 ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน
ปิดท้ายด้วย COCKTAIL 77 ทัวร์คอนเสิร์ตที่ค็อกเทลตั้งใจออกเดินทางไปพบแฟนเพลงให้ครบทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศไทย เพื่ออำลาทุกคนแบบใกล้ชิดเป็นครั้งสุดท้าย โดยกำหนดการแสดงคอนเสิร์ตวันสุดท้ายของ COCKTAIL 77 จะจัดขึ้นในวันคล้ายวันเกิดของวง ซึ่งก็คือวันที่ 24 ธันวาคม 2568
มากไปกว่าการจัดคอนเสิร์ตอำลาอย่างสมบูรณ์แบบ ค็อกเทลยังมองการณ์ไกลไปถึงการวางแผนอนาคตทางการเงินของสมาชิกทุกคนในวง โดยมีการจัดตั้งกองทุนเกษียณไว้ล่วงหน้าหลายปี มีการบริหารจัดการกองทุนด้วยการนำเงินไปลงทุนเพิ่มให้เงินงอกเงยกว่าเดิม เพื่อที่การแยกย้ายกันในครั้งนี้จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นครั้งใหม่ให้สมาชิกทุกคนมีเงินทุนติดมือสำหรับออกแบบชีวิตที่ตนต้องการต่อไป
ไม่ว่าการเดินทางครั้งต่อไปของพวกเขาทั้ง 6 คน อันได้แก่ โอม - ปัณฑพล ประสารราชกิจ (นักร้องนำ) เชา - ชวรัตน์ หรรษคุณาฒัย (กีตาร์) ปาร์ค - เกริกเกียรติ สว่างวงศ์ (เบส) ฟิลิปส์ เปรมสิริกรณ์ (กลอง) เหน่ง - วิวัฒน์ สว่างวรรณรัตน์ (กีตาร์) และเอ็กซ์ - ชรัณ ตัณฑนันทน์ (เปียโนและคีย์บอร์ด) จะเป็นอย่างไร เสียงดนตรีมากกว่า 100 บทเพลงที่ค็อกเทลเคยสร้างสรรค์เอาไว้จะได้รับการเปิดให้แฟนเพลงของพวกเขาฟังตลอดไป
ก่อนงานเลี้ยงจะเลิกราในปลายปีนี้ LIVE TO LIFE อยากชวนทุกคนที่เคยมีเพลงของวงค็อกเทลประกอบบางช่วงเวลาในชีวิต มาร่วมทบทวนความสุขผ่านความทรงจำของพวกเขาผ่านโชว์ที่ประทับใจ ขั้นตอนในการทำงานที่ผูกพัน ไปจนถึงการวางแผนเส้นทางชีวิตของแต่ละคน เพราะเราเชื่อว่าทั้งแนวคิดและวิธีปฏิบัติตัวในการทำงานและการใช้ชีวิตของค็อกเทลคือแรงบันดาลใจที่จับต้องได้ของการเป็นเจ้าของชีวิตดี ๆ เริ่มที่เราเลือกเอง
อยากให้เล่าถึงความพิเศษใน COCKTAIL EVER LIVE คอนเสิร์ตสุดท้ายของวงค็อกเทล
โอม - “ผมว่ามันยากที่จะบอกว่าคอนเสิร์ตนี้จะพิเศษอย่างไร ความพิเศษคงแทรกอยู่ในรายละเอียดมากกว่าจะบอกว่าพิเศษเพราะมี Guest หรือมีเครื่องดนตรีหลายชิ้น เราอยู่ในโลกยุคที่เราเห็น Almost Everything มาหมดแล้ว ก็เลยรู้สึกว่ายากที่จะบอกว่าอะไรพิเศษ ถ้ามันจะพิเศษก็เป็นเพราะว่าเราเป็นคนทำมันขึ้นมา ผมว่าเรื่องหนึ่งเรื่องสามารถเกิดขึ้นได้ครั้งหนึ่งในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น เท่ากับว่าคุณต้องไปเห็นเองและรู้สึกได้เองว่ามันพิเศษด้วยโมเมนต์ ณ ขณะนั้น”
“ส่วน Cocktail 77 ถือเป็นเรื่องใหม่และแตกต่าง เพราะเป็นการกำหนดมาเลยว่าเราจะทัวร์ให้ครบ 77 จังหวัดภายในกี่สัปดาห์ ซึ่งเป็นความท้าทายจากการที่พวกเราตั้งโจทย์ยาก เพื่อดูว่าจะ Solve Puzzle ด้วยวิธีไหนให้งานนี้เกิดขึ้น เพราะเราอยากไปเจอคนฟังในทุกจังหวัด เลยอยากลองทำดูว่าเป็นไปได้หรือไม่ คำว่าเป็นไปได้ ไม่ใช่แค่ได้ไปเล่นคอนเสิร์ต แต่ต้องเป็นไปได้ในทางธุรกิจด้วย สามารถสร้างกำไร สร้างค่าตอบแทน สร้างงาน สร้างองค์ความรู้ใด ๆ ให้เกิดขึ้นตามมา เพราะพวกเรายังอยู่ในวงการบันเทิงทุกคน ไม่ได้เล่นดนตรี ไม่ได้แปลว่าจะไม่อยู่วงการนี้แล้ว สิ่งเหล่านี้สามารถถ่ายทอดได้ เอาไปใช้กับวงดนตรีอื่นได้ อย่างเหน่งเป็นผู้จัดการวงดนตรี เขาก็เอาไปใช้ต่อได้ ฟิลิปส์ทำโรงเรียนสอนดนตรี เขาเห็นอะไร เชาเป็นโปรดิวเซอร์ เชาเห็นอะไร เอ็กซ์เล่นหุ้น เอ็กซ์ไม่เห็นอะไรหรอก (หัวเราะทั้งวง) ปาร์คขายของ ปาร์คอาจจะเห็นแง่มุมบางอย่าง ผมทำค่ายเพลง ผมเห็นอยู่แล้วว่าเวลาลงพื้นที่ เราต้องจัดการทั้ง Supplier, Logistic Chain, Facility, Space, Population, Actual Behavior ฯลฯ”
