

คุยเรื่องรัก 11 ปีของ ‘ดุจดิว - อีฟ’ คู่ชีวิตที่ข้ามกำแพงเรื่องเพศมาเป็นรักแท้ของกันและกัน
Better Life / People
25 Feb 2025 - 5 mins read
Better Life / People
SHARE
25 Feb 2025 - 5 mins read
เราต่างก็เคยเฝ้าฝันถึง ‘ความรัก’ และจิตนาการถึงใครสักคนที่จะมาเคียงคู่เราในสักวันหนึ่ง แต่บางครั้งกามเทพก็นึกสนุก ส่งคนที่เราไม่เคยคิดฝันถึงมาให้ แล้วเขาคนนั้นกลับกลายเป็น ‘คู่ชีวิต’
ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นเช่นเดียวกับ ‘ความรัก’ ของ ดุจดิว - ธีระวัฒน์ บุตรตะยา และ อีฟ - ภัสสชา รัตนนัย คู่รักทรานส์วูแมนและทรานส์แมน ที่ดูไม่น่าจะโคจรมาเจอกันได้ แต่โชคชะตากลับพาให้ทั้งคู่ให้มาพบและกลายเป็นคู่ชีวิตที่เคียงข้างกันมานานถึง 11 ปี
หลายคนรู้จัก ‘ดุจดิว’ ในฐานะที่เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งร้าน After Yum ร้านยำที่โด่งดังจากพัทยา ปัจจุบันเธอเป็นที่รู้จักอีกครั้งอย่างกว้างขวางจาก ละครกะเทยธรรม ที่เป็นไวรัลทาง TikTok ไม่ว่าจะเป็นช่วงชีวิตไหน ทุกความสำเร็จของเธอก็มี ‘อีฟ’ อยู่เบื้องหลังและคอยเคียงข้างมาเสมอ
แต่ใช่ว่าเส้นทางความรักของทั้งคู่จะโรยด้วยกลีบกุหลาบ ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ในวันที่สังคมบอกว่าผู้ชายควรคู่กับผู้หญิง และกะเทยกับทอมไม่น่ามารักกันได้ ทั้งสองต้องรับฟังเสียงวิจารณ์มากมาย จับมือกันผ่านอุปสรรคมานับไม่ถ้วนกว่าจะมีรักที่ยั่งยืนเช่นในวันนี้
ทั้งคู่เจอกันได้อย่างไร
ดุจดิว : “อีฟเขารู้จักกับพี่คนหนึ่งที่เป็นเจ้าของเว็บไซต์ชื่อ Miss Ladyboy อัปเดตข่าวสารเกี่ยวกับสาวประเภทสอง แล้วก็มาอัปเดตที่คาบาเรต์โชว์ด้วย”
อีฟ : “สมัยนั้น Camfrog กำลังดัง เราไม่เปิดกล้อง พี่เค้าก็เลยนึกว่าเราเป็นเกย์ เป็นเด็กผู้ชาย ตอนนั้นสังคมสาวประเภทสองเขาไม่ค่อยยอมรับทอมเท่าไหร่ จะอยู่แค่กับเกย์และสาวประเภทสองด้วยกันเอง เขาจะรู้สึกว่าแปลก เรามาอยู่กับกะเทยทำไม แต่พอเขาเริ่มเปิดใจ เราก็ตามเขาไปด้วย เพราะเราชอบ อยากเปิดหูเปิดตาดูโชว์คาบาเรต์ อยากสนิทกับพี่ ๆ ด้วย”
ดุจดิว : “ห้องแต่งตัวในโรงละครเป็นสถานที่ที่คนนอกเข้าไปยากมาก แต่เพื่อนเขาคนนี้เดินเข้า-ออกได้ ทุกคนรู้จักกันหมด อีฟที่ตามมาก็จะได้รับสิทธิ์เข้าไปในห้อง ไปนั่ง ไปใกล้ชิดกับนักแสดง”
ตอนดุจดิวเจออีฟครั้งแรกรู้สึกอย่างไร
ดุจดิว : “ไม่ชอบเลย”
อีฟ : “ตอนนั้นเป็นเด็ก ม.ต้นเอง อายุประมาณ 14 ปี แล้วตอนนั้นผมชอบพี่อีกคนหนึ่งที่ Alcazar เขาเป็นดาวของที่นั่นเลย”
