

เพราะมีกัน จึงมีเรา เปิดความสัมพันธ์ ‘มะเดี่ยว- ไบรอัน’ เพื่อนสนิทที่เป็นเหมือนครอบครัว
Better Life / People
25 Aug 2025 - 7 mins read
Better Life / People
SHARE
25 Aug 2025 - 7 mins read
บางครั้ง ‘เพื่อนแท้’ ก็ปรากฏตัวท่ามกลางคลื่นลมและพายุ
เบื้องหลังสปอตไลท์ที่ส่องไปยัง ‘มะเดี่ยว’ และ ‘ไบรอัน ตัน’ สองคู่หูอินฟลูเอนเซอร์ที่ครองหน้าฟีดอยู่ในขณะนี้ ใครจะรู้ว่ากว่าจะมาถึงวันนี้ พวกเขาจับมือกันผ่านมรสุมชีวิตมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง
มะเดี่ยว - อภิเชษฐ์ เอติรัตนะ เคยโด่งดังจากการเป็น ‘ดีไซน์เนอร์บ้านนา’ เด็กวัย 16 ปีผู้หยิบสุ่มไก่และใบตองมาแต่งองค์ทรงเครื่องจนกลายเป็นไวรัลระดับโลก แต่แล้ววันหนึ่งชีวิตก็พลิกผัน ต้องกลับไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่บ้านเกิดอีกครั้ง
ด้าน ไบรอัน ตัน (หรือพี่อั้น ชื่อเล่นที่มะเดี่ยวเรียกด้วยความสนิทสนม) อินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง ผู้จัดเวทีประกวด Miss Fabulous Thailand ก็เคยผ่านจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในชีวิต เมื่อต้องจบความสัมพันธ์ที่ยาวนานถึง 15 ปี ทำให้เขาได้สัมผัสกับความไม่มั่นคงในใจเป็นครั้งแรก
แม้โชคชะตาจะเล่นตลก แต่ก็ไม่ตลอด เพราะยังใจดี เหวี่ยงให้คนทั้งสองได้มาเจอกัน
ทั้งสองอายุห่างกันถึง 10 ปี คนหนึ่งเดินช้า อีกคนเดินเร็ว คนหนึ่งคิดมาก อีกคนตรงไปตรงมา แม้จะเกิดและเติบโตมาในครอบครัวที่ต่างกัน แต่ทั้งคู่กลับเป็น ‘พี่-น้อง’ ที่ซัพพอร์ตกัน จับมือจากวันที่ไม่มีอะไร สู่วันที่ประสบความสำเร็จ
หลายสิ่งเปลี่ยนไป แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนคือ คนที่ยังเดินข้างกันเสมอ LIVE TO LIFE ชวนมะเดี่ยวและไบรอัน ย้อนเวลากลับไปยังวันแรกที่พวกเขาได้พบกัน และเล่าเรื่องราวประทับใจของ ‘มิตรภาพ’ ที่หลายคนอาจยังไม่รู้
มะเดี่ยวและไบรอันโคจรมาเจอกันได้อย่างไร
มะเดี่ยว : “มะเดี่ยวรู้จักพี่ไบรอันมานานแล้วจากคลิปรีแคปนางงาม ช่วงมะเดี่ยวเรียนอยู่กรุงเทพฯ ก็ดูพี่ไบรอันบ่อย และได้มาเจอพี่ไบรอันตอนที่เพื่อนมะเดี่ยวประกวด Miss Fabulous Thailand ซีซัน 1 พอถึงซีซัน 2 มะเดี่ยวก็เลยมาสมัครประกวดที่เชียงใหม่ เลยได้เจอกันแบบตัวเป็น ๆ”