โอม - ปัณฑพล ประสารราชกิจ
ที่ผ่านมาค็อกเทลไปเล่นคอนเสิร์ตครบ 77 จังหวัดรึยัง
โอม - “ขาดอีก 5 จังหวัด คือ อ่างทอง นราธิวาส อุทัยธานี น่าน และปัตตานี ซึ่งจังหวัดเหล่านี้คือความท้าทาย เพราะเป็นจังหวัดทางผ่าน ไม่มีสถานบันเทิง ไม่มีสถานศึกษาใหญ่ ๆ และไม่มีประชากรกลุ่มเป้าหมาย”
เหน่ง - “บางจังหวัดมีสถานบันเทิงแค่ที่เดียวและเป็นตึกแถว เราก็ต้องไปตระเวนหาพื้นที่ การ Search Data เพื่อเอามาทำคอนเสิร์ต Cocktail 77 เป็นเรื่องยาก ซึ่งเราทำ Research กันล่วงหน้า 3 ปี”
ก่อนจะถึงโชว์สุดท้าย อยากให้แต่ละคนเล่าถึงโมเมนต์ของโชว์ที่ยังอยู่ในใจจนถึงทุกวันนี้
ฟิลิปส์ - “ผมไม่ได้มีโมเมนต์เจาะจงว่าเป็นครั้งไหน ผมว่ามันเป็นการเก็บสะสมประสบการณ์ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ยกตัวอย่างจังหวัดเชียงใหม่ ไปทีไรผมจะรู้สึกว่าเป็นงานยาก”
โอม - “เชียงใหม่น่าจะง่าย ภูเก็ตน่าจะง่าย พัทยาก็น่าจะง่าย แต่ปรากฏว่ายากหมดเลย เรารู้สึกว่าเมืองท่องเที่ยวน่าจะง่าย แต่กลับกลายเป็นว่าเมืองท่องเที่ยวที่คนดูมีลักษณะเป็นคนเมืองหรือชนชั้นกลางขึ้นไปมักไม่ปล่อยใจปล่อยอารมณ์เท่าคนดูในภาคอีสาน หรือแม้แต่ไปเวียงจันทน์ก็สนุก”
ฟิลิปส์ เปรมสิริกรณ์
ฟิลิปส์ - “จังหวัดท่องเที่ยวเป็นสนามที่เราเกร็ง เราจะทำได้ดีไหม แต่พอเวลาผ่านไปจนถึงตอนนี้ ผมได้เห็นความ Relax และการตอบรับของคนดูในจังหวัดเหล่านี้ต่างออกไปจากครั้งแรก ๆ มาก”
เหน่ง - “ผมประทับใจงานจ้างงานแรกของค็อกเทลที่สุด ตอนนั้นเรายังเป็นวงอินดี้ แล้วถูกจ้างให้ไปเล่นที่เชียงใหม่ในราคา 5,000 บาท ตอนนั้นไม่มีทั้งรถตู้ ไม่มีค่าเดินทาง ต้องเอารถโอมไป พอไปถึงกลับไม่มีสถานที่ให้แสดง เพราะเด็กมหาวิทยาลัยที่เป็นคนจ้างงานเราไม่ได้ขออนุญาตอาจารย์เอาไว้ เลยเล่นไม่ได้ เราเลยไปเล่นที่ร้านอื่นแทน”
โอม - “ร้านนั้นเป็น Community ของกลุ่มคนทำหนังสือทำมือในยุคนั้นที่เขาเปิดบาร์และหมักเหล้าเอง เราเลยไปคุยกับเขาว่าพวกผมมาถึงแล้วแต่ไม่ได้เล่น เลยขอเขาจัดงานเล็ก ๆ ที่ร้าน และโพสต์ใน MySpace ว่าจะเล่นที่นี่ คนก็มาดูกันแน่นร้าน ทุกโต๊ะเต็มหมด วงต้องยืนเล่นอยู่ในมุมเล็ก ๆ ”
เหน่ง - วิวัฒน์ สว่างวรรณรัตน์
ปาร์ค - “ผมชอบ COCKTAIL ข้อสอบ เป็นคอนเสิร์ตที่เล่นประจำที่เดียวที่ Lido Connect ตลอดหนึ่งเดือน ปกติในโชว์ทั่ว ๆ ไป เราจะมีลิสต์เพลงที่เล่นกันอยู่ประจำ และคุ้นเคยกับลิสต์นี้ แต่ COCKTAIL ข้อสอบ เป็นการให้คนมาโหวตว่าอยากฟังเพลงไหนบ้างในโชว์นั้น ๆ เลยกลายเป็นว่าแต่ละโชว์ในแต่ละวันที่เล่นจะไม่เหมือนกันเลย ความบันเทิงอยู่ตรงที่ต้องมานั่งลุ้นกันว่าวันนี้หวยจะออกอะไรบ้าง เพราะเราจะรู้ก่อนเล่นแค่ 15 นาที ทำให้แม้จะเป็นเพลงเราเองก็ตาม แต่บางเพลงที่ไม่ค่อยได้เล่นก็ไม่คุ้นเคย แถมยังมี Guest ที่บางครั้งเพิ่งนัดกันเมื่อวาน เราก็ต้องมานั่งแกะเพลงของศิลปินที่เป็น Guest กันวันนั้นเลย คอนเสิร์ตครั้งนั้นแกะเพลงเป็นร้อยเพลง บรรยากาศในงานก็ใกล้ชิดกับคนดูพอสมควร ผมเลยรู้สึกว่าเป็นคอนเสิร์ตที่ประทับใจ”
