คุยกับ ‘โม - มนชนก’ ในวัย 32 ปี กับการเติบโตที่ทำให้ค้นพบวิธีรักตัวเอง

28 Nov 2023 - 7 mins read

Better Life / People

Share

 

อายุ 32 ปี สำหรับคุณเป็นอย่างไร ? 

 

บางคนมองว่านี่เป็นปีแห่งการเริ่มผจญโลกกว้าง บางคนมองว่าเป็นวัยที่ต้องอุทิศแรงกำลังไปเพื่อความมั่งคั่ง บางคนเริ่มลงหลักปักฐาน บางคนมองว่าเริ่มแก่ บางคนมองว่ายังมีพลังล้นเหลือที่จะทำตามความฝัน 

 

และวัย 32 ปีของ ‘โม’ - มนชนก แสงฉายเพียงเพ็ญ คือวัยที่เธอรู้สึกได้ว่าเธอกำลังใช้ชีวิตอยู่จริง ๆ และเป็นปีที่เธอรู้สึกว่าได้หายใจอย่างเต็มปอดกว่าที่ผ่านมา

 

โมเป็นนักแสดงที่โลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิงมานานกว่า 13 ปี บางคนรู้จักเธอจากละคร บางคนรู้จักจากซีรีส์ บางคนอาจเคยดูมิวสิกวิดีโอที่เธอเล่น บางคนแวะไปกดไลก์ภาพของเธอบน Instagram หรือติดตามเธอไปกินของอร่อยในช่อง Momonhappygirl และไม่ว่าจะเคยรู้จักโมในบทบาทไหน แต่วันนี้เราขอแนะนำให้คุณรู้จักกับ ‘โม มนชนก’ ในฐานะ แฮปปี้เกิร์ลวัย 32 ปีที่ดูแลตัวเองอย่างจริงจังและค้นพบวิธีมอบความรักให้กับตัวเองได้อย่างเต็มเปี่ยมในทุก ๆ วัน 

 

หากได้ติดตามใน TikTok ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่โมกำลังอินมากที่สุด จะเห็นได้ว่าเธอเป็นคนหนึ่งที่มีความสุขกับการออกกำลังกายมาก ๆ ศึกษาเรื่องสกินแคร์อย่างสนุกสนาน และดูแลตัวเองอย่างดีในทุกมิติ  นอกจากด้านร่างกายแล้ว เธอยังเริ่มแสวงหาความสงบทางใจด้วยการปฏิบัติธรรมและฝึกเจริญสติ ที่สำคัญเธอได้เล่าเรื่องการดูแลตัวเองแบบสนุกและเข้าใจง่ายลงในช่อง TikTok : momonhappygirl จนปัจจุบันมีผู้ติดตามกว่าสามแสนคน และทำให้หลาย ๆ คนมีไฟที่อยากจะลุกขึ้นมาออกกำลังกายและเข้านอนก่อนสี่ทุ่มไปพร้อม ๆ กับเธอ 

 

แต่กว่าจะเรียนรู้วิธีการรักตัวเอง ดูแลตัวเองจนเป็นพลังดี ๆ ส่งต่อให้คนอื่นได้อย่างในวันนี้ เธอก็เคยผ่านวันที่ใช้ชีวิตแบบไม่เป็นมิตรกับร่างกายมาก่อน จากเด็กสาวตาโตแก้มป่องในวันนั้นสู่โมที่พวกเรารู้จักในวันนี้ เราขอชวนไปดูว่าช่วงเวลาที่เติบโตขึ้นทุกวันนั้นได้เปลี่ยนแปลงชีวิตเธอ ให้กลายเป็นคนที่ ‘รักตัวเอง’ มากกว่าที่เคยได้อย่างไรบ้าง

 

เริ่มดูแลสุขภาพของตัวเองอย่างจริงจังตอนไหน

“จริง ๆ เป็นคนออกกำลังกายอยู่แล้วตั้งแต่อายุ 18 ตอนนั้นโมอยู่ค่าย Exact (ช่อง One ในปัจจุบัน) ซึ่งนักแสดงทุกคนมีสิทธิ์เข้าไปใช้ฟิตเนสที่นั่น โมเลยคิดว่าว่าง ๆ เราก็ไปออกกำลังกายดีกว่า ตอนนั้นเราเรียนอยู่ที่มศว. (มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร) ด้วย เลยเดินไปได้ใกล้ ๆ”

