‘โค้ชกี้ ชนากานต์’ กับสมดุลในการออกกำลังกายสร้างกล้ามเนื้อแบบพอดี ไม่สุดโต่งจนใจพัง

25 Jul 2025 - 7 mins read

Better Life / People

Share

ปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เกิดปรากฏการณ์สำคัญในแวดวงคนรักการออกกำลังกายแบบฟิตเนสในประเทศไทย

 

นั่นคือ การแข่งขันฟิตเนสที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง HYROX World Series of Fitness Racing ที่มีการจัดการแข่งขันในกว่า 60 เมืองทั่วโลก ได้จัดขึ้นที่ประเทศไทยเป็นครั้งแรกในชื่อ BYD HYROX Bangkok ซึ่งถือเป็นงานที่หลายคนรอคอย

 

เพราะ HYROX เป็นการแข่งขันที่ผสานการวิ่งเข้ากับการออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงในรูปแบบที่ไม่เหมือนใครโดย HYROX มาจากคำว่า Hybrid ซึ่งก็หมายถึงการผสมการวิ่งเข้ากับการออกกำลังกายแบบเพิ่มความแข็งแรง รวมกับคำว่า Rockstar ที่สื่อความหมายว่าผู้เข้าร่วมแข่งขันจะต้องมีความเป็น Rockstar ในแบบของตัวเอง

 

HYROX เปิดกว้างให้ทุกคนสามารถทดสอบขีดจำกัดของตัวเองได้ด้วยการวิ่ง 1 กิโลเมตร จำนวน 8 รอบ สลับกับ 8 ฐานการออกกำลังกายแบบ Functional Training ที่ออกแบบมาเพื่อทดสอบความฟิตในมิติต่าง ๆ ทั้งความเร็ว ความอึด และความแข็งแรง เช่น การพายเรือ ดันเลื่อนน้ำหนัก แบกของหนัก กระโดดลึก ฯลฯ

 

หนึ่งในผู้เข้าแข่งขันที่ถือเป็นร็อกสตาร์ที่หลายคนจับตามองในงานนี้ ได้แก่ กี้ - ชนากานต์ เลอไกรสิทธิ์ เทรนเนอร์และอินฟลูเอนเซอร์สายฟิตเนสชื่อดัง เจ้าของช่อง TikTok เทรนเนอร์นักกิน หนึ่งในคนไทยไม่กี่คนที่เคยผ่านสนาม HYROX ในเอเชียอย่างสิงคโปร์ ฮ่องกง และไต้หวันมาแล้ว และสำหรับการแข่ง HYROX ครั้งแรกในประเทศไทย กี้เลือกที่จะลงแข่งถึง 3 ครั้ง ตลอดสองวันติด ๆ กัน และสามารถคว้ารางวัลที่ 1 ในรุ่น Double Women มาครอง 

 

ความสำเร็จดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงเวลาฝึกซ้อมเพียงไม่กี่เดือน แต่เป็นผลลัพธ์ของการออกกำลังกายต่อเนื่องนานหลายปี โดยก่อนหน้านี้ กี้เคยผ่านวิกฤตสุขภาพมาแล้วหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็น Yo-Yo Effect จากความตั้งใจในการลดน้ำหนักให้กลับมารูปร่างผอมบางดังเดิม หลังจากไปเรียนและทำงานในต่างประเทศจนน้ำหนักตัวพุ่งขึ้น ซึ่งการมุ่งมั่นออกกำลังกายเพื่อรีดน้ำหนักให้ลดลงตามเป้าหมายไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเธอ ดังนั้น เมื่อลดน้ำหนักได้ง่าย กี้ก็เผลอใจกลับไปกินเยอะอีกจนน้ำตัวเพิ่ม และต้องหาทางลดน้ำหนักวนอยู่อย่างนั้น

 