โอม - “ขอเล่าถึงอีกหนึ่งโชว์ เจ้าภาพจ้างวงดนตรีชื่อดังมาเล่นในงานฉลองบวชลูกชาย โดยเลี้ยงพนักงานทั้งโรงงานกว่า 400 โต๊ะจีน โดยมีวงคาราบาวกับพลพลขึ้นเล่นก่อน พอถึงคิววงเราเป็นวงสุดท้าย ปรากฏว่าได้เล่นตอนเขากำลังเก็บโต๊ะพอดี เพราะพนักงานโรงงานพอดูคาราวบาวจบก็พากันกลับหมด เหลือคนดูสิบกว่าคนที่เป็นเพื่อนของนาคที่บวช ให้ทายว่าคนดูยืนอยู่ตรงไหน อยู่บนเวทีกับพวกผมครับ เพราะข้างล่างกำลังเก็บโต๊ะกันอยู่ ศิลปินกับคนดูเลยอยู่ด้วยกันบนเวที ก็สนุกดีไปอีกแบบ ตอนนั้นเพลง คุกเข่า ดังแล้วด้วยนะ ทำให้เราได้รู้ว่าโลกนี้กว้างมาก เราเคยคิดว่าเพลงดังเพลงเดียวจะเปลี่ยนชีวิต เปลี่ยนครับ แต่ไม่ได้เปลี่ยนทุกซอกมุมของโลก คุณสำคัญในที่นึง อาจจะไม่สำคัญในอีกที่ก็ได้”
“ตอนนั้นเราคิดกันอยู่ตลอดว่า ความท้าทายอยู่ที่เราจะกินคำโตได้ยังไง ถ้าเราสำเร็จ เราอยากสำเร็จแบบทำให้ดนตรีของเรามันกลางพอสำหรับคนทุกเพศ ทุกวัย ทุกกลุ่มอายุ แล้วจะทำด้วยวิธีไหนล่ะ คือคุณมีสิทธิ์ตั้งโจทย์ แล้วดูว่าจริง ๆ แล้วเราเหมาะพอที่จะไปรึเปล่า”
ปาร์ค - เกริกเกียรติ สว่างวงศ์
“เหมือนไอเดียของ Cocktail 77 ที่เราตั้งธงไว้ก่อนว่าอยากทำอะไร แล้วค่อยถามว่าทำได้ไหม เราเห็นปลายทาง แล้วเราก็เห็นว่าเราเริ่มต้นตรงไหน พอรู้ว่าตัวเองยืนตรงไหนและจะไปตรงไหน ถ้าอย่างนั้นเราขาดอะไรบ้าง นี่คือความสนุกของการวางแผน ที่ผ่านมาก็ดูจะสำเร็จไว้ตามที่ตั้ง แต่อาจเป็นเพราะว่าเราไม่ได้ตั้งอะไรเกินความเป็นไปได้มากจนเกินไปด้วย”
“แต่บางคนก็บอกว่าเป้าหมายที่เราตั้งไว้เป็นไปไม่ได้ เช่น การที่เรากล้าจัดคอนเสิร์ต EVER LIVE ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน หลายคนบอกว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ผมกล้าตั้งเป้าหมายนั้น เพราะผมเชื่อว่ามันเป็นไปได้ เวลาคุณอยากได้อะไร คุณต้องหาข้อมูล คุณต้องรู้ว่าต้นทุนเท่าไร Consumer ของคุณพร้อมจ่ายที่ราคาประมาณไหน มีคนกลุ่มนั้นอยู่เท่าไร แล้วเราต้องการคนดูจริง ๆ เท่าไร เราไม่จำเป็นต้องขายบัตรหมด แต่ต้องได้กำไรในจำนวนที่รับได้อย่างน้อย 25-30% สมมติว่าคำนวณดูแล้วเราต้องขายบัตรให้ได้ 40,000 ใบถึงจะกำไร แล้วสนามราชมังฯ มีความจุ 60,000 คน เราแค่ต้องหาคน 40,000 คนมาดูเราให้ได้ ต้องคิดแบบนี้ ไม่ใช่คิดว่าทุกอย่างไกลตัวไปหมด ดูว่าเราขาดอะไร แล้วดูซิว่าเราหาได้ไหม”
ขั้นตอนไหนในการทำเพลงที่แต่ละคนชอบที่สุด
โอม - “ขั้นตอนที่มันดัง (หัวเราะทั้งวง) ขั้นตอนที่มันดัง หมายถึง ตอนที่เพลงเสร็จแล้ว แล้วเปิดฟังตอนตรวจงาน ไม่รู้ว่าตื่นเต้นหรือยังไง ระหว่างทำเพลงยังไม่รู้สึกชอบเท่าตอนมานั่งอยู่ตรงกลางระหว่างลำโพงซ้าย-ขวา แล้วเปิดเพลงฟัง เออ เราแม่งเก่งว่ะ ผมจะรู้สึกแบบนั้นและชอบช่วงเวลานั้นที่สุด เพราะขั้นตอนก่อนหน้านั้นมันยังไม่มีเพลง อัดกลอง อัดกีตาร์ แยกกัน ไม่มีท่อนร้อง ผมเลยชอบตอนที่งานเสร็จมากที่สุด”
เชา - ชวรัตน์ หรรษคุณาฒัย