 

“ตอนนั้นมีแค่โยคะกับยิม ซึ่งโมไม่ชอบโยคะ เพราะมันร้อน เลยไปยิม ก็ไปเล่นเครื่องนู้นเครื่องนี้ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ชอบเลย เรามาเริ่มชอบออกกำลังกายจริง ๆ ก็ตอนที่พิลาทิสเข้าไทย สิ่งนี้แหละคือตัวเรา”

 

ทำไมพิลาทิสถึงได้ชื่อว่าเป็นการออกกำลังกายที่เป็นโมที่สุด

“เมื่อก่อนโมยังไม่รู้ว่านี่คือการฝึกจิต มันใช้หลักการเดียวกับโยคะเลย รู้แค่ว่าถ้าเราวอกแวกหรือคิดอย่างอื่นเรามักจะทำมันไม่ได้ ต้องมีสมาธิจดจ่อกับสิ่งนั้น โมก็เลยชอบที่ได้ใช้สมาธิ ไม่ต้องคิดอะไร ได้พักผ่อนจิตใจเป็นชั่วโมงเลย”

 

ดูเป็นคนที่สนุกกับการออกกำลังกายมาก

“มันรู้สึกดีมาก เรียกว่าเสพติดเลยก็ได้ เพราะในหนึ่งวัน โมต้องทำงานอะไรสักอย่าง ไม่อย่างนั้นจะรู้สึกไม่ดี ไม่ว่าจะตัดคลิป ไปธนาคาร หรือไปออกกำลังกาย จะไม่มีการนอนเอื่อยเฉื่อยไปเรื่อย ๆ ”

 

“อีกเหตุผลที่ชอบออกกำลังกายคือเราเห็นผลลัพธ์กับร่างกายของตัวเอง และเวลาโมไปออกกำลังกาย คนที่ออกกับเรา เขามีแต่พลังงานบวก มันเป็น vibe ที่ดี โมเจอกับตัวแล้วว่าพอเราอยู่ในสถานที่ที่เต็มไปด้วยพลังบวก มันส่งผลดีต่อชีวิตมาก ๆ เหมือนเวลาที่เราอยู่กับคนดี ๆ เราก็จะเป็นคนดีตามไปด้วย”

 

นอกจากความสนุกแล้ว อายุที่เพิ่มขึ้นมีผลกับการออกกำลังกายและเริ่มดูแลตัวเองไหม

“มีผล โมเห็นชัดเลยว่าการที่เรา maintain การออกกำลังกายมาตั้งแต่อายุ 20 กลาง ๆ ทำให้ตอนนี้เราไปได้มากกว่าเพื่อน ๆ เราปวดหลังช้ากว่า ป่วยเป็นนู่นเป็นนี่ช้ากว่า ไม่ใช่ว่ามันไม่เป็นเลยนะ แต่มันยืดระยะเวลาออกไป เพื่อน ๆ โมบ่นปวดหลังตั้งแต่อายุ 28 แต่โมไม่เป็นเลย เพิ่งมาเป็นปีนี้ ตอนอายุ 32 ปี เพิ่งรู้สึกว่าปวดหลังมันเป็นแบบนี้นี่เอง เลยพยายามไปเล่นโยคะทุกวันอาทิตย์”

 

นอกจากปวดหลังแล้ว สัญญาณของ ‘อายุที่มากขึ้น’ เริ่มขึ้นตอนไหน และเป็นอย่างไรบ้าง 

“ตอนนี้ ปีนี้เลย ล่าสุดไปงานแต่งมาแล้วเลิกตีสาม โดยที่โมดื่มแต่น้ำเปล่า กลับมาโมไม่สบายเลย ไม่คิดเหมือนกันว่าแค่ตีสามเราจะไม่ไหวแล้ว ทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนตอนเป็นวัยรุ่นเราชิวมาก คือใช้ชีวิตสุด ๆ ไปเลย แบบที่พอเลิกกองแล้วไปเที่ยวต่อถึงเช้า แล้วตอนเช้าก็ไปถ่ายละครต่อ พอถ่ายละครเสร็จก็ไปเรียน คือเราไม่หลับ ไม่นอน สามารถอยู่ไปได้เรื่อย ๆ แบบนั้น โดยที่เรียนและทำงานไปด้วย ทำไปได้ยังไงก็ไม่รู้ แล้วเราไม่เป็นอะไรเลย แต่เดี๋ยวนี้ไม่ไหวแล้ว และไม่อยากทำแบบนั้นแล้ว เพราะโมไม่อยากเอาสิ่งที่โมทำดีมาตลอดทั้งหมดไปแลก มันไม่คุ้มกัน”