ดุจดิว : “คนเขาเม้าท์กันว่ามีทอมคนหนึ่งมาเป็นแฟนคลับพี่คนนี้ เมื่อก่อนเราไม่รู้ว่าคนอื่นคิดยังไงนะ แต่สำหรับเรา สังคมของกะเทยกับทอมเหมือนเป็นขั้วตรงข้าม ที่ไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ เมื่อก่อนทอมจะชอบทำตัวโต ตัวใหญ่ แล้วกะเทยไม่ชอบ กะเทยก็จะบอกว่าอีนี่มันเป็นอะไร (หัวเราะ) แต่นางเป็นทอมเด็ก เป็นคนน่ารัก นางไม่ได้เหมือนทอมที่เราเคยเห็น กะเทยนางโชว์จะมีความตัวแม่ ส่วนนางก็ทำตัวเล็กตัวน้อย ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกหมั่นไส้”
อีฟ : “ตอนแรกรู้จักกันแบบพี่น้อง มีครั้งหนึ่งคณะคาบาเรต์เขาไปออกรายการหม่ำโชว์ ในรายการเขาบอกว่าชื่อมะขวิด เขาพูดตลก เราก็เลยจำพี่คนนี้ได้ มีวันหนึ่ง ผมไปที่ Alcazar เขาเปิดประตูสวนกันมาพอดี เลยทักว่า ‘พี่มะขวิดนี่นา’ แต่ตอนนั้นเรายังไม่ได้ชอบเขา”
จากคนรู้จักมาเป็นหวานใจ ใครเริ่มจีบใครก่อน
อีฟ : “เรารู้จักกันมาได้ประมาณ 4-5 ปี เป็นพี่น้องที่คุยกันปกติ วันหนึ่ง อยู่ดี ๆ ผมก็ไปคอมเมนต์ไอจีเขาว่า ‘น่ารัก’ (หัวเราะ)”
รู้จักกันมาตั้งนาน ทำไมอยู่ดี ๆ ถึงไปคอมเมนต์แบบนั้น
อีฟ : “เวลามันก็ผ่านมานาน ตอนนั้นเขาสวยขึ้นและก็กลายเป็นดาวเด่น”
ดุจดิว : “หล่อนต้องบอกก่อนสิว่าหล่อนอกหัก”
อีฟ : “มันก็เป็นความรักของเด็กน้อย ตอนนั้นเราชอบรุ่นพี่คนนั้นอยู่”
ดุจดิว : “ด้วยความที่พี่เขาสวย เขาก็มีแฟนอยู่แล้ว วันหนึ่งพี่เขาก็บอกอีฟว่าพี่มีแฟนแล้วนะ พอนางรู้ว่าเขามีแฟน นางก็เลยตัดใจ แล้วมาจีบเรา”
อีฟ : “เรามีไลน์ของกันและกันอยู่ แต่ก็ไม่ค่อยได้คุยกัน เพราะไม่ได้สนิทกัน เราไปคอมเมนต์รูปเขาบ่อย ๆ แต่ตอนนั้นไม่ได้คิดว่าจะได้เป็นแฟนนะ ก็แค่ไปคอมเมนต์ว่าน่ารักเฉย ๆ”
ดุจดิว : “เธอไม่ได้คิดเหรอ แต่ฉันคิดเลยนะ (หัวเราะ)”
ตอนนั้นดุจดิวรู้สึกอย่างไร
ดุจดิว : “ไม่ได้เลย เพราะก่อนหน้านี้เราคบกับผู้ชายมาตลอด แต่จังหวะที่อีฟเข้ามาคุย ตอนนั้นเราโสดมาแล้ว 2 ปี พอมีคนมาแซวว่าน่ารัก กินข้าวหรือยัง เป็นยังไงบ้าง มันเลยทำให้หัวใจพองโต รู้สึกกระชุ่มกระชวย เราอยากได้โมเมนต์ในการคุยแบบนั้นกลับมา”
“แต่ที่ว่าไม่ได้เลยในที่นี้คือมันเริ่มต้นจากการที่เรารู้จักกันอยู่แล้ว ถ้าคบกัน คนอื่นจะมองพวกเรายังไง ยิ่งในกลุ่มสาวประเภทสอง เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่เราจะคบกับทอม ย้อนกลับไปเมื่อ 11 ปีที่แล้ว มันไม่มีแบบนี้หรืออาจจะมีแต่ไม่มีใครเปิดเผย เป็นเรื่องที่ค่อนข้างแปลกใหม่”
แล้วทั้งสองคนตัดสินใจคบกันตอนไหน