เชา - “ผมชอบโมเมนต์ที่ได้จินตนาการถึงความเป็นไปได้ของเพลง หลังจากที่โอมเขียนเนื้อออกมา พอจะมีอะไรคร่าว ๆ ให้เราดูว่าเพลงน่าจะออกมาเป็นยังไง จุดนั้นจะเป็นจุดที่ผมฟุ้งที่สุด ทุกอย่างจะพลุ่งพล่านไปหมดว่าอยากทำตรงนั้น ใส่ตรงนี้ เหมือนมันฟุ้งอยู่ในหัวว่าเพลงนี้สามารถเป็นอะไรได้บ้าง”
เหน่ง - “ผมชอบตอนที่เราเริ่มแจมด้วยกัน เพราะรู้สึกว่าแต่ละคนต่างโยนอะไรเข้ามาได้เลย ต่อให้จะไม่ได้ไปในทิศทางเดียวกัน แต่อย่างน้อยเราได้รู้ว่า คนนี้อยากทำให้เพลงนี้ร็อคขึ้นว่ะ”
เอ็กซ์ - “ผมชอบตอน Brainstorm หลังจากที่พี่โอมให้เนื้อกับเมโลดี้มาแล้ว พวกเราก็จะมาแชร์กันว่าเพลงนี้จะเป็นอะไรได้บ้าง เหมือนเราเข้าพิพิธภัณฑ์แล้วมองภาพ Abstract แล้วหันไปทางเพื่อนว่า มึงคิดยังไง มึงเห็นอะไร”
เอ็กซ์ - ชรัณ ตัณฑนันทน์
ปาร์ค - “ผมชอบทุกขั้นตอนที่พี่ ๆ พูดมา แต่ถ้าให้เพิ่มอีกขั้นตอนก็คือ ตอนอัดเสียง เพราะเป็นช่วงเวลาที่เหมือนเราทำข้อสอบ สิ่ง ๆ นี้จะถูกบันทึกอยู่ในสตูดิโออัลบั้มของเรา เป็นช่วงเวลาที่บางทีก็เครียด บางทีก็เอนจอย ในแต่ละเพลงจะรู้สึกแตกต่างกันไป”
ฟิลิปส์ - “สำหรับผมการอัดเสียงเป็นเหมือน Digital Footprint ของตัวเอง เป็นการบันทึกวิธีที่ตัวเองนำเสนอในตอนนั้น ซึ่งมีหลาย ๆ เพลงที่ผมรู้สึกอยากกลับไปแก้ ส่วนอีกขั้นตอนที่ผมชอบคือ ถ้าเพลงนี้ดูแล้วมีโอกาสที่จะเป็นไปได้ ผมอยากเห็นเพลงนี้ถูกนำไปเล่นบนเวที ผมจะชอบจินตนาการว่าเพลงนี้เวลาเราไปเล่นจริง ๆ จะออกมาเป็นอย่างไร เพราะในการทำเพลงเราต้องอยู่กับมันเยอะมาก Process ไม่ได้สั้น ๆ กว่าเพลง ๆ นึงจะออกมาต้องผ่านขั้นตอนหลายตลบมาก บางครั้งเราอาจไม่ได้แจมกันเป็นเรื่องเป็นราวขนาดนั้นด้วยซ้ำ อย่างที่พี่เชาบอกว่าแต่ละคนต้องตกผลึกด้วยตัวเอง แล้วค่อยมารวมกัน จากนั้นค่อยลงมือแก้ไข ทุกขั้นตอนค่อนข้างละเอียดอ่อน”
โอม - “การจะชอบขั้นตอนไหนในการทำเพลงสะท้อนตำแหน่งที่ยืนกับนิสัยที่เป็น ผมเป็นคนเริ่ม ฉะนั้นผมชอบตอนจบ คนที่เป็น Player ก็จะชอบตอนที่ได้เล่น คนที่เป็น Music Arranger ก็จะชอบตอนที่ได้ใส่ไอเดียในเพลง”
สำหรับโอมในฐานะนักร้องและนักแต่งเพลง เมื่อไม่มีวงค็อกเทลแล้ว คุณไม่รู้สึกอยากเขียนเพลงต่อเลยเหรอ
โอม - “ผมเฉย ๆ”
ที่ผ่านมาเพลงแต่ละเพลงเกิดขึ้นจากอะไร ?
โอม - “ผมรู้สึกว่ามันเป็นไปตามวัย ผมเคยพูดไว้เท่ ๆ ตอนยังเด็กว่า ในชีวิตนี้มี 3 อย่างที่ผมอยากทำ คือ เขียนหนังสือสักเล่ม ทำหนังสักเรื่อง และออกเพลงสักหนึ่งอัลบั้ม ตอนนี้ผมออกเพลงมา 9 อัลบั้มแล้ว หนังก็เหมือนไปมีส่วนร่วม แต่ไม่ได้ทำเต็มตัว เหลือแค่หนังสือที่ยังไม่ได้ทำ และที่ผ่านมาผมไม่เคยให้สัมภาษณ์และไม่เคยบอกด้วยว่าแต่ละเพลงของค็อกเทลมีที่มายังไง ช่วงนี้ผมเลยกำลังรวบรวมวัตถุดิบเขียนในหนังสือเกี่ยวกับว่าที่มาของทุกเพลงของค็อกเทล พูดตรง ๆ คือ ผมก็ทำธุรกิจให้วงแหละ สิ่งนี้จะกลายเป็นสิ่งที่สร้างมูลค่าให้กับกองทุนของวงต่อไป”