 

เตรียมตัวสำหรับร่างกายอนาคตอย่างไรบ้าง

“โมเตรียมตัวแก่มาตั้งแต่ตอนอายุ 20 กลาง ๆ ว่าถ้าไม่อยากแก่เร็วเราต้องเริ่มอย่างไร แต่ถ้าวันหนึ่งเราแก่ตัวไปแล้วมันก็ยังมีวิธีมากมายที่ทำให้เราสามารถดูแลร่างกายของเราได้เสมอ การออกกำลังกายมีตั้งหลายแบบ โมว่าทุกคนสามารถมีวิถีชีวิตที่เหมาะสำหรับการดูแลตัวเองในแต่ละช่วงชีวิตได้”

 

ในมุมมองของโม การดูแลตัวเองสำคัญกับชีวิตอย่างไร 

“สุขภาพคือเรื่องที่สำคัญที่สุด เพราะโมเจอมากับตัวแล้ว ตอนนั้นโมป่วยแบบไม่มีสาเหตุ คือไอแห้ง ๆ และหายใจไม่ออกตอนประมาณห้าทุ่มถึงตีห้าของทุกวัน แล้วก็เป็นอยู่เรื่อย ๆ เป็นเวลาสองเดือน จนโมไม่รู้จะทำอย่างไร ทั้งไปหาหมอที่ดีที่สุด ไปหลายโรงพยาบาล เจาะเลือด ตรวจทุกอย่างก็ไม่หาย สุดท้ายต้องไปอยู่ต่างจังหวัดถึงเริ่มดีขึ้น ตอนนั้นเสียเงินไปเยอะมาก ได้แต่ร้องไห้ไปเรื่อย ๆ ไม่รู้จะไหว้อะไรแล้ว”

 

“คนอาจคิดว่าเงินเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งมันสำคัญจริง ๆ แต่บางครั้งเงินก็ซื้อสุขภาพไม่ได้ เพราะโมป่วยมาแล้วโมถึงรู้ว่าในชีวิตเรามันไม่มีอะไรซื้อสุขภาพและเวลาได้ เลยต้องดูแลสุขภาพให้ดี ๆ”

 

เรื่องสุขภาพเรื่องไหนที่ให้ความสำคัญมากที่สุด 

“เข่า พวกไขข้อ เข่าของโมดังเอี๊ยด ๆ มาสักพักแล้ว และยังไม่เคยไปหาหมอด้วย ไม่แน่ใจว่าเป็นอะไร แต่คิดว่าถ้าเป็นมากกว่านี้ก็จะต้องไปหาหมอ เพราะเราไม่มีความรู้เรื่องนี้เลย อย่างเรื่องหน้า เรื่องสิว ฝ้า กระ ผม เรารู้หมด แต่พอเป็นเข่า เราไม่รู้ว่าจะแก้อย่างไร”

 

“และมีเรื่องคอเลสเตอรอลด้วย คือโมไปตรวจสุขภาพประจำปีแล้วหมอบอกว่าคอเลสเตอรอลของโม 320 ซึ่งมันสูงมากจนหมอเองก็ตกใจ เราก็เลยมาดูค่าเฉลี่ยของแต่ละอัน ไขมันดีก็คือดีมาก ส่วนไขมันเลวหรือ LDL ก็สูงมากเหมือนกัน ซึ่งมันควรจะต่ำกว่า 130 หมอเลยขอจ่ายยา แล้วเราก็กินยามาจนถึงทุกวันนี้ หมอวินิจฉัยว่าน่าจะเป็นเพราะกรรมพันธุ์”

 

