

ชวนมาทำความรู้จักแนวคิดการใช้ชีวิตแบบด้นสดโดยใช้ความสุขนำ ในแบบฉบับของดีเจมาฟท์ไซ
Better Life / People
25 Oct 2022 - 6 mins read
Better Life / People
SHARE
25 Oct 2022 - 6 mins read
“ถ้าเราไม่สามารถใส่ความชอบของตัวเองเข้าไปในงานได้ เราจะทำงานนั้นไปเพื่ออะไร”
ประโยคธรรมดา ๆ ที่แทรกอยู่ในเรื่องราวของ ณัฐ - ณัฐพล เสียงสุคนธ์ หรือ ดีเจมาฟท์ไซ
เพราะถ้าคุณรู้จักผู้ชายคนนี้ คุณย่อมรู้ดีว่าทุกกิจกรรมที่เขาหยิบจับลงมือทำ ไม่ว่าจะเป็นการจัดปาร์ตี้ คัดแผ่นเสียงจากทั่วโลกมาขาย หรือตั้งวงดนตรีหมอลำขึ้นมาสนองความอยากของตัวเอง ล้วนเกิดขึ้นจากความชอบของเจ้าตัวทั้งสิ้น
ใครที่ไม่เคยได้ยินชื่อดีเจมาฟท์ไซมาก่อน สามารถทำความรู้จักเขาแบบไว ๆ ว่า เขาคนนี้เป็นทั้งดีเจ โปรดิวเซอร์ และผู้ก่อตั้งค่ายเพลง ZudRangMa Records, Paradise Bangkok, Isan Dancehall และ Eastern อีกทั้งยังเป็นเจ้าของบาร์ Studio Lam (สตูดิโอลำ) เจ้าของร้านขายแผ่นเสียง เจ้าของร้านขายก๋วยเตี๋ยวเนื้อ เปิด Airbnb และอื่น ๆ อีกมากมายที่เจ้าตัวยังเล่าไม่หมด
ก่อร่างจากความสนุกและความสุขเป็นที่ตั้ง
สารพันการงานที่ณัฐลงมือสร้างสรรค์มานานเกือบ 20 ปี ไม่ได้เกิดจากการวางกลยุทธ์อย่างคร่ำเคร่ง แต่เกิดจากความสนุกและความสุขเป็นที่ตั้ง เริ่มจากความหลงใหลในแผ่นเสียง ค่อย ๆ เขยิบมาเป็นดีเจเปิดแผ่นในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ แล้วค่อยกลับมาเมืองไทย จากนั้นเส้นทางชีวิตของดีเจมาฟท์ไซก็ดำเนินต่อไปในลักษณะของการลากเส้นต่อจุดไปเรื่อย ๆ จนเป็นรูปเป็นร่าง เกิดเป็นอาณาจักรทางดนตรีในเวอร์ชันที่ไม่มีใครสามารถลอกเลียนแบบได้
“โปรเจกต์ที่ผมทำเหมือน Stepping Stone ผมไม่ได้แพลนว่าวันหนึ่งเราจะมาเปิดบาร์หรือเปิดร้านแผ่นเสียง ผมเริ่มจากเก็บสะสมแผ่นเสียง เพราะชอบซาวนด์ในแบบที่ไม่เคยฟังมาก่อน พอเก็บไปเรื่อย ๆ จนเยอะ แล้วเปิดฟังอยู่กับเพื่อนแค่ไม่กี่คนในบ้าน ก็เริ่มจัดงานข้างนอก ชวนคนที่สนใจมาฟังเพลงด้วยกัน สักพักเราอยากดูเพลงที่เราเปิดในรูปแบบของการแสดงสด จึงออกไปตามหานักร้องหมอลำลูกทุ่งเจ้าของต้นฉบับมาร่วมโชว์ เช่น ดาว บ้านดอน, ศักดิ์สยาม เพชรชมภู, พิมพ์ใจ เพชรพลาญชัย, เย็นจิตร พรเทวี, แม่ขวัญจิต ศรีประจันต์ ฯลฯ ซึ่งกว่าจะจัดงานได้แต่ละครั้งต้องใช้เวลาเตรียมงานถึงครึ่งปี”