“และเนื่องจากพอผมได้มานั่งนึกถึงที่มาของแต่ละเพลงเลยค่อย ๆ มองเห็นว่า ช่วงวัยมีผลต่อเรื่องที่เล่าพอสมควร อ๋อ ตอนมัธยมเราเป็นแบบนี้ ตอนมหาวิทยาลัยเราเป็นแบบนี้ ช่วงที่เริ่มดังใหม่ ๆ เราเป็นแบบนี้ ช่วงที่รู้สึกว่าตัวเองเริ่มแก่เราเป็นแบบนี้ ผมแค่เดินมาถึงวัยที่ผมรู้สึกว่าผมไม่ได้อยากสื่อสารเยอะขนาดนั้นแล้ว การเลิกทำวงจึงสอดคล้องกับอุปนิสัยของผมอยู่แล้ว อารมณ์คนเรามัน Swing กันได้ อาจมีเสียดายบางวัน แต่เมื่อเปรียบเทียบกับเรื่องอื่นในชีวิต ถ้าพูดถึงคำว่าเสียดาย มันไม่ได้มีแค่เรื่องยุบวงค็อกเทล ผมว่ายังมีเรื่องอื่น ๆ ให้เสียดายเต็มไปหมด ซึ่งถ้าเราไปใส่หัวข้อให้มัน เรื่องนั้นก็จะกลายเป็นเรื่องพิเศษ แต่ถ้าบอกว่ามันคือความเสียดาย ความผิดหวัง หรือความทุกข์ใจเล็ก ๆ ผมว่ามันเกิดขึ้นทุกวันอยู่แล้วในทุกเรื่อง เสียดายที่เมื่อเช้าไม่ได้หอมแก้มลูกก่อนออกจากบ้าน เสียดายที่เมื่อวานไม่ได้ไปกินร้านนี้ ซึ่งผมว่าไม่ต่างกัน อาจมีเสียดายบ้าง แต่โดยภาพรวมผมว่าผมคิดมาดีแล้ว”
ทำไมถึงตัดสินใจยุติวงในปี 2568 เริ่มพูดคุยกันจริงจังตั้งแต่เมื่อไร
เชา - “ความจริงเรื่องของการจะเลิกวงมีมาตั้งแต่วันแรก ๆ แล้ว ผมกับโอมเคยคุยกันไว้ตั้งแต่แรกว่าอาจจะไม่ได้ทำวงนี้ไปตลอด อย่างตอนที่พวกเราทำอัลบั้ม In the Memory of Summer Romance ก็แพลนกันไว้ว่าพอจบอัลบั้มนี้แล้วเราคงเลิกทำวงค็อกเทล ถ้าอย่างนั้นก่อนเลิกเรามาทำเพลงส่งท้ายกันสักเพลง แต่เพลงนั้นก็ทำให้วงได้ไปอยู่แกรมมี่ อัลบั้มแรกที่เราทำกับแกรมมี่ คือ Ten Thousand Tears ซึ่งโอมก็บอกว่าพอจบอัลบั้มนี้ เขาจะไปเรียนต่อที่ประเทศจีน และอาจจะไม่ได้ทำวงกันต่อแล้ว แต่ปรากฏกว่าเพลงต่าง ๆ ในอัลบั้มนั้นมันทำงาน และพอโอมกลับจากจีนก็มีไอเดียและแรงบันดาลใจในการทำเพลงต่อ เลยเกิดเป็นอัลบั้ม The Lord of Misery และ Cocktail ตามมา ดังนั้น วงของเราเลยเหมือนอยู่ในกระบวนการว่าเราจะไม่ได้ทำวงตลอดไปมาโดยตลอด ฉะนั้นเราก็ควรจะวางแผนสำหรับวันที่วงควรจะสิ้นสุดจริง ๆ ว่าสุดท้ายเราจะหยุด ณ ตรงไหน”
ครั้งนี้จะไม่มีการเลื่อนออกไปอีกแล้ว ?
เชา - “ณ ตอนนี้ฟันธงแล้วครับว่าเราจะอยู่ที่ปีนี้ปีสุดท้าย”
เหตุผลของการยุติวงเกี่ยวกับอายุของสมาชิกในวงด้วยไหมที่กำลังจะถึงวัย 40 ซึ่งเหมาะกับการเริ่มต้นอะไรใหม่ ๆ
เหน่ง - “ผมว่ามันเกิดจากหลายเหตุผลครับ อย่างที่พี่เชาบอกว่าพวกเราคุยกันมาตลอดว่าจะยุติวงตอนไหน เพื่อให้ทุกคนเข้าใจว่าโลกมีการเปลี่ยนแปลงยังไง สังคมเป็นแบบไหน วงการเป็นยังไง ทำให้ต่างคนต่างเข้าใจบริบทการทำงานของนักดนตรีมากขึ้น เป็นบทสนทนาที่วงคุยกันมาตลอดว่าวันนึงเราคงต้องเลิก แต่ตอนนี้มันชัดเจนแล้วว่าเราจะเลิกตอนนี้ เราแค่ต้องดำเนินตามเป้าหมายที่มีให้ตรงกับที่เราคุยกันไว้”
แต่ละคนวางแผนชีวิตตัวเองในปี 2569 ที่ไม่มีวงค็อกเทลแล้ว ไว้อย่างไรบ้าง
ปาร์ค - “ชีวิตนักดนตรีตลอดหลายปีที่ผ่านมาหมดไปกับการทัวร์คอนเสิร์ต ดังนั้น แพลนพื้นฐานของผมคือ ให้เวลากับครอบครัวมากขึ้น และคงจะเริ่มต้นทิศทางอาชีพใหม่ ๆ นอกเหนือไปจากอาชีพนักดนตรีที่เราเป็นมาตลอด ตอนนี้ผมกับภรรยาก็ขายของเล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่ หลังจากนี้คงจะต่อยอดตรงนี้ต่อไป”
เอ็กซ์ - “ผมเข้ามาเป็นสมาชิกค็อกเทลในช่วงหลัง ๆ ที่ถือเป็นโค้งสุดท้ายของวง ซึ่งก่อนหน้านี้เราเคยร่วมงานกันมาตลอด เพราะผมเคยเล่นแบ็กอัพให้วงในฐานะมือคีย์บอร์ด จนได้เป็นสมาชิกเต็มตัวตอนเจอพี่โอมเมื่อปีที่แล้ว แน่นอนว่าก่อนหน้านั้นเราทำงานด้วยกันมาตลอด พอมาเจอกันใหม่ก็เหมือนมีเป้าหมายที่ชัดเจนว่าวงกำลังจะสิ้นสุดลง หลังจากนี้ผมก็จะกลับไปทำธุรกิจครอบครัวที่ทำมาตลอดอยู่แล้ว และถ้ามีโอกาสก็จะทำงานดนตรีควบคู่ไปด้วย”