“ตอนเจอก็ไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่เพราะคนละสไตล์กัน พี่อั้นทำงานเยอะมาก ได้มาคุยกันมากขึ้นก็คือตอนพี่ไบรอันทำรายการพูดคุยใน YouTube แล้วชวนมะเดี่ยวไปเป็นเกสต์ เลยสรวล ป่วนจิตกัน ไปเที่ยวด้วยกัน พอรู้จักกันมากขึ้น ตอนสงกรานต์ มะเดี่ยวเลยไปเที่ยวเชียงใหม่ ขนกระเป๋าไปนอนบ้านชี จากนั้นไม่ได้กลับอีกเลย พี่ไบรอันก็ไม่ได้กลับ เราอยู่ที่นั่นด้วยกัน ทำรายการด้วยกันต่อ”
ไบรอัน : “ก่อนกลับไปอยู่เชียงใหม่ เราเคยหนีจากเชียงใหม่มาอยู่กรุงเทพฯ ประมาณ 1 ปี เรา Explore ชีวิตดูว่าจะมีอะไรที่ทำได้อย่างอิสระบ้าง แต่พอกลับเชียงใหม่ มะเดี่ยวก็เห็นว่ามันเป็นบ้าน เป็นสถานที่ของเรา ตอนนั้นธุรกิจแบรนด์เนมก็ยังไปได้สวยอยู่ มะเดี่ยวเลยเป็นคนชวนว่าเรามาอยู่เชียงใหม่กันมั้ยพี่อั้น ลองตั้งต้นที่เชียงใหม่กันก่อน เลยเริ่มจากไลฟ์ขายกระเป๋าแบรนด์เนมด้วยกัน”
มะเดี่ยว : “ตอนแรกมีกันสองคน พอเริ่มขายของได้ก็เริ่มฟอร์มทีม ตอนนั้น เจสซี่ ที่เป็นผู้จัดการมะเดี่ยวยังล่องลอย ค้นหาตัวเองอยู่ พี่ไบรอันเลยชวนมาเชียงใหม่สิ เจสซี่มาแล้วก็ไม่ได้กลับ เราหลอกทุกคนมาเที่ยวเชียงใหม่แต่ไม่ให้กลับสักคน เริ่มฟอร์มทีมทำรายการตั้งแต่ตอนนั้น”
ก่อนจะรู้จักกัน มุมมองที่แต่ละคนมีต่ออีกฝ่ายเป็นอย่างไร
ไบรอัน : “เรารู้จักโพรไฟล์น้องมาก่อนเพราะน้องเคยดังจากการทำแฟชัน เป็นสไตลิสต์ แต่ก่อนจะรู้จักกันจริง ๆ คิดว่ามะเดี่ยวเป็นเด็กเฟียส ๆ เพราะมะเดี่ยวโดนด่าตอนมาประกวดรายการเราที่ภาคอีสาน เราก็เห็นด้วยกับคนด่านิดนึงเรื่องชุดราตรี (หัวเราะ)”
มะเดี่ยว : “คือเราเป็นคนขี้เกียจ เราขี้เกียจหาชุดราตรีก็เลยใส่กางเกงเหมือนชุดไปเที่ยวไปประกวดแล้วชนะเฉยเลย คนก็เลยด่าเรา โดนกระแสดราม่า”
ไบรอัน : “พอมาประกวดในเวทีใหญ่ เราถึงได้เห็นว่าน้องเป็นนักสู้ เวลาประกวดน้องจริงจังมาก”
มะเดี่ยว : “จริงจังสิ เพราะเราเป็นคนชอบแข่งขัน เวลาเราเข้าสู่โหมดแข่งขัน เราจะแพ้ไม่ได้ เวลาเห็นคนไปแข่งแล้วทำไม่เต็มที่ อยากกลับบ้าน เราจะหงุดหงิด ถ้ามาลงสนามแล้วก็ต้องสุด ๆ”
ไบรอัน : “เราก็เลยมองมะเดี่ยวเปลี่ยนไป รู้สึกว่าเด็กคนนี้น่าเอ็นดูยิ่งขึ้น”
คิดว่าอะไรที่ทำให้ทั้งสองคนสนิทกัน
มะเดี่ยว : “มะเดี่ยวคิดว่าเป็นไลฟ์สไตล์ ความคิดเราไม่เหมือนกัน แต่ไลฟ์สไตล์เราเหมือนกัน เป็นคนชอบสร้างสรรค์ ชอบทำอะไรใหม่ ๆ ที่คนไม่ทำกัน เช่น รายการ The Billionaire ใครจะมาทำล่ะ ไม่มี เป็นรายการใหม่ที่ยังไม่มีใครเคยทำ เราชอบทำอะไรที่มันสร้างสรรค์แบบนี้”