ดุจดิว : “ตอนนั้นเราคุยกันแต่ไม่ได้บอกใคร ทุกวันหลังเลิกงานต้องวิดีโอคอลตลอด จนมาวันหนึ่ง เขาอยากจริงจัง อยู่ ๆ นางโทรมาบอกว่า ‘เราลองคบกันไหม‘ เราก็เลยบอกไปว่าคิดดี ๆ ก่อน การเป็นแฟนกันมันต้องเห็นแง่มุมที่ไม่ดีของกันและกัน แล้วถ้าเธอรับความเป็นตัวฉันไม่ได้ มันจะไม่ดีต่อความรู้สึกของเราทั้งสองคน”
“เราก็เริ่มเครียดนะเพราะการจะคบกันไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าวันหนึ่งเราไปกันไม่ได้ ก็ไม่รู้ว่าจะกลับมาเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิมได้ไหม เราอาจเสียความสัมพันธ์นี้ไปเลย อีกเรื่องคือคนอื่นจะมองยังไง กลุ่มเพื่อนจะเม้าท์หรือเปล่าว่าทำไมมาคบกันเอง หรือสังคมอาจจะมองว่าแปลก ก็เลยเครียด แต่เครียดในที่นี้คือแค่ 5 นาทีนะ (หัวเราะ)”
“หลังจากนางโทรมา เราขอเวลาแป๊บหนึ่ง นั่งอยู่หน้ากระจกในห้องแล้วคิดว่ามันจะเป็นไปได้เหรอวะ มันเป็นไปไม่ได้ในทุก ๆ เรื่องเลย ทั้งเรื่องเพื่อนเรา สังคม หรือแม้แต่เรื่องเซ็กซ์ ที่สำคัญคือเขาไม่ใช่สเป็ก เราชอบผู้ชายอายุมากกว่า เราอยากได้คนที่ให้คำปรึกษาได้ และเราอยากได้คนที่ตัวสูงกว่า มีความเชื่อในตอนนั้นว่าการเดินคู่กับผู้ชายตัวสูงกว่าจะทำให้เราดูเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ซึ่งอีฟสูง 150 เราสูง 167 เดินด้วยกันบางทีก็เหมือนแม่ลูก”
“แต่ตอนนั้นมีความคิดหนึ่งเกิดขึ้นในหัวว่า ทำไมเราไม่ลองเปิดใจ ถ้าเราเจอความรักจริง ๆ ล่ะ แค่นี้มันก็ทำให้เรามองข้ามทุกอย่าง แล้วโฟกัสกับคำว่าความรักจริง ๆ สุดท้ายก็ตัดสินใจคบกัน จนถึงวันนี้ก็ 11 ปีแล้ว”
หลังจากตัดสินใจคบกันแล้วต่างคนต่างรู้สึกอย่างไร
อีฟ : “ดีใจ เพราะเขาคือแฟนคนแรกในชีวิต วันนั้นบอกกับเพื่อนว่าเราคุยกันมาสองเดือนแล้ว พี่เขาก็ดูจะมีใจให้เรา ไม่เคยมีใครมาคุยกับเราจริงจังขนาดนี้มาก่อนเพราะเราเด็ก”
ดุจดิว : “ความรู้สึกต่างจากความรักที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิง เพราะเราได้เป็นตัวเองร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่ต้องพยายามเป็นใครเพื่อให้เขารักเราเลย ทำไมมันรู้สึกดีจัง ก่อนหน้านั้นเราไม่เป็นตัวเองเลย เรากลัวคนไม่รัก กลัวเขารับความเป็นตัวเราไม่ได้ เราถึงกับไม่ล้างหน้า ไม่ถอดคอนแทคเลนส์ตอนนอนเพราะกลัวเขาหาว่าไม่สวย แต่พอเขาหลับไปแล้วค่อยลุกขึ้นมาล้างหน้า อาบน้ำ แต่ก่อนเราเป็นนางโชว์ เรามั่นใจที่สุดตอนแต่งหน้า ติดขนตาไง แต่พอล้างหน้าเราก็ไม่มั่นใจ เลยกลัวเขาไม่ชอบ เวลาไปกินข้าวด้วยกัน เรากินข้าวเยอะกินคำใหญ่ ก็ต้องกินคำเล็ก ๆ มันไม่เป็นตัวเองเลย แต่คบกับอีฟเราเป็นตัวเองได้ เราเลยแฮปปี้”