“จริง ๆ เรากินคลีนเดือนนึงก่อนไปตรวจสุขภาพ ก็เลยรู้สึกว่าที่ทำไปมันไร้ค่า โมกินคลีนแค่เดือนนั้นแหละ ก่อนไปตรวจสุขภาพ ปกติเป็นคนไม่ได้กินดี คือกินอะไรที่อยากกิน แค่จะมีวันที่กินมังฯ เฉยๆ”

 

จุดเริ่มต้นของการกิน ‘มังสวิรัติ’ คืออะไร

“ตั้งแต่ไปปฏิบัติธรรม เราก็อยากจะทำอะไรสักอย่างที่ไม่ใช่การทำดีแค่ในวัด ก็เลยเราลองกินมังสวิรัติทุกวันพระ”

 

อยากให้เล่าถึงช่วงเวลาที่ตัดสินใจเข้าวัดไปปฏิบัติธรรม

“เริ่มจากเพื่อนโมชวนไป เพราะเพื่อนสนิทของโม เคยไปที่วัดนี้มาก่อนก็เลยลองไปกัน ซึ่งไกลมาก อยู่ที่ภูทับเบิก เรารู้สึกว่าการปฏิบัติธรรมต้องเป็นสถานที่ที่มันไม่ร้อน เพราะถ้าร้อนเราจะเริ่มโมโหและคิดไม่ดีแล้ว ซึ่งที่ภูทับเบิกอากาศเย็นทั้งปี พอได้ไปก็เลยชอบ”

 

ตอนอยู่ที่วัดได้ทำอะไรบ้าง

“ที่นี่เขาไม่ได้บังคับอะไรเลย ใครอยากทำอะไรก็ทำ ใครอยากจะนอนเหมือนมาพักร้อนก็แล้วแต่ แต่ว่าใครทำอะไรก็ได้อย่างนั้น นี่คือคำสอน (หัวเราะ) โมเลยรู้สึกว่าชิลจัง แต่โมก็ไม่ได้นอนอยู่เฉย ๆ”

 

“โมเรียกสิ่งที่ทำในวัดว่างานจิตอาสา ประมาณแปดโมงเช้าจะมีพิธีถวายภัตตาหารพระ ไม่มีการทำวัตรเช้า ไม่ต้องตื่นตีสี่ แต่ว่าใครอยากจะตื่นเช้าไปเดินจงกรม ไปกวาดลานวัด ทำงานจิตอาสาอะไรก็ได้ พอเราได้อยู่กับตัวเองเลยรู้สึกว่าดี บางที่เขาให้ปิดวาจา ห้ามเล่นโทรศัพท์ ที่นี่เล่นได้นะแต่ก็ไม่ควร คือเราทำงานได้ แต่จะมานั่งดูความบันเทิงไม่ได้ เพราะเราก็ถือศีลแปดอยู่”

 

พอได้รู้จักการปฏิบัติธรรมแล้ว ชีวิตเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง 

“รู้เท่าทันสติตัวเอง รู้ว่าตอนนี้เรากำลังรู้สึกอะไรอยู่ รู้ว่าทุกอย่างเกิดง่าย ดับง่าย พอเรารู้ว่าเราโกรธ ก็ช่างมัน เราเข้าใจตัวเอง เข้าใจมนุษย์ และเข้าใจว่ามีสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ รู้จักการช่างมัน เพราะเครียดไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา เช่น เรานั่งมอเตอร์ไซค์อยู่แล้วฝนตก มันควบคุมไม่ได้จริง ๆ จะกรี๊ดไปเพื่ออะไร ก็เลยคิดเป็นเรื่องบวก หลัง ๆ โมคิดว่าเป็นเรื่องขำ ๆ ไว้เอามาเล่าใน TikTok แล้วกัน”

 

ซึ่งแต่ก่อนไม่ใช่คนแบบนี้

“ไม่ใช่เลย เมื่อก่อนเราจะตั้งคำถามว่า ‘ทำไม’ เพราะเราไม่เข้าใจ ถ้าโมรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง โมก็จะไม่ยอม ทุกอย่างจะต้องเป๊ะ แต่สุดท้ายเราก็ควบคุมคนอื่นไม่ได้ เราเปลี่ยนคนอื่นไม่ได้ เรามาเปลี่ยนที่ตัวเราดีกว่า ไม่ได้หมายความว่าเราจะยอมคนอื่น หรือยอมทำไม่ได้ไปกับเขานะ แต่แค่เราไม่เอาใจไปทุกข์กับมัน แค่นั้นพอ”