เชา - “ในเรื่องดนตรี ผมคิดว่าคงทำต่อ แต่ในรูปแบบไหนคงแล้วแต่โอกาสจะพาไป แต่ที่ค่อนข้างจะเริ่มชัดเจนขึ้นคือ ตอนนี้มีงานเบื้องหลังเข้ามาเยอะขึ้น ถ้าโอกาสที่เราอยู่เบื้องหน้าไม่มี ผมก็คงอยู่เบื้องหลังเยอะขึ้น อาจจะเต็มตัว แต่คิดว่ายังคงอยู่ในแวดวงของดนตรีนี่แหละครับ Passion อื่น ๆ คงเป็นได้แค่งานอดิเรก สิ่งที่ตัวเองทำได้ดีที่สุดคือดนตรี”
ฟิลิปส์ - “ตลอดเวลาที่ทำงานในพาร์ทของวง ผมใช้เวลาในการค้นหาตัวเองอีกด้านนึงไปด้วย โดยผมสนใจในเรื่องของการศึกษา เลยได้มีโอกาสเปิดโรงเรียนสอนดนตรีมาประมาณ 4 ปีแล้ว ผมสอนเองด้วย และมีทีมคุณครูที่เราคัดมาจากวิทยาลัยดนตรีมหิดล นักเรียนที่มาเรียนมีตั้งแต่ 3 ขวบ ไปจนถึงผู้ปกครองของเด็ก ๆ ก็มาเรียนด้วยเหมือนกัน ปีหน้าผมจึงคิดว่าคงลุยงานด้านนี้จริงจัง แต่ตอนนี้ผมอยากโฟกัสกับค็อกเทลให้มากที่สุดก่อน ส่วนจะทำดนตรีต่อหรือไม่ ถือเป็นโอกาสในภายภาคหน้า”
เหน่ง - “ผมคงต่อยอดงานอื่นๆ ที่ทำอยู่แล้ว ซึ่งก็คือ การเป็นผู้จัดการวง Tilly Birds และคงจะทำงานเบื้องหลังมากขึ้น นอกจากนี้ก็มีธุรกิจที่ทำกับที่บ้านอยู่แล้ว ผมเองอยากให้เวลากับครอบครัวมากขึ้นในช่วงที่เราเกษียณ และได้พักจากการที่ต้องเดินทางตลอดเวลา”
โอม - “ผมคงยังไม่ทำอะไร เพราะจริง ๆ แล้วผมทำงานพร้อมกันหลายอย่างมาโดยตลอด ดังนั้น เมื่อไม่มีวงค็อกเทลแล้วก็เท่ากับว่างานหายไปหนึ่งงาน ผมคิดว่าในช่วงหนึ่งปีหลังจากนี้ ผมคงปล่อยให้เป็นอย่างนี้ไปก่อน การได้หยุดพักสักปีก็ดีเหมือนกัน เวลาที่เพิ่มมาอาจทำให้ผมสามารถให้เวลากับสิ่งอื่นที่ทำอยู่ได้มากขึ้น ผมน่าจะไปสอนได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องลาสอนแล้ว หลังจากนี้อีก 2-3 ปี ค่อยคิดอีกทีว่าจะกลับไปทำปริญญาเอกให้เสร็จไหม จะลองดูเรื่องวิจัยหรือตำแหน่งทางวิชาการดูไหม ผมคงได้ไปลึกขึ้นในส่วนที่ยังทำไม่เสร็จ ส่วนเรื่องการให้เวลากับครอบครัว ที่ผ่านมาผมให้เวลากับครอบครัวเยอะประมาณนึงแล้ว แต่อาจจะเยอะขึ้นได้อีก สมมติว่ามันเคยเยอะในแง่มุมนึง แง่มุมนั้นอาจจะลดลง แล้วไปเพิ่มในแง่มุมอื่น เช่น ผมเคยให้เวลาลูกในช่วงอื่นเยอะ แต่ไม่เคยพาเขาเข้านอน ผมก็จะได้เพิ่มมุมนี้เข้าไป”
จำได้ไหมว่าเป้าหมายก่อนมาเป็นสมาชิกวงค็อกเทลของแต่ละคนคืออะไร แล้วตอนนี้เป้าหมายนั้นสำเร็จหรือยัง
ปาร์ค - “ผมเรียนโบราณคดี เลยสนใจเรื่องของโบราณสถานและแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ ซึ่งโชคดีที่สิ่งหนึ่งที่อาชีพนักดนตรีให้ คือ ได้เดินทางไปหลายจังหวัด เวลาไปจังหวัดไหน ผมก็จะ Search Google ว่าที่นั่นมีแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์อะไรบ้าง แต่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้ไปเที่ยวหรอกครับ แค่ได้ไป ณ พื้นที่นั้น ๆ ก็รู้สึกสนุกแล้ว อาจจะมีเรื่องนึงที่จะได้ทำในปีนี้ก็คือ Cocktail 77 จะทำให้ผมตามเก็บได้ครบทุกจังหวัดเสียที”
เอ็กซ์ - “ก่อนเข้าวงการเพลง ผมไม่ได้มีเป้าหมายอะไรเป็นพิเศษ เป็นเป้าหมายทั่ว ๆ ไปที่อยากมีครอบครัว เป็นเสาหลักที่ดูแลครอบครัวได้ เป็นเป้าหมายชีวิตที่เป็นขั้นเป็นตอนจนถึงตอนนี้”