จนกระทั่ง กี้สามารถลดน้ำหนักจนร่างกายผอมบางสมความตั้งใจ แต่เธอกลับเกิดความรู้สึกว่ายังผอมไม่พอ จึงออกกำลังกายหนักขึ้นเรื่อย ๆ และหมกมุ่นกับตัวเลขของแคลอรีทั้งจากอาหารที่กินเข้าไป และจากการเผาผลาญหลังออกกำลังกาย นำไปสู่ภาวะ Binge Eating Disorder ในวันที่เธอรู้สึกว่าตัวเองกินอย่างไม่มีคุณภาพ ก็จะเกิดอาการ ‘หลุด’ จนกินอาหารเยอะเกินไปชนิดที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ น้ำหนักตัวจึงดีดกลับมาสูงอีกครั้ง สุดท้ายเธอต้องหันไปพึ่งจิตแพทย์ และค่อย ๆ ค้นพบทางสายกลางในการออกกำลังกายอย่างสมดุล กว่าจะมาเป็นเจ้าของฉายา ‘หน้าคิตตี้ บอดี้มาร์เวล’ ผู้ขยันแบ่งปันความรู้ด้านโภชนาการและวิถีออกกำลังกายในแบบที่พอดีกับชีวิตอย่างในทุกวันนี้

 

ครึ่งปีแรกของปี 2568 คุณลงแข่งขันกีฬาหลายรายการ เล่าให้ฟังหน่อยว่าผ่านสนามไหนมาบ้าง
“ครึ่งปีที่ผ่านมากี้ลงแข่งหลายรายการมาก เช่น งานวิ่ง The 14th Red Bull Desert Adventure ที่ประเทศจีน เป็นการวิ่งในทะเลทรายระยะทางรวม 33 กิโลเมตร โดยต้องวิ่งจบภายใน 3 วัน ถือเป็นประสบการณ์ใหม่ เพราะประเทศไทยไม่มีภูมิประเทศที่เป็นทะเลทราย ตอนซ้อมก็เลยได้แค่ซ้อมกลางแดด เพื่อให้ร่างกายชินกับการอยู่กลางแดดหลายชั่วโมง และฝึกกินน้ำจากเป้ ส่วนเรื่องของพื้นผิวก็ปรับตัวไปตามสภาพ ตรงไหนวิ่งได้ก็วิ่ง วิ่งไม่ได้ก็เดิน ซึ่งก็ผ่านพ้นมาได้ด้วยดี”

 

“ต่อจากนั้นมีแข่ง HYROX ที่ถือเป็นอีกประสบการณ์ใหม่ เพราะกี้ยังไม่เคยลงแข่ง 3 ครั้งใน 2 วัน ชนิดที่พอแข่งเสร็จปุ๊บ ได้นั่งพักแป๊บเดียวก็ต้องออกไปแข่งต่อแล้ว ซึ่งถามว่าดีต่อสุขภาพไหม ก็ไม่ค่อย แต่นาน ๆ ทำทีก็สนุกดี”

 

“นอกจากนี้ กี้ยังได้ไป HYROX World Championship 2025 ที่ชิคาโก สหรัฐอเมริกา เพราะผ่านการ Qualify จากการแข่งขันระดับ Regional ที่สิงคโปร์เมื่อปีที่แล้ว แต่โชคร้ายที่กี้เป็นไข้หวัดใหญ่ในวันที่ต้องลงแข่ง ซึ่งเราฝืนลงแข่งเพราะเสียดายที่ชีวิตนี้อาจจะไม่ผ่าน Qualify อีกแล้วก็ได้ ก็เลยทำเท่าที่ทำได้ เราอาจจะไม่ชนะที่หนึ่ง แต่ทำให้ดีที่สุดก็พอ”

 

“หลังจากนั้นก็มีแข่ง HYROX ที่สิงคโปร์ เป็นการแข่งขันประเภททีมซึ่งเป็นตัวแทนของแต่ละประเทศในเอเชีย โดยไทยเราได้รางวัลที่สามมาครอง ถือเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่เหมือนกัน เพราะเราไม่เคยแข่งกับคนเก่งของแต่ละประเทศที่ผ่านการคัดเลือกมาแล้ว เลยเป็นคู่ต่อสู้ที่ยาก”

 