ไบรอัน : “อะไรที่แตกต่าง เราจะรู้สึกว่ามันดี มันเก๋ มันเลิศ รสนิยมไปทางเดียวกัน”
มะเดี่ยว : “แต่บางทีเราเห็นกันแล้วเราตลกกันนะ แต่เริศ แบบนี้แหละเริศ ความเก๋ไง”
ไบรอัน : “เราคุยภาษาเดียวกันรู้เรื่อง”
หลังจากเพื่อน ๆ ไปอยู่บ้านของไบรอัน ชีวิตเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง
ไบรอัน : “จริง ๆ การไปอยู่ที่บ้านเนี่ยป่วนจิตเลย ยากมากที่เราจะอยู่ร่วมกันจำนวน 6-7 คนในบ้าน”
มะเดี่ยว : “เธอ บางคนนอนในห้องเก็บของ (หัวเราะ)”
มะเดี่ยวปรับตัวอย่างไรบ้าง
มะเดี่ยว : “ด้วยความที่ไม่เคยมาอยู่รวมกันเยอะ ๆ โอโห ตื่นเช้ามาวุ่นวาย จะทำนั่น จะทำนี่ ไอเดียมันแตกฉานไปหมด ทุกคนจะมีความแปลก พวกเราดึงดูดคนแปลกนะเธอ เธอลองมาดูเพื่อนฉันสิ มีแต่คนแปลก แต่เราก็อยู่กันได้”
ไบรอัน : “ไหนจะแม่เรา ไหนจะหมาเรา มันมีเรื่องของคนรอบข้างและการปรับตัวในการใช้ชีวิตเยอะ แต่โชคดีที่เราเป็นผู้นำครอบครัว การตัดสินใจทุกอย่างอยู่ที่เรา จะเอาน้องเข้ามาอยู่เต็มบ้าน แม่ก็ไม่ได้พูดอะไร แต่ก็จะมีเรื่องจุกจิกบ้าง มีทะเลาะกันบ้าง เป็นปกติของการอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัว มะเดี่ยวทะเลาะกับคุณนายอรทัย (คุณแม่ของไบรอัน) นะนี่ ชอบไฟต์กัน”
มะเดี่ยว : “ทะเลาะกันบ่อยเวอร์ แต่เป็นเรื่องจุกจิกนะ บางทีเราก็ไม่รู้อารมณ์เขา เพราะเขาดูละครเยอะ แล้วอิน (หัวเราะ) ชีชอบเรียกฉันไปดูละครบนห้องนะ พอลงมาข้างล่างชีก็ชอบถอนหายใจ เราถามว่า ‘แม่เป็นอะไรอะ’ ชีบอกว่าอินละคร”
แต่ละคนเติบโตมาในครอบครัวแบบไหน
มะเดี่ยว : “ครอบครัวของมะเดี่ยวอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ มีพ่อ แม่ น้อง ปู่ ย่า น้า อา ทุกคนอยู่ในละแวกบ้านเดียวกัน เป็นบ้านที่สนุก เปิดเพลงเต้นกัน ปาร์ตี้จอย ๆ ตลอด ครอบครัวซัพพอร์ตมะเดี่ยวมาตั้งแต่เด็ก อยากเป็นอะไรก็เป็น อยากทำอะไรก็ทำ ไม่เคยมีใครมาถามมะเดี่ยวว่า ‘เป็นกะเทยเหรอ’ เขาแฮปปี้ด้วยซ้ำที่เราเป็นแบบนี้”
ไบรอัน : “เราเติบโตมากับความคาดหวังที่ค่อนข้างสูง เพราะเป็นลูกชายคนเดียวของพ่อและแม่ที่เคยมีครอบครัวมาก่อน คุณพ่อเคยมีลูกชายแล้วเสียไป เขาเลยหวังว่าเราจะเป็นลูกชายตัวตายตัวแทนคนใหม่ได้ เราเลยตั้งใจเรียนและเป็นเด็กกิจกรรม พยายามทำตัวให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ แต่โชคดีที่เราเจอสิ่งที่ชอบตั้งแต่อายุ 18-19 และเริ่มทำเร็ว ก็เลยได้พิสูจน์ตัวเองว่าเด็กอายุเท่านั้นสามารถซัพพอร์ตพ่อแม่ได้ เราเลยกลายเป็นผู้นำครอบครัว”