เชา - “ก่อนที่จะรู้ว่าค็อกเทลสามารถทำเป็นอาชีพได้ หรือมีงานหาเลี้ยงตัวเองได้จากวงดนตรีวงนี้ ผมเคยฝันอยากเป็น Foley Artist หรือนักทำเสียงประกอบภาพยนตร์ ตอนนั้นผมเรียนอยู่คณะโบราณคดี แล้วได้ดูหนังสารคดีเบื้องหลังการทำภาพยนตร์ Twister ผมถึงเพิ่งรู้ว่าซาวด์ในหนังถูกสร้างขึ้นมาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเสียงพายุ เสียงล้อบดกับพื้นถนนตอนรถวิ่ง ฯลฯ เลยเพิ่งรู้ตัวว่าเราอยากทำงานนี้มาก ตอนนั้นคิดเอาไว้ว่าหลังจบมหาวิทยาลัยจะไปเรียนต่อด้านนี้ที่เมืองนอก”
โอม - “ไปตอนนี้ได้นะ จะว่างแล้ว (หัวเราะ)”
เชา - “ไม่น่าทันแล้ว (หัวเราะ) แต่ถ้ามีโอกาสก็อยากเรียนรู้”
ฟิลิปส์ - “จุดเริ่มต้นของผมแค่เป็นคนชอบตีกลอง พอได้มาทำงานด้านนี้จริง ๆ ถึงได้รู้ว่าพอเดินเข้ามาแล้วยังต้องเจออุปสรรคอีกมากมายกว่าจะมาถึงวันนี้ ถือว่าผมโชคดีที่มีโอกาสได้อยู่ตรงนี้”
เหน่ง - “ตอนเป็นวัยรุ่นผมชอบฟังเพลงของวง Clash, Bodyslam และ Big Ass ที่พอฟังแล้วก็อยากก้าวไปเป็นแบบเขา ทำให้ตอนเด็ก ๆ เวลาพ่อแม่พาไปกินสุกี้เรือนเพชร ซึ่งบ้านผมอยู่พระรามสาม เลยต้องใช้เส้นทางถนนอโศก ทำให้ต้องผ่านหน้าตึกแกรมมี่เสมอ ผมมักจะบอกแม่ว่า ตึกนี้ดาราเยอะ ศิลปินเยอะ อยากทำงานที่นี่ โดยที่ไม่รู้หรอกว่าต้องทำอะไร พอโตขึ้นผมก็เริ่มเล่นดนตรีแล้วไปประกวดวงดนตรี คอนเนกชั่นต่าง ๆ ก็เกิดจากการที่เราเจอพี่โอมเป็นกรรมการตัดสินเราในวันนั้น ได้รู้จักกับพี่เชา และเพื่อน ๆ ที่ชอบดนตรีเหมือนกัน ผมว่าเพื่อน ๆ ที่มีส่วนทำให้เรามาถึงตรงนี้สำคัญมาก นับว่าโชคดีมากที่ผมได้มาถึงทุกวันนี้ตามเป้าหมาย”
โอม - “ผมมีเป้าหมายหลวม ๆ ไว้เยอะ คงรับมรดกทางกรรมพันธุ์มาจากทั้งพ่อและแม่ที่เป็นทั้งสมองซีกซ้ายและซีกขวา ผมเลยมีตัวเลือกที่สะบัดไปสะบัดมาตั้งแต่เด็กแล้วว่าจะไปทางไหนดี แม่เคยบอกว่า ศิลปะจะอยู่กับโอมตลอดไป ถ้าโอมเลือกศิลปะโอมจะทิ้งอีกด้านนึงไปเลย แต่ถ้าโอมเลือกอีกด้านนึง ศิลปะจะยังอยู่กับโอมได้อยู่ ผมเลยตัดสินใจเลือกเรียนด้านสมองซีกซ้ายคือ รัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ และเลือกจะประกอบอาชีพเกี่ยวกับสมองซีกซ้ายโดยตรง แต่ชีวิตก็พาเราไปอีกทาง ผมไม่เคยมุ่งอะไรเยอะ ไม่ได้ตั้งเป้าไกลไว้ก่อน เป้าหมายระยะไกลจะตั้งไว้หลวมมาก ๆ แต่ว่าในทุกขณะที่ลงมือทำ ผมแค่หวังผลเลิศ หมายถึง ทำแล้วจะต้องดี ต้องทำงานให้หนักขึ้น”
“การที่เรายุติวงค็อกเทล ผมไม่ได้แคร์เลยว่าวงจะสำเร็จหรือหาเงินได้แค่ไหน ผมเล่นเพื่อ Serve ตัวเองเท่านั้นมานานแล้ว ผมว่าคนเราไปยึดติดกับเรื่องอุปทานว่าวงที่เลิกเล่นจะต้องไม่ไหวแล้ว แก่แล้ว เพลียแล้ว ซึ่งข้อเท็จจริงก็ปรากฏให้เห็นว่าจริง ๆ แล้วเราไม่ได้ลำบาก เราสามารถดำรงอาชีพนี้ต่อไปได้โดยที่ไม่มีปัญหาในเวลานี้ แต่ผมคิดว่าผมเลิก เพราะผมโอเคแล้วกับสิ่งที่ผมทำลงไป ที่บอกว่าเล็งผลเลิศ คือ ผมแค่ชอบเรื่องนี้และทำอย่างจริงจังมาก แม้ในขณะที่ผมพูดไปแล้วว่าผมจะเลิก ผมยังไม่เคยชุ่ยหรือทำงานน้อยลงแม้แต่นิดเดียว ผมยังทำงานหนักกับวง ๆ นี้ตลอดตั้งแต่ตื่นจนเข้านอน แม้รู้ว่าปีหน้าจะไม่มีค็อกเทลแล้วก็ตาม”