“กี้ผ่านการแข่ง HYROX มาแล้วทุกแบบ ไม่ว่าจะเป็นประเภทเดี่ยว ประเภทคู่แบบชาย-หญิง คู่แบบหญิง-หญิง ประเภททีมหญิงล้วน และทีมผสม ซึ่งแตกต่างกันทุกรูปแบบ การแข่งขันแบบเดี่ยวต้องพึ่งพาตัวเองเท่านั้น ดังนั้นเวลาแข่งจึงต้องมีกลยุทธ์ วางแผนไปล่วงหน้าว่าเราจะวิ่งด้วยความเร็วเท่าไร แต่ละสเตชั่นจะแบ่งยังไง ส่วนการแข่งประเภทคู่ไม่ต้องคิดอะไรมาก ถ้าเราไม่ไหว คู่ของเราสามารถแบกเราได้ หรือเราเองก็สามารถแบกเขาได้ แต่ก็มีความยากในแง่การสื่อสาร เราจะ Transition กันยังไง ฉันออกแล้วเธอเข้าตอนไหน เราจะวางแผนยังไงให้คู่ของเราไปได้เร็วที่สุด” 

 

“ส่วนการแข่งประเภททีม บางทีต่อให้เราทำความเร็วได้เร็วที่สุดในชีวิตแล้ว แต่ถ้าเพื่อนเราดันไม่เร็ว เราจะต้องแก้ปัญหาร่วมกันยังไง ฉะนั้นกี้ว่าในแต่ละรูปแบบการแข่งขัน เราจะทำให้มันยากหรือง่ายก็ได้ อยากให้ง่ายก็เดิน ไม่ต้องวิ่ง จะได้ไม่เหนื่อย เพราะเป็นการแข่งขันที่ไม่มี Cut Off จะอยู่ในสนาม 5 ชั่วโมงก็ไม่มีใครว่า ดังนั้น เสน่ห์ของ HYROX จึงอยู่ที่การวางกลยุทธ์ของเรา”

 

“ตอนไปแข่ง HYROX กี้ได้เจอคนที่ติดตามเราทางโซเชียลมีเดียเยอะมาก หลายคนบอกว่าเห็นกี้ออกกำลังกายเลยลุกไปออกบ้าง ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่คุ้มค่าที่สุดของการมาทำงานตรงนี้ เนื่องจากเราชอบเห็นคนออกกำลังกาย เวลามีคนมาบอกว่าเขาออกกำลังกายเพราะเรา ฟินสุดแล้ว (ยิ้ม)”

 

ได้รับฟีดแบ็คอะไรอีกบ้างจากคนที่ติดตามคอนเทนต์
“ด้วยความที่กี้เริ่มต้นจากการเป็นคนป่วยที่กินอาหารไม่ปกติ ออกกำลังกายหนักแต่ไม่มีคุณภาพ เพราะสิ่งเดียวที่เราโฟกัสในช่วงเริ่มต้นคือการเบิร์นแคลอรีที่กินเข้าไป จนตอนนี้ผ่านมาเกือบสิบปีแล้ว เรายังคงออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และมีพัฒนาการต่อไปเรื่อย ๆ ทำให้หลายคนที่ติดตามกี้มาตลอดจึงรู้สึกอยากแข็งแรงได้แบบนี้ หรืออยากวิ่งเร็วได้แบบนี้บ้าง ซึ่งสิ่งที่กี้ย้ำเสมอ คือ กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ต้องใช้ความอดทนในปริมาณที่เยอะมาก และต้องอยู่กับมันให้ได้หลาย ๆ ปี ไม่ได้เกิดขึ้นใน 3-4 เดือน แต่ใช้เวลาเกือบสิบปี”

 

ทำไมถึงชอบเห็นคนออกกำลังกาย
“กี้ชอบเห็นคนที่ทำอะไรดี ๆ ให้กับตัวเอง เวลาเห็นเขาแข็งแรงขึ้นหรือสุขภาพดีขึ้น มันเป็นอะไรที่เงินซื้อไม่ได้ กี้เคยบอกกับคนรอบตัวว่างานเทรนเนอร์เป็นงานเดียวที่กี้รู้สึกว่าต่อให้ไม่ได้เงิน ก็อยากทำตลอดไป”

 

ตอนนี้สัดส่วนการเป็นเทรนเนอร์กับคอนเทนต์ครีเอเตอร์เทไปฝั่งไหนมากกว่ากัน
“ช่วงนี้เทไปทางคอนเทนต์ครีเอเตอร์มากกว่า เพราะเป็นช่วงที่โอกาสกำลังมา เราก็ต้องคว้าไว้ก่อน แต่ถ้าถามว่าชอบอะไรมากกว่า กี้ก็ยังชอบเป็นเทรนเนอร์มากกว่า”