อีฟ : “ตอนคบกับพี่ดิวแรก ๆ เรากลัวและกังวลมาก กลัวเขาจะหนีไปคบกับผู้ชาย เพราะพอเขาโชว์ที่ Alcazar จบ หลังจากนั้นก็จะไปโชว์ที่บาร์ต่อ ซึ่งที่นั่นมีนายแบบใส่กางเกงในตัวเดียว เรามีเพื่อนเป็นสาวประเภทสองเยอะ รู้ว่าเขาชอบ เลยกลัวว่าพี่ดิวจะเป็นแบบนั้น”
ดุจดิว : “จริง ๆ เราเป็นแบบนั้นแหละ (หัวเราะ) ตัวตนของเราเวลาที่ได้มีแฟน เราก็อิสระ แล้วเราก็สวยด้วยไง ผู้ชายก็มาจีบ เราก็เปิดโอกาสให้คนเข้ามาพูดคุย แต่พอเรามีความรัก มีความสัมพันธ์กับใครสักคนเราก็หยุด เพราะเราต้องให้เกียรติคู่ของเรา เราให้ความสำคัญกับเขาคนเดียว ดิวว่ามันคือส่วนสำคัญที่ทำให้เราอยู่ด้วยกันได้ยาวนาน”
สำหรับคุณอีฟ รักครั้งนี้คือรักครั้งแรก แต่สำหรับคุณดุจดิวที่เคยผ่านความรักมาแล้ว อยากให้เล่าถึงความรักที่ผ่านมา กว่าจะมีวันนี้
ดุจดิว : “ตั้งแต่รู้จักกับคำว่าความรักมา ไม่เคยประสบความสำเร็จเลย แม้คนที่เราเคยคบจะตอบโจทย์เราทุกอย่าง ทั้งรูปร่าง หน้าตา แต่เราอาจไม่ได้ตอบโจทย์เขา ในวันหนึ่งที่เราให้ในสิ่งที่เขาต้องการไม่ได้ เราก็ไม่มีประโยชน์ เราอาจเป็นแค่แหล่งหาเงินของเขา หรือในเวลานั้นเขาอาจไม่มีใคร วันหนึ่งเมื่อเจอคนที่ตรงสเป็ก เขาก็ทิ้งเราไป”
“ทุกครั้งที่ตัดสินใจรักหรือคบกับใครก็ตาม เราไม่เคยคิดจะเลิกเลย จนวันหนึ่ง เราโดนทิ้ง โดนเท อกหัก มันเลยรู้สึกว่าพอแล้ว เหนื่อยแล้ว ก็เลยเข็ด ตัดสินใจจะอยู่คนเดียว เป็นโสดได้ 2 ปี ก่อนมาคบกับอีฟ”
ชีวิตเปลี่ยนไปอย่างไรเมื่อมีอีกคนเข้ามาเติมเต็ม
ดุจดิว : “มันดีนะเพราะแฟนเราเด็ก เลยเป็นอีกความรู้สึกหนึ่งกับที่เคยคบมา เขาไม่เคยเดินจับมือเลยนะ เราก็เดาเอาเองว่าเขาอาจรู้สึกอาย คนอาจจะมอง ผู้หญิง ผู้ชายเดินจับมือกันเรายังมองว่าสวีทกันจังเลย รักกันจังเลย ถ้าเป็นผู้ชายเดินจูงมือกับกะเทยเมื่อ 10 ปีที่แล้ว มันก็ต้องแคร์สายตาคนอื่น แต่พอคบกับอีฟ นางเด็กกว่า เลยชอบเดินจับมือ มันเป็นความรู้สึกดีที่เราไม่เคยได้สัมผัส”
อีฟ : “สำหรับผมมันเป็นความรู้สึกที่ไม่เคยมีในชีวิต ดีใจที่เขาเปิดใจให้เรา ความรู้สึกของเราคืออยากทำแบบนี้ อีฟไม่เคยรู้สึกอาย รู้สึกแค่ว่าอยากแสดงออกว่า คนนี้คือแฟนฉัน ! ”
ดุจดิว : “วันแรก ๆ เราก็ยังเขินอาย กังวลว่าคนจะมองเรายังไงที่เดินจับมือกับทอม ตอนนั้นลุคของอีฟยังเป็นทอมเด็ก ๆ อยู่เลย แต่เราก็มานั่งคิดว่าเราโฟกัสผิดจุด เรามัวแต่แคร์ความรู้สึกของคนอื่น แต่ไม่แคร์ความรู้สึกของคนที่อยู่ข้าง ๆ เลย เราเลยกลับมาให้ความสำคัญกับความรู้สึกของแฟนมากกว่า หลัง ๆ เลยไม่แคร์คนอื่นมาก จับมือกันโดยไม่สนใจว่าใครจะมองยังไง”