“ไม่ว่างานอะไรก็ตาม พอทำไปสักพัก แต่ละคนจะเริ่ม Predict ได้ว่ามีโอกาสที่จะไปต่อ เราก็แค่เปิดประตูไปทีละบาน ๆ ในขณะเดียวกันก็ต้องมีการตั้งเป้าใหญ่ไว้ด้วย เพื่อดูว่าเราสามารถไปได้ถึงไหม และเรายังอยู่ในเส้นทางนั้นอยู่ไหม ผมแค่เมกชัวร์ว่าเรายังอยู่ในเส้นทางนั้นอยู่ ถ้าเราเดินออกจากเส้นทางไปเลยเท่ากับเราไม่ได้ลุ้นอะไรเลย ในขณะกันอย่ามัวแต่มองเส้นชัย เพราะเราจะลืมรายละเอียด ดังนั้นเราต้องทำเป้าของแต่ละวันให้ดี สำหรับผมคือ ทำอัลบั้มนี้ให้ดี ทำเพลงนี้ให้ดี ทำโชว์นี้ให้ดี คนจะวิพากษ์วิจารณ์ว่าเราเป็นคนดัง เย่อหยิ่ง หรือไม่ดังแล้ว ก็ไม่สำคัญ ทั้งหมดนี้ผมทำเพราะอยากทำและทำให้ได้อย่างที่ตัวเองชอบเท่านั้นเอง บังเอิญโชคดีที่สิ่งที่เราชอบมีคนชอบ เราเลยอยู่ได้ แล้วเรา Gratitude ตรงนั้น และการที่เราเดินออกไปก็เป็นข้อพิสูจน์ที่ดีที่สุดแล้วว่า เราไม่ได้ให้น้ำหนักกับเรื่องนี้เท่ากับความรู้สึกจริงใจต่องาน”
วงค็อกเทลให้อะไรกับพวกคุณบ้าง
โอม - “ค็อกเทลให้ประสบการณ์ชีวิตในแบบที่ทำให้เรามีชีวิตในแบบนี้จนทุกวันนี้ ได้เห็นโลก ได้เดินทาง ได้เจอคน ได้เข้าใจว่าขึ้นและลงเป็นยังไง จริง ๆ แล้วไม่ใช่แค่ตัวเราเอง การที่เราได้ Placement ตัวเองในที่ที่นึง เราจะได้เห็น Environment รอบ ๆ ด้วยว่าขึ้นและลงยังไง เห็นวงดนตรีเกิดและดับไป ไม่มีอะไรอยู่ยั้งยืนยง จึงยิ่งกลับมาที่คำตอบว่าเราต้องอย่าลืมเป้าหมายแรกว่าเราเล่นเพื่อ Serve ตัวเราเอง เราต้องมีความสุขก่อน คนอื่นเขาไม่ชอบ เขาจะด่าอะไรก็เรื่องของเขา แต่ถ้าเราเล่นเอาใจคนแล้วยังไม่โดนใจคน เราเหลืออะไรบ้าง ถ้าเป็นแบบนั้นน่าจะปวดใจมาก ตัวเองไม่ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ อุตส่าห์ทำเพื่อเขา เขาก็ยังไม่เอาอีก สู้ทำอย่างที่อยากจะทำแล้วเขาไม่เอาดีกว่า ที่สำคัญคือ เจียมตัวไว้หน่อยว่าความสำเร็จไม่ได้เกิดกับเราเพียงฝ่ายเดียว ความสำเร็จเกิดได้เพราะว่าโลกหมุนมาเจอเราด้วย นี่คือสิ่งที่ผมได้เรียนรู้”
เหน่ง - “ถ้าพูดถึงงานที่ทำแล้วได้ค่าตอบแทนจริงจัง เรียกว่าค็อกเทลนี่แหละที่เป็นการทำงานแล้วได้ค่าตอบแทน ช่วงไหนวงพัก เราก็พักด้วย ช่วงไหนงานเยอะ เราก็ล่ำซำกับวงไปด้วย เราได้ออกไปเจอผู้คน ได้ต่อยอดความรู้ใหม่ ๆ อย่างปาร์คก็มักมีเรื่องราวเล่าของโบราณสถานหรือวัดต่าง ๆ ให้ฟัง จังหวัดนี้มีอะไรพิเศษบ้าง เราก็ได้ความรู้จากเพื่อนที่เขาอินเรื่องนี้ ด้วยความที่อยู่ในวัยใกล้กันด้วยเลยดำเนินชีวิตคล้ายกัน สนใจในเรื่องคล้าย ๆ กัน”
เชา - “ทุกคนต้องทำงาน แต่ใครจะโชคดีแบบพวกเราที่ได้ทำงานกับเพื่อนมาตลอด 20 ปี อย่างเพื่อน ๆ ผมก็ทำงาน แต่พอเขาย้ายที่ทำงานใหม่ ก็ต้องหาเพื่อนกลุ่มใหม่ไปตามสิ่งแวดล้อมใหม่ แต่เราเกาะกลุ่มกันแบบนี้มา 20 ปี เราโตไปกับมัน ค็อกเทลจึงเป็นโอกาสพิเศษครั้งหนึ่งในชีวิตที่ได้ให้อะไรกับเรา”
ปาร์ค - “อาจจะโชคดีที่นอกจากเวลางานที่ทำด้วยกัน เรายังได้กินด้วยกัน เที่ยวด้วยกัน ใช้ชีวิตร่วมกันเยอะ ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่พิเศษ เป็นช่วงเวลาที่ดีของชีวิต และเป็นเอกลักษณ์ของอาชีพนักดนตรี ผมว่าตัวเองโชคดีที่ได้ใช้ชีวิตแบบนี้”
ติดตามข่าวคราวความเคลื่อนไหวของค็อกเทลได้ที่ Cocktail