 

ในฐานะคอนเทนต์ครีเอเตอร์ ต้องการบอกอะไรกับคนดู
“ต้องย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นในการหันมาดูแลตัวเอง เนื่องจากกี้เคยเผชิญกับความผิดปกติทางการกินและการออกกำลังกายที่หนักเกินไป ซึ่งเกิดจากความคลั่งผอมตอนเป็นวัยรุ่น เรามัวแต่คิดว่าถ้าออกกำลังกายเยอะ ยังไงก็ต้องผอม แต่การออกกำลังกายเยอะเกินไปกลับทำให้เราหิวและโหย จนตบะแตกกลับไปกินเยอะ พอรู้สึกผิดก็วนกลับมาที่เดิม ถ้าไม่อยากกินเยอะ มื้อต่อไปก็ต้องอด พร้อม ๆ กับการออกกำลังกายอย่างหนักจะได้เบิร์นพลังงานออกไป ทำให้พฤติกรรมการกินและการออกกำลังกายในตอนนั้นพังมาก” 

 

“พอทำแบบนี้ต่อเนื่อง 4-5 ปีก็เริ่มเหนื่อย จนวันนึงรู้สึกว่าต้องหยุดวงจรนี้ ในเมื่อที่ผ่านมามันก็พิสูจน์แล้วว่าการทำแบบนี้ไม่ได้ทำให้เราสุขภาพดีหรือหุ่นดี ถ้าอย่างนั้นเราลองไม่ต้องรีบร้อนที่จะต้องผอมในเดือนหน้าหรือสัปดาห์หน้า แต่หันมาใจเย็น ๆ และเดินทางสายกลาง จึงเป็นจุดเริ่มต้นในการบังคับตัวเองว่าวันนี้จะไม่ออกกำลังกาย 3 ชั่วโมงอีกแล้ว เอาแค่ชั่วโมงเดียวพอ พอเป็นแบบนี้เราก็ไม่รู้สึกโหยอาหาร เราไม่ต้องกินคลีนเหมือนที่เคยคิดว่าทำแบบนี้แล้วจะดีเสมอไป กี้เลยหันมาเลือกรับประทานด้วยการลดทอด ลดหวาน ลดมัน ลดเค็ม พอทำแบบนี้ไปประมาณ 3 เดือน สิ่งที่เราอยากได้มาตลอด คือ การอยากให้น้ำหนักลง มันเกิดขึ้นเองอัตโนมัติ ทำให้เราเข้าใจว่าจริง ๆ แล้วทางสายกลางที่เขาพูดกันมันเวิร์ก คนส่วนมากใจร้อน รอไม่ได้ รวมถึงเราเองในตอนนั้นด้วย”

 

“ดังนั้น ในฐานะคอนเทนต์ครีเอเตอร์ กี้จึงเน้นไปที่เรื่องทางสายกลาง อยากให้ทุกคนทำอะไรที่สอดคล้องกับเป้าหมายของตัวเอง โดยที่ไม่ต้องสนใจเสียงรอบข้าง ไม่ต้องคุมอาหารสุดหรือออกกำลังกายหนักสุดโต่ง แต่ก็มีคนพูดกลับมาว่า “ตัวกี้เองก็ดูสุดโต่งอยู่นะ” กี้เลยเพิ่มข้อที่สองเข้ามา คือ ไม่ว่าจะทำอะไร ต้องสอดคล้องกับเป้าหมายของตัวบุคคล อย่างเป้าหมายของกี้ตอนนี้ก็ย่อมต่างจากเมื่อสิบปีที่แล้วที่อยากลดความอ้วน หรือต่างจากเมื่อห้าปีที่แล้วที่ออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ เพราะปัจจุบันเป้าหมายของกี้คือการลงแข่งขันในรายการต่าง ๆ ดังนั้นปริมาณการออกกำลังกายจึงจำเป็นต้องเพิ่มขึ้น เพื่อให้ตอบโจทย์กับเป้าหมายที่เปลี่ยนไป” 

 