เมื่อย้อนกลับไป 10 ปีที่แล้ว สังคมยังไม่มีเปิดกว้างเรื่องเพศมากนัก พอคบกันอย่างเปิดเผยแล้ว เสียงของสังคมเป็นอย่างไรบ้าง
ดุจดิว : “เพื่อนเราแค่แซว ๆ ว่ายังไงกันจ๊ะ คบกันจริงเหรอ แต่สำหรับคนที่ไม่รู้จักกัน ตอนนั้นถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างแปลกใหม่สำหรับเขา เราเป็นคู่แรก ๆ ที่เปิดตัวผ่านโซเชียลฯ ว่าเป็นคู่รักทอมกับสาวประเภทสอง ส่วนใหญ่จะมีคอมเมนต์ในโซเชียลมีเดียประมาณว่า ‘ใครจะเป็นคนท้อง’ ‘เดี๋ยวทอมท้องแน่’ ทำไมคนถึงไปโฟกัสว่าใครจะท้องหรือไม่ท้อง เรารู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ไม่น่าถาม”
“ตัวเราไม่ได้รู้สึกกับคอมเมนต์พวกนั้นเท่าไหร่ เราเป็นห่วงความรู้สึกอีฟมากกว่า เพราะเขายังเด็ก และคอมเมนต์พวกนี้พุ่งตรงไปที่เขา บอกว่าเดี๋ยวก็ท้อง เราไม่รู้ว่าเขารู้สึกกับสิ่งนี้ขนาดไหน”
อีฟ : “ตอนนั้นรู้สึกแค่ว่าเขาจะมาคอมเมนต์แบบนี้ทำไม และทำไมถึงคิดว่าทอมจะต้องท้อง ในมุมของเรา เราอยากเป็นผู้ชาย แต่ในตอนนั้นการข้ามเพศยังน้อยมาก เราก็คิดมาตลอดว่าถ้าเริ่มมีรายได้ เราจะหาเงินเทคฮอร์โมน ตัดหน้าอก และความจริงยังไงก็ท้องไม่ได้ เพราะพี่ดิวเขาเป็นผู้หญิงแล้ว เรารู้ดี”
ดุจดิว : “จริง ๆ จะไปว่าเขาก็ไม่ได้ เขาอาจจะแค่อยากรู้ ตอนนั้นมันก็คือสิ่งใหม่จริง ๆ ถ้ามองในมุมของคนอื่น เราก็ผู้ชาย อีฟก็ผู้หญิง ผู้หญิงกับผู้ชายพออยู่ด้วยกันก็มีลูกด้วยกันได้ เราต้องพยายามมองโลกในแง่ดีนะ ปัจจุบันนี้ยังคิดว่าถ้าเรามีลูกของเราเองได้ก็ดีสิ”
เมื่อความรักของทั้งสองคนอาจแตกต่างจากคู่อื่น ๆ ในยุคนั้น แล้วทั้งคู่นิยามคำว่า ‘ความรัก’ ที่มีให้กันอย่างไร
อีฟ : “เทคแคร์กัน ดูแลกัน”
ดุจดิว : “สำหรับเรา ทุก ๆ ความรักที่เข้ามาในชีวิต เรามองว่ามันคือรักแท้ และเราพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ความรักครั้งนี้เดินทางไปได้ยาวไกลที่สุด ดิวจะโฟกัสกับสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ ซึ่งมันจะเป็นคำตอบให้วันพรุ่งนี้เสมอ ถ้าวันนี้เราทำรักของเราให้เป็นเรื่องปกติ พรุ่งนี้เราก็ยังอยู่ด้วยกัน”
“นิยามความรักของดิวคือความเห็นอกเห็นใจและการเกื้อกูลกัน เราไม่ได้คาดหวังเลยว่าคนที่เข้ามาจะต้องซัปพอร์ตเรื่องเงิน ถึงเราจะไม่ได้เกิดมาในครอบครัวที่ร่ำรวย แต่เราก็หาเงินเองได้ รับผิดชอบตัวเองได้ เราขอแค่คนที่เข้ามา เขาดูแลตัวเองได้ก็พอ เราสองคนจะได้ไม่เป็นภาระของกันและกัน ดิวมองว่าแค่นี้ก็สามารถทำให้เราเดินไปด้วยกันได้ เราสองคนเริ่มต้นด้วยการดูแลกันและกัน มันเลยทำให้เราอยู่ด้วยกันได้”