“เราเป็นลูกคนเดียว ไม่มีพี่น้อง แต่เรามีเพื่อนมาตลอดตั้งแต่สมัยเรียน ยิ่งได้มีมะเดี่ยว มีน้อง ๆ เข้ามาอยู่ด้วยเราก็ฟูลฟิลนะ เรารู้สึกว่ามันเป็นมากกว่าทีม เราคือครอบครัว การเป็นพี่ เป็นน้องกันไม่จำเป็นต้องมาจากสายเลือดเดียวกัน เราเป็นคอมมูนิตีที่ช่วยเหลือกัน ยิ่งพออยู่ในบ้านเดียวกันก็ยิ่งมีความอบอุ่นเกิดขึ้น”
มะเดี่ยว : “ใช่ มันเริศ มันมีหลายคน หลายบุคลิก พอตื่นขึ้นมา เราเจอกันพร้อมหน้า แล้วเราก็มาสรวลป่วนจิตกัน กว่าจะนอนก็ต้องปาร์ตี้กันก่อน มองย้อนกลับไปก็สนุกเลยละ แต่ตอนนี้บางคนก็ต้องไปเติบโตในเส้นทางของตัวเอง มันก็ต้องมีวันจากกัน”
ทั้งสองคนดูโตมาคนละแบบ มีมุมที่แตกต่างกันไหม
มะเดี่ยว : “ดูการพูดสิ ดูการเดินย่างก้าวสิ ดูการกินข้าวสิ คนละแบบเลย”
พอได้มารู้จักกันจริง ๆ แล้วคิดว่าอีกฝ่ายเป็นคนอย่างไร
มะเดี่ยว : “มองว่าเป็นคนเซนซิทีฟเกินไป จริง ! เป็นคนที่ Emotional นำ มันก็ไม่ผิด แต่เวลาพี่ไบรอันคุยกับแม่ นึกว่าดูละครนะ เหมือนเล่นเป็นบทบาท ฟีลสนุกสนาน ยิ่งถ้าโกรธกับแม่ ชีวิ่งไปอยู่กลางถนนเลยนะเธอ ฉันต้องขี่รถมอเตอร์ไซค์ตามเลยเธอ แล้วเขาเป็นคนค่อนข้างครีเอทีฟ ในหัวมีแต่อะไรใหม่ ๆ เขาจะเป็นคนแตกต่าง เช่น การแต่งตัว ทำผม ใส่ส้นสูงไปทะเล เขาจะเป็นแบบนั้น”
ไบรอันมองมะเดี่ยวอย่างไร
ไบรอัน : “มองว่ามะเดี่ยวเป็นศิลปิน เด็กคนนี้ Born To Be ไม่ใช่ว่าใครก็เป็นได้ง่าย ๆ”
“ที่เรียกมะเดี่ยวว่าเด็กเนี่ย เพราะเราห่างกัน 10 ปี คนละ Gen กันเลย แต่เราคลิกกันได้เพราะพูดภาษาเดียวกัน สื่อสารกันเข้าใจ เราอาจจะแก่บ้าง ช้าบ้าง ไม่ทันเด็ก Gen Z มะเดี่ยวเขาเร็วมากนะ เราเป็นสองขั้วระหว่างคนที่เร็วมากกับช้ามาก”
มะเดี่ยว : “แต่ตอนนี้มีวิธีแก้ไขแล้ว กินข้าวไม่เสร็จเหรอ กินไปเลยนะ เดี๋ยวหนูไปก่อน (หัวเราะ) ไปกินตี๋น้อยน่ะ เธอกินกี่ชั่วโมง เขากิน 2 ชั่วโมงยังไม่อิ่ม เพิ่งกินได้ถาดเดียว”
ไบรอัน : “เราเป็นคนไปเรื่อย ๆ ”
มะเดี่ยว : “ไม่ได้ มันช้าเกิน ! ”
ไบรอัน : “เมื่อก่อนเราช้าแต่ไม่มีใครเร่ง แต่พอมาเจอความเร็วของมะเดี่ยว เราก็ต้องปรับ ถ้าไม่ปรับก็อยู่กับเขาไม่ได้ เราพยายามจูนให้เข้ากัน ถ้ามีปัญหาก็ต้องคุยกันให้ซอฟต์ที่สุด”
เคยมีเรื่องผิดใจกันบ้างไหม