“สำหรับคนที่มีเป้าหมายอย่างการมีสุขภาพดีขึ้นก็ต้องหาทางที่เป็นสายกลางของตัวเองให้เจอ เช่น สมมติว่าชีวิตยุ่งมาก ไม่มีเวลาเลย คุณสามารถปันเวลาแค่วันเสาร์วันเดียวออกไปเดินหรือวิ่งจ๊อกกิ้งในสวนได้ไหม หรือถ้าคุณเป็นคนที่มีเวลาว่างเยอะ อาจจะลองเวทเทรนนิ่งสัก 3 วัน คาร์ดิโออีก 2 วันได้ไหม ถ้าคุณเป็นคนที่กินบุฟเฟต์ทุกวันหลังเลิกงาน หรือปาร์ตี้บ่อย ดื่มเหล้าเบียร์เยอะ ลองลดเหลือครึ่งนึงได้ไหม”

 

“เนื้อหาใน Channel ของกี้จึงเน้นไปที่ 2 อย่าง คือ การหาบาลานซ์ของตัวเองให้เจอ และวิถีบาลานซ์นั้นจะต้องตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และเป้าหมายของตัวเอง โดยกี้จะไม่พูดอะไรที่เป็นขาวหรือดำในช่องของตัวเองเลย จะไม่มีการมาบอกว่าทำแบบนี้เลย เวิร์คแน่ แต่จะให้ข้อมูลที่เป็นกลาง แล้วเขาต้องไปคิดต่อและประยุกต์ใช้เอง”

 

“ความยากของการทำคอนเทนต์ฟิตเนสคือ มันจะมีความเป็นลัทธิเข้ามา เช่น คนที่กินคลีนหรือกินคีโตก็จะมองโลกของโภชนาการแบบนึง คนที่ออกกำลังกายเพื่อไปแข่งก็จะมองโลกของโภชนาการเป็นอีกแบบนึง เพราะฉะนั้นคอนเทนต์ที่เราทำเลยอาจจะไม่เข้าหูคนจำนวนหนึ่ง เราจึงต้องมีจุดยืนที่แข็งแรงว่าเรากำลังคุยกับใคร เพราะเราไม่สามารถคุยกับทุกคนได้”

 

ในฐานะเทรนเนอร์ ให้คำแนะนำอะไรเป็นพิเศษกับคนที่มาเทรนกับคุณบ้าง
“ด้วยความที่ประเทศไทยไม่ได้มีกฎหมายควบคุมว่าเทรนเนอร์ทำอะไรได้บ้าง หรือนักโภชนาการทำอะไรได้บ้าง คนเลยมองว่านอกจากเทรนเนอร์จะวางแผนออกกำลังกายให้แล้ว จะต้องทำโภชนาการให้ด้วย และถ้าฉันบาดเจ็บ เธอก็จะรักษา ซึ่งจริง ๆ แล้วทั้งสามอย่างนี้ไม่ควรจบที่คน ๆ เดียว เพราะหน้าที่ของเทรนเนอร์คือการสอนออกกำลังกายและการทำโปรแกรมออกกำลังกายที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล แต่ถ้าคุณมีอาการบาดเจ็บ คุณควรไปหาหมอหรือนักกายภาพ หรือถ้าคุณอยากรู้ว่าควรกินกี่แคลอรี ควรได้รับพลังงานเท่าไร ก็ต้องไปหานักกำหนดอาหาร เพราะเทรนเนอร์ให้ข้อมูลด้านโภชนาการได้คร่าว ๆ เท่านั้น”

 

“ดังนั้น คำแนะนำที่กี้ให้เป็นหลัก ก็คือ โปรแกรมการออกกำลังกายตามเป้าหมายของแต่ละบุคคล เช่น คนนี้ควรจะยกเวทกี่ครั้งต่อสัปดาห์ หรือคาร์ดิโอกี่ครั้งต่อสัปดาห์ ถึงจะไปยังเป้าหมายที่ต้องการได้ หรือถ้าเป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการกินสำหรับคนที่มีเป้าหมายอยากลดน้ำหนัก ยังไม่ต้องถึงกับนับแคลอรีตอนกิน แต่ควรลดปริมาณการกินของทอด ของหวาน ของมัน และของเค็ม แล้วหันมากินโปรตีนให้มากขึ้น ส่วนมากจะเห็นผลโดยอัตโนมัติโดยที่แทบจะไม่ต้องออกกำลังกายด้วยซ้ำ ส่วนถ้าอยากจะสร้างกล้ามเนื้อหรืออยากจะแข็งแรงขึ้นก็ต้องออกกำลังกายร่วมด้วย”