“พอจัดงานไปได้สักพักผมเริ่มรู้สึกเหนื่อย งั้นทำวงเองแล้วกัน ตอนแรกกะจะให้เป็นแค่วงเล่นแบ็กอัพในงานปาร์ตี้ที่เราจัด แล้วค่อยหานักร้องมาเป็นเกสต์ ใช้ชื่อวงว่า The Paradise Bangkok Molam International Band แล้วกลายเป็นว่าวงได้ไปตระเวนเล่นโชว์ในยุโรปอยู่ 3 ปี กว่าจะได้เริ่มอัดอัลบั้มแรก” ณัฐเล่าแบบอารมณ์ดีถึงเส้นทางชีวิตแบบย่นย่อของตัวเอง
เพราะมีสิ่งนี้เป็นเครื่องมือการใช้ชีวิต
เขาขอยกความดีความชอบให้ “แผ่นเสียง” เป็นจุดเริ่มต้น ที่นับคร่าว ๆ ณัฐสะสมแผ่นเสียงมานานเกิน 20 ปี จึงมีจำนวนแผ่นเสียงในครอบครองมากมาย และก็เป็นบรรดาแผ่นเสียงเหล่านี้นี่เอง ที่พาอดีตนักเรียนแฟชั่นแห่งกรุงลอนดอนออกเดินทางไปรอบโลก ได้ผูกมิตรกับเพื่อนหลากเชื้อชาติ ได้กินอาหารท้องถิ่นรสไม่คุ้นลิ้น และสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิตผ่านทัศนคติของผู้คน ซึ่งทั้งหมดล้วนหล่อหลอมให้เขาเป็นเขาในวันนี้
“ผมเคยไปเปิดแผ่นที่กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย ก็คุยกับคนที่นั่น เปรียบเหมือนชาวทองหล่อของที่นี่ เขาถามว่า ตอนผมไปทัวร์ที่เยอรมนีเปิดเพลงแนวอะไรบ้าง ผมบอกว่า เปิดแดงดุ๊ด ซึ่งเป็นเพลงลูกทุ่งอินโดฯ เขาก็หัวเราะและไม่เชื่อ เขาบอกว่าถ้าเปิดแดงดุ๊ดต้องโดนคนโห่แน่ ผมเอาคลิปให้เขาดูว่าคนดูเต้นยับกันขนาดไหน เขายังบอกว่าผมตัดต่อเอาเพลงใส่เข้าไป ยังไงเขาก็ไม่เชื่อ”
“ประเด็นคือไม่ใช่แค่เมืองไทยที่มองว่าเพลงลูกทุ่งหรือหมอลำเชย แต่ทุกที่ทั่วโลกก็มักมีคนที่คิดว่า หญ้าหน้าบ้านคนอื่นสวยกว่าหญ้าหน้าบ้านตัวเอง คนอินโดฯ อาจจะบอกว่าเพลงไทยโบราณเจ๋ง แต่เพลงอินโดฯ โบราณสะเหล่อ หรือคนไทยอาจจะบอกว่าเพลงร็อคอินโดฯ ยุค 70 โคตรมันเลย แต่เพลงไทยเชย เรื่องแบบนี้ก็ว่ากันไม่ได้ มันทำให้ผมได้เรียนรู้ว่า อย่าเพิ่งไปตัดสินอะไรมากเกินไป สิ่งที่เราไม่ชอบวันนี้ ไม่ได้แปลว่าอนาคตข้างหน้าเราจะไม่ชอบ เหมือนที่ผมมีแผ่นเสียงบางแผ่นที่ตัวเองไม่อินก็เลยเก็บไว้ในตู้จนลืม อีก 5-6 ปีต่อมา ผมมาค้นเจอแล้วหยิบมาฟัง โอ้โฮ! ทำไมเราโง่ขนาดนี้ เอาไปใส่ในตู้ทำไม เพลงนี้ดีจะตาย ทำไมไม่เอามาเปิด ดังนั้นทุกอย่างอยู่ที่จังหวะในชีวิตของเรา”