มะเดี่ยว : “โอ๊ย บ่อยมาก ! แต่มันไม่ใช่การทะเลาะกัน ตีกันนะ ความคิดเห็นไม่ตรงกันเฉย ๆ”
ไบรอัน : “ไม่ได้ทะเลาะรุนแรง แค่ไม่เข้าใจกันบ้าง ส่วนตัวเราเป็นคนซอฟต์และจะหาจังหวะคุยกับน้อง ว่าพี่คิดแบบนี้ หนูคิดยังไง บางทีน้องก็จะเริ่มก่อน ถ้าเราไม่แชร์กันแล้วเก็บไว้อย่างเดียวก็อาจอึดอัดได้”
มะเดี่ยวช่วยให้ไบรอันเร็วขึ้น แล้วไบรอันเติมเต็มชีวิตส่วนไหนของมะเดี่ยวบ้าง
มะเดี่ยว : “สิ่งที่พี่ไบรอันเปลี่ยนเราคือการให้ความรู้ เรื่องโปรดักชัน ออนไลน์ เราก็เอามาปรับใช้ในช่องของเรา เราได้เห็นว่าการทำเอนเตอร์เทนเมนต์มีดีเทลอะไรบ้าง แล้วเรารู้เรื่องแบรนด์เนมมากขึ้น แต่ก่อนฉันอยู่ในวงการแฟชันก็จริง แต่ฉันไม่รู้เรื่องแบรนด์เนมเลย ตอนเริ่มไลฟ์ขายกระเป๋า ฉันไม่รู้เรื่องอะไรเลย”
ไบรอัน : “ตอนกลับไปตั้งต้นที่เชียงใหม่ เราช่วยกันคิดวิธีหาเงิน เราต้องทำให้น้องมีทักษะในการหาเงินด้วย ธุรกิจแบรนด์เนมของเรามีนักขายแค่คนเดียว เลยเอาน้องมาเทรนด์ ช่วงแรก ๆ เราก็คอนโทรลน้องจนมีการร้องห่มร้องไห้ ทีมแบกอัปที่เป็นนักลงทุนเขาก็ฟีดแบ็กกลับมา เราต้องฝึก มีโพสต์อิทแปะเต็มไปหมดว่าพูดอะไรได้หรือไม่ได้ เหมือนเป็นโค้ชนักฟุตบอล แต่เราคิดว่าสิ่งนี้เป็นประโยชน์กับน้องมาจนทุกวันนี้ เพราะน้องสามารถรับงานไลฟ์สดได้ ขายของเป็น”
มะเดี่ยว : “ฉันขายวันละ 5 ชั่วโมงนะเธอ ฉันสามารถพูดไปได้เรื่อย ๆ อัตโนมัติ พูดแค่ปาก แต่สมองของฉันหลับไปแล้ว ฉันทำได้นะ มันเป็นสกิลที่อะเมซิ่ง นี่แหละความเริศ”
มะเดี่ยวกับไบรอันเคยผ่านช่วงเวลาที่ลำบากด้วยกันมาแล้ว
มะเดี่ยว : “ช่วงก่อนมากรุงเทพฯ นี่แหละ เป็นช่วงที่ธุรกิจไปต่อไม่ได้”
ไบรอัน : “เราพยายามยื้อธุรกิจนี้มา 5-6 เดือนแต่มันไปต่อไม่ได้แล้วจริง ๆ ด้วยแพลตฟอร์มและเทรนด์มันเปลี่ยนไป แต่เรายังคงมีภาระต่าง ๆ เท่าเดิม”
“จุดพลิกผันครั้งแรกคือเราเลิกกับแฟน เราไม่เคยสัมผัสชีวิตที่ต้องดูแลตัวเอง ความลำบากเลยอยู่ที่เราคนเดียว ไม่มีใคร ซัพพอร์ต เมื่อก่อนเรารู้สึกว่าเรามั่นคงมาก แต่ตอนนั้นเรารู้สึกเคว้งคว้าง น้องก็จะเครียดไปด้วย จากที่เมื่อก่อนอยากจะกินอะไร ได้หมด แต่ตอนหลังบางทีก็ต้องช่วยกันประหยัด อย่างที่เคยเป็นไวรัลในรายการต่าง ๆ เราต้องกินข้าวกับไข่เจียว บางคนอาจคิดว่านี่ลำบากแล้วเหรอ แต่การกินข้าวกับไข่เจียวมื้อนั้นมันมีความตึงเครียดอยู่”
มะเดี่ยว : “มันเป็นไข่ลดราคาที่กำลังจะเน่า”
แล้วตอนนั้นมะเดี่ยวรู้สึกอย่างไร