 

“หลายคนมักมีคำถามต่อว่า การลดของทอด ของหวาน ของมัน ของเค็ม ต้องลดแค่ไหน ก็ต้องถามกลับว่าแล้วคุณแฮปปี้กับแค่ไหน บางคนกินหวานร้อยมาทั้งชีวิต วันนี้จะมาบอกให้เขาลดลงเหลือหวาน 25 คงไม่ได้ งั้นลดลงเหลือ 50 ก่อนไหม ดังนั้นก็ต้องแล้วแต่กรณีและใช้วิจารณญาณเฉพาะบุคคล”

 

มีเทคนิคในการผลักดันให้คนรอบตัวให้หันมาออกกำลังกายอย่างไรบ้าง
“เรื่องนี้ยาก เพราะไม่มีใครสั่งให้เราทำอะไรได้ ถ้าร่างกายเราไม่อยากทำ เอาแค่คนใกล้ตัวที่สุดอย่างพ่อแม่ตัวเอง เข็นยังไงก็ไม่ไป ฉะนั้นเรื่องพวกนี้สุดท้ายก็อยู่ที่ตัวเขาเองว่าเมื่อไรเขาถึงจะเห็นความสำคัญเรื่องสุขภาพ ในฐานะเทรนเนอร์ สิ่งที่กี้สามารถทำได้ คือ การให้โปรแกรมออกกำลังกายที่ง่ายที่สุดแก่เขา แต่สุดท้ายแล้วเขาจะรับไปปฏิบัติแค่ไหน สามารถเอาไปทำจนเป็นไลฟ์สไตล์ของตัวเองได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับตัวบุคคล เทคนิคส่วนตัวเวลากี้จะ Encourage คนก็คือ ทำให้มันง่าย ไม่พูดศัพท์ยาก ๆ เอาแค่เดินให้ครบหมื่นก้าวก่อน แค่นี้เลย ให้เขาเริ่มก้าวขาข้างนึงเข้ามาในวงการก่อน ชอบหรือไม่ชอบเดี๋ยวเราค่อยไปตะล่อมอีกทีนึง ตอนเริ่มต้นพยายามทำให้ทุกอย่างง่ายที่สุดก่อน”

 

ในแง่การออกกำลังกายส่วนตัว ทุกวันนี้ออกกำลังกายด้วยวิธีไหนบ้าง
“การออกกำลังกายของกี้จะปรับตามเป้าหมายในแต่ละช่วง อย่างช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา กี้ต้องลงแข่ง HYROX 5 รายการ ดังนั้น จึงเน้นหนักไปกับการซ้อมวิ่ง เพราะการแข่ง HYROX เน้นวิ่งเป็นส่วนใหญ่ แต่ช่วงที่ยังไม่ใกล้ถึงวันแข่งก็จะเล่นเวทเพื่อสร้างความแข็งแรงไว้ก่อน พอใกล้แข่งถึงค่อยเน้นไปที่คาร์ดิโอเยอะ วิ่งเยอะ ส่วนตอนนี้แข่งครบหมดแล้ว และไม่ได้ลงแข่งรายการไหนเป็นพิเศษไปจนถึงสิ้นปี มีแค่วิ่งฮาล์ฟมาราธอน ช่วงนี้เลยเน้นเล่นเวทกับวิ่งสบาย ๆ”

 