ด้นสดความสนุกเข้าไปในเนื้องาน
ณัฐและสมาชิกต่างวัยอีก 4 คนในวง The Paradise Bangkok Molam International Band สร้างชื่อให้นักฟังเพลงทั่วโลกได้รู้จักดนตรีหมอลำของไทย ทั้งหมดยังคงสนุกกับการทำเพลงและแสดงสดแบบสุดพลังในทุกโชว์ ความสนุกเหล่านี้ตั้งต้นมาจากความสดและเก๋าของคนดนตรีทั้งหลายเหล่านี้
“การทำวงพาราไดส์ฯ สนุกตรงที่ไม่ต้องซ้อมเยอะ เพราะแต่ละคนมีความสามารถในเครื่องดนตรีของตัวเอง เวลาเล่นที่สตูดิโอลำ บางงานก็เป็นการซ้อมเพลงใหม่ไปในตัว แต่เปิดขายตั๋ว (หัวเราะ) ส่วนมากเวลาเล่นที่นี่จะไม่เหมือนเล่นร้านอื่น จะใช้วิธีเขียนแทร็คลิสต์ก่อนขึ้นโชว์ประมาณ 5 นาที เพลงไหนที่ยังไม่ได้ซ้อม แต่มีไอเดียอยู่ ก็ซ้อมตอนซาวนด์เช็กแล้วค่อยหยิบเพลงนี้เข้าไปในโชว์เลย ไหน ๆ ก็เป็นร้านเราเอง เราเสี่ยงได้ ข้อดีคือ คนที่มาดูก็จะได้เห็นอะไรที่อาจไม่ได้เห็นที่อื่น ถ้าเล่นออกมาแล้วแป้ก เขาก็จะได้เห็นเราแป้กเลย แต่ถ้าไม่แป้ก เขาก็จะได้ฟังซาวนด์ที่ develop ไปพร้อม ๆ กับวงเราด้วย”
“จริง ๆ แล้วไอเดียในการทำเพลงต้องมีตันบ้างอยู่แล้ว ผมมองว่าแต่ละอัลบั้มเล่าเรื่องราวคนละแบบ เช่นเดียวกับการฟังเพลง ความชอบของเราเปลี่ยนทุกปี เมื่อก่อนเราเคยชอบฟังเพลงแนวนี้ พอเกิดสถานการณ์ต่าง ๆ ขึ้น ทำให้เราเปลี่ยนไปชอบอีกแบบ อย่างช่วงที่ผมเดินทางไปประเทศไหนบ่อย ซาวนด์ที่ผมไปซื้อแผ่นกลับมาก็จะเปลี่ยนสไตล์ในการโฟกัสไปตามประเทศนั้น ๆ เหมือนเป็นการเดินทางของเรา หรือในช่วงโควิดผมก็ฟังแต่ ambience เพราะอยู่บ้านเยอะ เลยทำให้ผม Mix ambience ไว้ฟังบำบัดตัวเองตอนไปนวด ซึ่งใช้เวลาสองปีในการทำ”
“ผมใช้วิธีไปนวดร้านเดิมกับหมอนวดคนเดิม นวดตามขั้นตอนเดิม เริ่มด้วยจังหวะสบาย ๆ ผ่อนคลายก่อน สักพักค่อยเพิ่มจังหวะขึ้น พอไล่ขึ้นมานวดที่หลังก็ต้องเป็นซาวนด์ลอย ๆ เพราะเรากำลังโฟกัสกับเส้นที่เขากำลังรีดให้เราอยู่ จังหวะนี้แหละลงศอกเลย (หัวเราะ) แล้วค่อยจบด้วยแจ๊สลำดับสุดท้ายตอนจิบน้ำมะตูมร้อน ผมว่าทำแบบนี้แล้วสนุกดีนะ”
เกือบหมดไฟ ผ่านมาได้เพราะโควิด-19