มะเดี่ยว : “มะเดี่ยวมองเห็นสัจธรรม เพราะมะเดี่ยวอยู่ในวงการ แล้วก็ขึ้น แล้วก็ลง แล้วก็ขึ้นไปทุกครั้ง ตอนนั้นคิดว่าถ้าเราปรับตัวได้ก็จบ มะเดี่ยวเริ่มหารายได้ใหม่ของตัวเองด้วย ก็เลยอยู่ได้ และเราไม่ได้ใช้ฟุ่มเฟือย มะเดี่ยวไม่ใช้จ่ายอะไรเยอะ สามารถดื่มได้โดยไม่กินข้าว เพราะว่าเบียร์คือข้าวเหมือนกัน ถูกมั้ย (หัวเราะ)”
“อาหารแค่นี้ กับข้าวแค่นี้ มะเดี่ยวก็โอเคแล้ว เพราะมะเดี่ยวเกิดมาจากครอบครัวที่ไม่ได้ร่ำรวยมาก่อน นี่คือชีวิตเบสิกของมะเดี่ยวอยู่แล้ว เลยไม่ได้รู้สึกว่าขาดอะไร ในวันที่ลำบาก ฉันไม่ได้รู้สึกว่าลำบาก ในวันนี้ เราเริ่มมีแล้ว ก็คิดแค่ว่าฉันจะไปเที่ยวให้ระเบิดไปเลย เราไม่คิดอะไรซับซ้อน อยู่ได้สบาย ตามสไตล์ตัวเอง”
“ทุกครั้งที่เราขายของ ทำเอนเตอร์เทนเมนท์ ได้รับหน้าที่อะไรมา เราทำเต็มที่ในส่วนของเราแล้ว เราไม่ใช่ผู้บริหาร เราไม่ได้เป็นบัญชีบริษัท เราเป็นแค่นักแสดงและนักขายเท่านั้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น มะเดี่ยวคิดว่าฉันทำเต็มที่แล้ว จบ”
“พี่ไบรอันเคยพูดคำหนึ่งว่า ‘ให้ความเครียดเป็นของพนักงานบ้าง’ แต่ฉันไม่ได้เป็นพนักงานเขา ฉันเลยไม่เครียด”
ทำไมมะเดี่ยวถึงไม่ใช่พนักงานในบริษัทของไบรอัน
มะเดี่ยว : “มะเดี่ยวไม่ได้รับเงินเดือน มะเดี่ยวเป็นแฟมิลี่”
ไบรอัน : “มะเดี่ยวเป็นอินฟลูฯ มาตั้งแต่แรก ๆ มันเป็นการตกลงกันว่ามะเดี่ยวจะไม่รับเงินเดือนแบบลูกจ้างกับนายจ้าง ตอนนี้เราเลยเป็นพี่ เป็นน้องกันมากกว่า”
มะเดี่ยว : “เราก็เลยอยู่กันแบบสนุก ๆ ตอนนี้เราอยู่ด้วยกันก็จริง แต่ทุกคนก็มีชีวิตของตัวเอง เธอไปไม่ทันก็ช่างเธอ ฉันไปนะ เราอยู่เป็นกลุ่ม แต่ต้องดูแลและรับผิดชอบตัวเอง ไม่ใช่ว่าคนหนึ่งจม เราก็จะตายกันหมด มันคือการอยู่ด้วยในแบบที่ทุกคนได้พึ่งพาตัวเอง เป็นการซัพพอร์ตกันในรูปแบบหนึ่ง
เรื่องไหนบ้างที่ทำให้ประทับใจในกันและกัน
มะเดี่ยว : “ประทับใจความเป็นเขา บางครั้งเราสงสัยว่าทำไมเขาคิดแบบนี้ ทำแบบนี้ แต่จริง ๆ มันเริศนะ อย่างเวลาเขาใส่ชุดเดรสเหมือนฤๅษี ใส่รองเท้าส้นสูงไปทะเล เราชอบนะ บางทีเขาช้าเราก็ไม่โกรธนะ แต่เราขำว่าคนอะไรช้าได้ขนาดนี้ มันคือความไม่ชอบที่กลายมาเป็นความประทับใจนั่นแหละ เราประทับใจในสิ่งที่เราไม่ชอบ และเขาทำได้สุด ๆ ไปเลย เริศเลยล่ะ (หัวเราะ)”