“ส่วนเรื่องเพศและเซ็กส์ ถ้าถามว่ามันสำคัญไหม มันสำคัญนะ แต่เรามองข้ามไปตั้งแต่มีแฟนเป็นทอมแล้ว คือเราไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาเป็นอันดับแรก เราให้ความสำคัญกับคำว่าความรัก เราตั้งใจอยู่แล้วว่าจะเลือกคบกับคนที่รักในความเป็นตัวเรา”
อีฟ : “เหมือนที่เขาพูดกันว่าลื่นไหลทางเพศ”
ดุจดิว : “ตอนนี้ลื่นล้มไปแล้ว (หัวเราะ)”
ครอบครัวของทั้งสองฝ่ายเปิดกว้างเรื่องเพศด้วยไหม แล้วเป็นอย่างไรเมื่อคบกัน
อีฟ : “ครอบครัวรู้มาตั้งแต่เด็กแล้วว่าเราชอบแบบนี้ ตอนเด็ก พี่ปอย ตรีชฏา ดัง เราก็เปิดเผยเลยว่าชอบพี่ปอย ตั้งแต่จำความได้ก็ชอบสาวประเภทสอง ไม่เคยคิดว่าจะมีแฟนเป็นผู้หญิง โตมาก็ตั้งใจว่าจะมีแฟนเป็นสาวประเภทสอง”
ดุจดิว : “ตอนเริ่มคบกันก็คิดหนักที่จะบอกพ่อแม่ว่ามีแฟนเป็นทอม ตอนนั้นแม่อายุ 60 กว่า มีลูกเป็นกะเทยมันก็หนักสำหรับเขาแล้ว และลูกยังมีแฟนที่เป็นทอมอีก ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่พ่อแม่เราเกิดมาไม่เคยเจอ เราไม่รู้เลยว่าเขาจะเข้าใจเราแค่ไหน ไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะรับได้หรือไม่ได้ แต่เราแค่ต้องบอกเขาให้รับทราบ คำถามแรกที่พ่อถามเลยคือ เขากินเหล้าไหม สูบบุหรี่ไหม เขาเป็นห่วง เขากลัวเราโดนหลอก เดี๋ยวเสียเงินทองให้ผู้ชายอีก”
ความเหมือนและความต่างของทั้งสองคนคืออะไร
ดุจดิว : “ถ้ายกมา 10 ข้อ ก็มี 9 ข้อที่ไม่เหมือนกัน เราอายุห่างกัน 6 ปี ดิวโฟกัสแต่กับการทำงาน หาเงิน อยากซื้อบ้าน อยากซื้อรถ ต้องการมีความมั่นคงในชีวิตให้เร็วที่สุด อีฟเลยไม่ได้ใช้ชีวิตวัยรุ่นเลยตั้งแต่มาคบกับเรา เราปลูกฝังเรื่องการทำงานให้เขา อย่างน้อย ๆ คือเขาต้องดูแลตัวเองได้ ไม่เป็นภาระของพ่อแม่ เราแค่อยากให้คนที่อยู่กับเรามีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือรับผิดชอบตัวเองให้ได้ ต้องยอมรับว่าตอนนั้นเขาเด็ก แต่เขาก็ทำได้ดี”
อีฟ : “แต่ก่อนเราคิดไว้ว่าตอนอายุ 20 เราจะต้องไปเที่ยวผับนั้น ผับนี้ให้ได้ อย่างช่วงสงกรานต์จุดมุ่งหมายของเราคือการไปเที่ยว Route66 เขาก็ให้เราไปนะ แต่พอได้ไป เราก็ไม่ได้ชอบ ก็จะไปเที่ยวแค่นาน ๆ ครั้ง”
ดุจดิว : “ความเหมือนไม่กี่อย่างของเราคือชอบเลี้ยงสัตว์ และไม่ค่อยชอบคนเยอะเหมือนกัน เราชวนกันไปเดินจตุจักร ไปสวนสัตว์ ไปที่ไหนก็ได้ที่มีต้นไม้และสัตว์ เราชอบอยู่บ้านเหมือนกันเพราะที่บ้านเรามีสัตว์และมีต้นไม้เยอะ เขาก็จะช่วยปลูกผัก ขุดดิน ปลูกต้นไม้ คือเราไม่รู้ว่าอีฟชอบไหม แต่เราก็ให้เขาทำ จนหลัง ๆ ถ้าเขาเห็นว่าเราทำ เขาก็จะมาช่วยเอง ตอนนี้อาจจะชอบแล้วมั้ง”