แม้ว่าอยากทำและอยากสนุกไปหมดกับทุกงาน แต่ทว่าปริมาณชิ้นงานที่มากเกินไป ทำให้ณัฐสั่งสมความเครียดโดยไม่รู้ตัวไว้ทีละเล็กทีละน้อย จนค่อย ๆ พอกพูน จากคนที่รักในการฟังเพลงทุกลมหายใจเข้าออกและแวดล้อมด้วยเสียงดนตรีเกือบ 24 ชั่วโมง เลิกจากงาน ดนตรีก็ยังตามเขากลับบ้านไปจนถึงห้องนอน แต่แล้วจู่ ๆ เสียงเพลงก็กลับเป็นสิ่งที่เขาไม่อยากได้ยินอีกต่อไป
“กลายเป็นว่าพอถึงบ้าน เราไม่อยากทำอะไรแล้ว อยากหายใจทิ้ง นั่งโง่ ๆ ไปวัน ๆ ผมฟันธงไม่ได้ถึงขั้นว่าไม่รู้จะเลือกเปิดเพลงไหน เครียดกับการจัดแผ่นก่อนไปเล่นโชว์ ก็เลยหยุดรับงานดีเจไปครึ่งปี ใครมาจ้างผมก็ไม่รับ ซึ่งการไม่รับงานก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น เพราะปัญหาอยู่ที่ความคิด อยู่ที่จิตของเรา ปมของผมคือ ความเครียดที่สะสมจนพอกจิตวิญญาณกลายเป็นก้อนมาเรื่อย ๆ เหมือนกุ้งชุบแป้งทอดที่ใส่แป้งเยอะมาก แต่กุ้งข้างในตัวนิดเดียว เลยต้องหาวิธีกะเทาะออก ผมเลยหาวิธีบำบัด เช่น นั่งสมาธิ หยุดดื่มเหล้า เข้านอนให้ไว ฯลฯ”
“พอเราจับต้นชนปลายถูกก็เหมือนไล่แกะสายเคเบิ้ลที่พันกันออก จนรู้ว่าแต่ละปัญหาคืออะไร เราต่างหากที่ไม่ปล่อยวางเอง ปัญหาอยู่ที่เรา ไม่ได้อยู่ที่คนอื่น ถึงเราจะบอกให้เขาเปลี่ยน เขาก็ยังเป็นของเขาแบบนั้น เราจึงต้องเปลี่ยนตัวเอง พอเริ่มผ่อนจิตผ่อนกายมาเรื่อย ๆ ตอนนี้ผมกลับมาทำงานได้ดีขึ้น สามเดือนที่ผ่านมาผมทำงานได้มากกว่าตลอดทั้งปีที่เคยทำมาเสียอีก และเดี๋ยวนี้ก็นอนไม่ดึกแล้ว จากที่เมื่อก่อนนอนมองเพดานถึงตีสี่ ต้องกินยานอนหลับช่วย ตื่นขึ้นมาก็สะลึมสะลือ ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ทุกวันนี้ให้ผมเข้านอนสองทุ่มตื่นตีสี่ครึ่งได้สบายมาก”
โชคดีที่เขารู้ตัวทันเวลาและสรรหาสารพัดวิธีมาสางปมต่าง ๆ ในชีวิต โดยอาศัยจังหวะล็อกดาวน์อันยาวนานของโควิด-19 เป็นชั่วโมงยามแห่งการเยียวยา และเคลียร์ปัญหาทั้งหมดจนคลี่คลาย
ล่าสุดในปีนี้เขากลับมาสนุกกับงานอีกครั้งในแบบที่หัวโล่ง ๆ และใจโปร่งขึ้นกว่าเดิม นับจากนี้ไปจะมีโปรเจกต์อีกมากมายที่ดีเจมาฟท์ไซพร้อมกระโจนเข้าใส่ ตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายที่เหลือของปีนี้จนถึงปีถัดไป อย่างน้อยใครที่เป็นแฟนเพลงของวง The Paradise Bangkok Molam International Band ก็เตรียมฟังอัลบั้มที่ 3 ของพวกเขาได้