ไบรอัน : “เราประทับใจที่น้องเป็นคนกตัญญู ไม่ได้หมายความว่าเรามีบุญคุณกับเขาขนาดนั้น แต่ก่อนหน้านี้เราเป็นฝ่ายให้ พอน้องเป็นฝ่ายให้บ้าง เราเลยประทับใจมาก การเลี้ยงข้าวมื้อแรกของน้องยังประทับใจเราจนทุกวันนี้ เวลาซื้ออะไรมา เขาก็จะบอกว่าพี่อั้นหนูมีอันนี้ให้กินนะ เราค่อนข้างจะอ่อนไหวกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้ หรืออย่างไปเที่ยวญี่ปุ่นทริปล่าสุด ชีซัพพอร์ตเยอะมากเลยนะ ไม่ใช่แค่เราคนเดียว แต่รวมถึงเพื่อนชีด้วย”
มะเดี่ยว : “ตอนฉันอยู่กับเขา เขาก็เลี้ยงฉันมาเป็นปี ทุกวันนี้ก็ยังนึกถึงตลอด เวลาไปนั่น ไปนี่ ก็จะเอาของกินกลับมาฝาก อย่าลืมนะ ชีกินได้หมดทุกอย่าง หัวหมู หัวหมา กินได้หมดนะคะ”
ไบรอัน : “ใช่ เรากินได้หมด”
มีเรื่องไหนบ้างที่รู้สึกเป็นห่วงกันเป็นพิเศษ
ไบรอัน : “ถ้าเป็นช่วงนี้ไม่ค่อยห่วงอะไร น้องโตเป็นผู้ใหญ่เร็วมาก จากที่แต่ก่อนอยู่บ้านเราแบบชิล ๆ”
มะเดี่ยว : “คนชิลที่สุดในโลกคือฉัน บอกเลย”
ไบรอัน : “แต่ตอนนี้เห็นการทำงานแล้วเป็นห่วงเรื่องการพักผ่อนกับอนาคต ส่วนตัวคิดว่าน้องน่าจะกังวลเรื่องของอนาคตนิดหน่อย เมื่อก่อนมันอาจไม่มีอะไรให้คิดมาก แต่ตอนนี้น้องเป็นบอสแล้ว เป็นห่วงเรื่องการทำธุรกิจด้วย”
มะเดี่ยว : “ฉันไม่อยากทำเลย แต่มันต้องทำไง ไม่ชอบก็ทำไปเหอะ ดีกว่าชอบแล้วไม่ได้ทำ ไม่ชอบก็ทำไปก่อน เผื่อเราชอบทีหลัง เห็นเงินแล้วก็ชอบหมด ถูกไหมล่ะ นี่มันนี่ ชอบค่ะ !”
ไบรอัน : “เราเคยทำธุรกิจหลายอย่าง แล้วไม่ได้ประสบความสำเร็จทุกธุรกิจ มีล้มบ้าง ไปต่อไม่ได้บ้าง ขนาดเราที่รู้สึกว่าตัวเองมีกราฟชีวิตที่ดีแล้ว ก็ยังมีเหตุการณ์นางฟ้าตกสวรรค์”
แล้วมะเดี่ยวห่วงไบรอันเรื่องอะไรบ้าง
มะเดี่ยว : “ห่วงร่างกาย เพราะเขาชอบปาร์ตี้ ห่วงสุขภาพจิตด้วย ส่วนตัวรู้สึกว่าสุขภาพจิตสำคัญ บางทีเขาชอบคิดเยอะ คิดมาก คิดไปเอง น่าจะปรับได้ยากเพราะเป็นตัวเขา แต่ถ้าปรับไม่ได้ก็ต้องอยู่กับมันให้เป็น เขาชอบบอกว่าโอเค ไม่มีอะไร ซึ่งไม่ใช่ไง เราอยู่กับเขา เรารู้ว่าต้องมีอะไรแน่นอน บางทีถามเขาว่าพี่เศร้าไหม ตอบไม่เศร้า ทั้ง ๆ ที่ดูก็รู้ว่าเศร้า เศร้าก็บอกว่าเศร้าสิ แค่นั้น ไม่มีอะไรยากเลย ต้องบอกกับตัวเองด้วยว่า ฉันเศร้านะ แล้วจะต้องจัดการตัวเองยังไงต่อ”
แล้วมะเดี่ยวมีวิธีปลอบใจไบรอันอย่างไร
มะเดี่ยว : “ไม่ปลอบ”