อีฟ : “ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ (หัวเราะ)”
ดุจดิว : “แต่จริง ๆ เราต้องมีพื้นที่ให้กันและกันนะ เขาชอบอะไรก็ให้เขาทำไป”
อีฟ : “ผมชอบไปออกกำลังกาย นั่งดูซีรีส์ เล่นโทรศัพท์ อยู่ในบ้าน แต่อีกคนไม่ชอบ เขาชอบอยู่นอกบ้าน ชอบขุดดิน ยกดิน (หัวเราะ)”
อะไรที่ทำให้ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันมานานขนาดนี้
อีฟ : “เราใช้ชีวิตเหมือนเป็นเพื่อนกัน แต่เป็นเพื่อนที่ดูแลกันมากกว่า และลึกซึ้งกว่า”
ดุจดิว : “เราช่วยเหลือกัน เกื้อกูลกันเสมอ ซึ่งความรักครั้งก่อน ๆ มักไม่มีสิ่งนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นเราที่เกื้อกูลอีกฝ่ายมากกว่า แต่พออยู่กับอีฟ เขาซัปพอร์ตในสิ่งที่เราอยากทำ แม้ว่าหลาย ๆ เรื่องเราต้องบังคับให้เขาทำก็ตาม เช่น การขุดดิน ปลูกต้นไม้ (หัวเราะ) แต่นางก็เข้าใจว่าเราชอบมาก มันเลยทำให้เราอยู่กันได้ โดยไม่รู้สึกว่าเป็นภาระของกันและกัน แต่กว่าจะผ่านมาได้ ก็มีบางจุดที่หนักและสาหัสพอสมควร”
อีฟ : “คบกันได้ 3-4 ปีก็ทะเลาะกันบ่อย ต่างคนต่างไม่ยอมกัน”
ดุจดิว : “พอทะเลาะกัน สิ่งที่เราต้องการที่สุดคืออยู่เงียบ ๆ คนเดียว ให้เวลามันผ่านไปสักชั่วโมงก่อน พอเย็นลงค่อยมาปรับความเข้าใจกัน แต่อีฟคือไม่ได้ ห้ามไปไหน ต้องมาเคลียร์กันตอนนี้เลยให้จบ หลังจากนั้นจากแค่ทะเลาะกันก็เริ่มตีกันเลย (หัวเราะ) ช่วงนั้นก็หนักพอสมควร แล้วมันไม่ได้มีครั้งเดียว”
ผ่านจุดนั้นกันมาได้อย่างไร
ดุจดิว : “เหนื่อยที่จะตีกันแล้วมั้ง (หัวเราะ)”
อีฟ : “ทุกครั้งเราก็จะคุยและมากอดกัน สัญญาว่าเราจะไม่ตีกันแล้วนะ”
ดุจดิว : “อีฟจะเงียบมากขึ้น มากกว่ามาเซ้าซี้เรา แล้วค่อยกลับมาคุยกัน แล้วเราก็โตขึ้นด้วย มันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะทะเลาะกัน ทุกวันนี้แทบจะไม่ทะเลาะกันจริงจังแล้ว มีแต่เรื่องงี่เง่า อย่าง ทำไมหล่อนขับรถไม่เบรกเลย วันนี้หล่อนไม่ต้องมาใกล้ฉันเลยนะ เราก็จะทำเป็นโกรธ แล้วก็ขำกันแค่นั้น”
อะไรที่ทำให้ทั้งคู่มั่นใจได้ว่าเราจะจดทะเบียนสมรสและให้คนคนนี้เป็นคู่ชีวิตของเรา
อีฟ : “ตอนแรกเราแค่อยากคบไปนาน ๆ แต่ไม่ได้คิดว่าจะต้องจดทะเบียนสมรสกัน แต่พอเริ่มโตขึ้น เราเห็นพี่คนหนึ่ง เขาเป็นเกย์ แล้วแฟนเขาป่วยแต่กลับไม่สามารถใช้สิทธิต่าง ๆ ดูแลกันได้ เราเลยคิดว่าถ้าเรามีโอกาส เราก็จดทะเบียนกันไว้ดีกว่า”
ดุจดิว : “ดิวกับอีฟ เราจดกันได้อยู่แล้ว ดิวเป็นสามี อีฟเป็นภรรยา เราตัดสินใจจดตอนคบกันได้ 9 ปี ซึ่งสำหรับดิวมันนานมากเลยนะ เราสร้างอะไรด้วยกันมาตั้งแต่ปีแรก ๆ เลย ถ้าวันหนึ่ง อยู่ ๆ เราเป็นอะไรไป เรากลัวว่าเขาจะไม่มีสิทธิในสิ่งที่เราสร้างมาด้วยกัน ถ้าเกิดการเจ็บป่วยขึ้นมา เราไม่มีสิทธิในการดูแลกันและกันเลย มันจะลำบาก เลยจดทะเบียนสมรสกันดีกว่า จะได้ใช้คำว่าครอบครัวได้อย่างเต็มที่”