ทำไมถึงให้ความสำคัญกับเวทเทรนนิ่งเป็นพิเศษ
“มันสนุกค่ะ (ยิ้ม) คนที่ยังไม่เข้าวงการนี้หรือยังไม่อิน อาจจะรู้สึกว่ายากและต้องใช้เทคนิคเยอะ แต่ข้อดีของเวทเทรนนิ่งนอกจากประโยชน์ทางกายภาพที่ทำให้ร่างกายแข็งแรงมากขึ้น มีกล้ามเนื้อ แลดูรูปร่างดีขึ้น และลดความเสี่ยงในการเกิดกระดูกพรุนแล้ว ยังมีความสนุกคือ การได้ชาเลนจ์ตัวเองในทุก ๆ ครั้ง เช่น ครั้งที่แล้วยกน้ำหนัก 60 กิโลกรัมได้ 5 ครั้ง ครั้งนี้ลองเพิ่มเป็น 61 หรือ 62 กิโลกรัมดูซิว่าจะทำได้ไหม เราได้เห็นพัฒนาการของตัวเองในเชิง Performance ที่เป็นรูปธรรม เป็นตัวเลขชัดเจน ไม่ใช่แค่ผอมลง ซึ่งกี้คิดว่าเป็นเสน่ห์ของเวทเทรนนิ่ง”

 

“สำหรับกี้ เวทเทรนนิ่งสำคัญมากถึงขั้นที่เรียกว่า Non-Negotiable ไม่มีคำว่าอยากทำหรือไม่อยากทำ แต่ ‘ต้องทำ’ เท่านั้น เพราะว่าเราไม่อยากรอให้ตัวเองป่วยก่อน ถ้ากระดูกพรุนแล้วจะมายกเวท มันไม่ทันแล้ว ฉะนั้นนี่เป็นสิ่งที่เราสร้างได้ตั้งแต่ตอนยังเป็นวัยรุ่น”

 

คุณมีเทคนิควางแผนการดูแลสุขภาพก่อนถึงวัยเกษียณอย่างไรบ้าง
“การวางแผนสุขภาพก่อนเกษียณคือ การเริ่มสร้างตั้งแต่วันนี้ อันดับแรกคือ ต้องกินอาหารที่มีพลังงานที่เหมาะสมกับระดับกิจกรรมในแต่ละช่วงอายุ ส่วนการออกกำลังกายจะแบ่งเป็นสองอย่าง คือ การเล่นเวทเทรนนิ่งเพื่อสร้างกล้ามเนื้อ เสริมสร้างความแข็งแรงให้ข้อต่อและกระดูก กับการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอเพื่อให้ปอดกับหัวใจแข็งแรง กี้มองว่าหลัก ๆ มีแค่สามอย่างนี้ที่ไม่ว่าเราจะอยู่ในช่วงอายุไหนก็ควรทำแบบนี้อย่างต่อเนื่อง แค่แตกต่างในรายละเอียดเล็กน้อย เช่น ช่วงวัยรุ่นสามารถเล่นเวทได้ทุกส่วน ถ้าเป็นผู้ชายที่อยากจะมี Upper Body ใหญ่ ก็เล่นเยอะได้ ผู้หญิงอยากให้ Lower Body แลดูเป็นทรวดเป็นทรงก็เล่นก้นเพิ่มก็ได้เหมือนกัน ส่วนคาร์ดิโอไม่ได้มีข้อจำกัดอะไรมากมาย แล้วแต่เป้าหมาย เช่น อยากไปวิ่งแข่งก็ต้องซ้อมวิ่งเยอะหน่อย หรือถ้าอยากดูแลสุขภาพทั่วไป แค่เดินชันสบาย ๆ ก็พอ”

 

“การมีสุขภาพดีเป็นรากฐานของการได้เริ่มใช้ชีวิต อะไรที่ทำแล้วสามารถป้องกันสุขภาพเราไม่ให้เสื่อมโทรมลงได้ ควรทำตั้งแต่วันนี้ เพราะในวันที่เราเจ็บป่วยหรือแก่ตัวลง การจะเอากลับมามันยาก บางกรณีอาจจะทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ดังนั้น เราควรวางแผนสุขภาพตั้งแต่เนิ่น ๆ ไม่ใช่รอให้เจ็บป่วยแล้วค่อยแก้ แข็งแรงไว้ก่อนดีที่สุด จะได้ใช้ชีวิตแบบแฮปปี้มากขึ้น”

 

ติดตามเคล็ดลับในการกินและออกกำลังกายให้สุขภาพแข็งแรงตามแบบฉบับของโค้ชกี้ ชนากานต์ ได้ทาง Facebook : Kiekiekieee , Instagram : kiekiekieee และ TikTok : kiekiekieee เทรนเนอร์นักกิน

SHARE

facebook
twitter
copy
Related articles / บทความที่เกี่ยวข้อง
Loading...