ไบรอัน : “มะเดี่ยวดูเหมือนจะด่านะ แต่คำพูดของน้องมีข้อดีอยู่ บางทีเราเจอเรื่องแย่ ๆ ร้องห่มร้องไห้ไปบอกน้อง มะเดี่ยวสามารถพลิกสถานการณ์ให้เป็นอีกแง่มุมได้ เรารู้สึกว่าการใช้ชีวิตของน้องมีความครีเอทีฟมาก สามารถคิดทุกอย่างในมุมต่าง คิดให้แปลกใหม่ ทำให้เราเห็นมุมอื่น ๆ ด้วย เราอาจอยู่กับผู้ใหญ่ด้วยกันมานาน แต่พอเรามาอยู่กับเด็ก เราจะได้อะไรแบบนี้จากเขาเยอะมาก”
มะเดี่ยว : “มันสนุกดีออก เพราะคิดเป็นระบบ คิดตรงเกินไป ไม่มองกลับด้านไง”
มีบ้างไหมที่ไบรอันต้องเป็นฝ่ายปลอบใจ
ไบรอัน : “มะเดี่ยวไม่ค่อยเศร้า เพราะน้องจัดการตัวเองได้ เป็นคนเก็บปัญหาของตัวเองไม่ให้มาถึงเรา เพราะน้องรู้ว่าเราเซนซิทีฟ บางครั้งเราจะรู้ได้เองว่าน้องกำลังมีปัญหา อย่างเรื่องน้องชายยืมเงินตอนที่กำลังขายของไลฟ์สด”
มะเดี่ยว : “ตอนไลฟ์สดทุกคนอยู่ในห้องด้วยกัน มีคนโทรเข้ามาถี่ ๆ ทุกวินาที ทุกคนก็เลยเข้าใจว่าแม่โทรมาแต่เราไม่รับ จริง ๆ คือน้องชาย”
ไบรอัน : “มะเดี่ยวไม่ค่อยเอาปัญหาของตัวเองมากระจายให้คนอื่น”
มะเดี่ยว : “ไม่ใช่ไม่อยากให้เขารู้เรื่องที่เป็นปัญหาของเรานะ แต่รู้ไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร เขาเองก็ช่วยเราไม่ได้ แล้วก็คงไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดีขึ้น”
อยากขอบคุณกันและกันในเรื่องไหนมากที่สุด
มะเดี่ยว : “มากกว่าเงินทองคือได้ชีวิตใหม่ ที่เป็นชีวิตของมะเดี่ยวจริง ๆ ถ้าไม่ได้เจอเขาในวันนั้น ก็คงไม่มีวันที่ได้มานั่งอย่างมั่นอกมั่นใจต่อหน้าคนอื่นอย่างนี้ ช่วงแรก ๆ ที่มาอยู่กรุงเทพฯ มะเดี่ยวยังนั่งหลบอยู่หลังเสาอยู่เลย”
ไบรอัน : “ช่วงแรกที่เจอกัน มะเดี่ยวไม่ชอบเข้าสังคมเลย”
มะเดี่ยว : “ไม่ชอบคุยกับใคร ไม่ชอบคนเยอะ ยังหลบอยู่หลังพี่ไบรอันอยู่เลย แล้วชีวิตหลังจากนั้นก็ผ่านอะไรมาเยอะ กลายเป็นมะเดี่ยวที่กล้าเจรจา กล้าบอกว่าตัวเองคิดยังไงกับคนอื่น ที่เป็นแบบนี้ได้ก็เพราะพี่ไบรอันนี่แหละ มากกว่าเงินทองคือ ขอบคุณที่ให้ชีวิตใหม่กับมะเดี่ยว”
ไบรอัน : “ขอบคุณมะเดี่ยวที่มาสร้างสีสันให้กับชีวิต”
มะเดี่ยว : “ทำอะไรเละ ๆ เทะ ๆ”
ไบรอัน : “มะเดี่ยวทำให้เรามีความครีเอทีฟ ทำให้คิดมุมต่าง อย่างน้อยเรามีน้องสาวคนนี้คอยอยู่ข้าง ๆ คอยให้คำปรึกษา มะเดี่ยวสร้างชีวิตใหม่ให้เรา ทำให้มีไบรอัน ตัน ในเวอร์ชันใหม่เกิดขึ้น”
มะเดี่ยว : “เราไม่รู้อนาคตตัวเองจะเป็นยังไง แต่เราก็ใช้ชีวิตให้ดีที่สุดในแต่ละวัน มะเดี่ยวเคยพูดกับพี่ไบรอันว่า ต่อให้ทุกคนไปจากพี่ไบรอัน แต่มะเดี่ยวไม่ไปไหน ฉันจะอยู่ตรงนี้”