ประทับใจอะไรในตัวของกันและกัน
ดุจดิว : “เขาเข้ามาเติมเต็มเราหลายอย่าง อีฟเป็นคนที่มีความพยายามสูงมาก นางพิสูจน์ให้เราเห็นว่านางทำได้ เราต้องการให้นางดูแลตัวเองได้ รู้จักทำงานหาเงิน หรือเลี้ยงดูตัวเองได้ ซึ่งนางก็พิสูจน์สิ่งนั้นให้เราเห็นจริง ๆ เลยชนะใจเรา”
“เรารู้สึกว่าอีฟเหมือนลูกที่ต้องคอยดูแล แต่ก่อนอีฟกินยาเม็ดไม่เป็น เราก็ไม่เคยรู้ วันหนึ่งนางไม่สบาย เราเอายาเม็ดแก้ปวดให้กิน จนน้ำขวดใหญ่ ๆ หมดขวด ก็ยังกลืนยาไม่ลง นางก็พยายามฝึกตัวเองให้กินยาเม็ดให้ได้”
อีฟ : “เขาดูแลเราดี เพิ่มความมั่นใจให้กับเรา แล้วก็ซัปพอร์ตเรา”
อยากบอกอะไรกับคู่รักที่มีความสัมพันธ์คล้าย ๆ กับคู่เรา
ดุจดิว : “การที่เรามีความรักไม่ตรงกับบริบทของสังคมที่บอกว่า ผู้หญิงควรคู่กับผู้ชาย สาวประเภทสองควรคู่กับกับผู้ชาย หรือทอมควรคู่กับผู้หญิง ดิวอยากบอกว่าเราโฟกัสในความรักของเราดีกว่า เราไม่สามารถเปลี่ยนความรู้สึกหรือความคิดของคนอื่นได้ แต่เราเปลี่ยนความคิดของตัวเราเองได้ เราสามารถนั่งคุยกันสองคนได้ว่าวันนี้เรารู้สึกกันอย่างไร เราให้ความสำคัญกับความรักของเราอย่างไร มันก็จะทำให้เราสองคนเดินออกไปนอกบ้านได้โดยที่ไม่ต้องแคร์ว่าใครจะรู้สึกอย่างไรกับความรักของเรา”
“ความรักเป็นของเรา ไม่ใช่ของสังคม เราทำดีกับสังคมแล้ว เราก็ต้องทำดีและให้ความสำคัญกับความรักของเราด้วย ไม่ใช่แค่ความรักของคู่รักนะ คนที่ไม่มีคู่ ก็ต้องให้ความสำคัญและรักตัวเองก่อน แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว”
อีฟ : “มันอยู่ที่ตัวเรา โฟกัสที่แฟนเราดีกว่า บางอย่างเราเปลี่ยนสังคมไม่ได้ ถ้าเราโอเคกับเขา แฮปปี้กับความสัมพันธ์แล้วก็โอเคแล้ว”
มีอะไรที่อยากบอกอะไรกันและกัน
ดุจดิว : “ยากกว่าบอกสังคมอีก (หัวเราะ) เราไม่ค่อยได้บอกอะไรกันเท่าไหร่ เพราะอยู่ด้วยกันมา 11 ปี มันนานมาก เราบอกความรู้สึกที่มีต่อกันไปหมดแล้ว ที่ไม่ได้บอกก็คงมีแค่คำว่าขอบคุณ ขอบคุณที่เข้ามาในชีวิตและทำให้รู้จักคำว่าความรักจริง ๆ เพราะที่ผ่านมาในชีวิตไม่รู้จักคำว่าความรักที่แท้จริงเลยนอกจากความรักจากครอบครัว ก็มีอีฟนี่แหละที่เข้ามาเติมเต็มชีวิตคู่ ขอบคุณมาก” (ยิ้ม)
อีฟ : “ขอบคุณที่วันนั้นเปิดใจจนทำให้มีวันนี้ครับ”
ดุจดิว : “11 ปีแค่นี้เองเหรอ พูดน้อยมาก”
อีฟ : “หนูก็บอกแม่ตลอด"
ติดตาม ‘ดุจดิว’ และ ‘อีฟ’ ได้ที่