 

เป้าหมายของการดูแลตัวเองอย่างดีทั้งร่างกายและจิตใจในทุก ๆ วัน สำหรับโมคืออะไร

“ความจริงคือโมไม่อยากแก่ คิดว่าการออกกำลังกายน่าจะช่วยได้ เพราะมันคือสิ่งที่ยั่งยืนที่สุด เดี๋ยวนี้คนเราจะทำให้หน้าเล็ก ทำให้ผอม เทคโนโลยีสมัยนี้มันทำได้หมด เพียงแต่มันไม่ใช่สิ่งที่ยั่งยืน ไม่ใช่ว่าโมไม่ทำนะ โมก็ไปทำพวกหัตถการบ้างเหมือนกัน แต่ว่าการออกกำลังกายกับการนอนเร็วมันเป็นสิ่งที่ยั่งยืนที่สุด”

 

พอติดตามใน TikTok จะเห็นว่าโมให้ความสำคัญกับการนอนมาก

“โมทำมาทุกอย่างจนรู้แล้วว่าการนอนเร็วคือทางที่ดีที่สุด ทุกวันนี้พยายามนอนประมาณสี่ทุ่ม ไม่เกินเที่ยงคืน พอนอนเร็วโมรู้สึกได้เลยว่าตอนตื่นมาหน้าจะใสเหมือนไปฉีดมาเลย มันเห็นได้ชัดมากเพราะตอนที่นอนดึกรูขุมขนจะกว้างขึ้น ตาโหล และที่สำคัญคือจะไม่มีแรงทำอะไรเลย”

 

“ทุกวันนี้ช่วงเวลาในการถ่ายละครคือเจ็ดโมงถึงสี่ทุ่ม โมจึงต้องรีบกลับบ้านให้เร็วที่สุดเพื่อที่จะล้างหน้าและนอนเลย คือไม่มีคำว่างานค้างใด ๆ ทั้งสิ้น ถ้าเป็นงานถ่ายละครทั้งอาทิตย์ โมจะอ่านบทของทุกวันให้จบภายในวันอังคาร ไม่ก็วันพุธ วันที่เหลือก็ไปทำงานและกลับมาเพื่อนอนแล้วตื่นหกโมงเช้าแล้วไปถ่ายละครต่อ แต่บางครั้งกองละครเขาจะลากถึงเที่ยงคืน มันก็นอนเร็วยาก แต่พอกลับบ้านมามันไม่มีอะไรให้เราทำแล้ว คนอื่นก็คงไม่มาคุยงานหลังสี่ทุ่ม”

 

จุดเริ่มต้นของการทำ TikTok คือตอนไหน

“โมเริ่มทำ TikTok เมื่อปีที่แล้ว แต่ก่อนโมไม่เล่นเลยเพราะเข้าใจมาตลอดว่ามันเป็นการเต้น รู้สึกว่ามันไม่ใช่เราและเข้าใจมาตลอดว่าการลิปซิงค์เสียงใน TikTok เขามีซับไตเติลให้ สรุปคือไม่มี เราก็เลยทำไม่ได้ (หัวเราะ) ก็เลยคิดบทเอง พูดเรื่องของตัวเอง จนกลายมาเป็นการแชร์วิถีชีวิตในแบบที่เราถนัด เมื่อก่อนโมรู้สึกว่าทำไมเราต้องบอกคนอื่น ต้องมานั่งถ่ายคลิปตัวเอง แต่เดี๋ยวนี้มันก็สนุกดี พอเราได้บอกแล้วเขาได้ทำตาม ก็มีคนที่เขาซาบซึ้งกับสิ่งนี้ โมเลยรู้สึกว่าเราทำให้คนอื่นมีความสุขได้”

 

หลังจากที่ทำ TikTok โลกของคุณเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง

“คนเข้าใจและมองเห็นอีกมุมของโมมากขึ้น ว่าจริง ๆ โมก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ดาราไม่ได้เป็นอย่างที่เห็นในทีวี ไม่ใช่คนดีเลิศประเสริฐอะไร จะเห็นได้ว่าสิ่งที่เรารีวิวแต่ละอย่าง เราไม่ได้ใช้ของแพงไปเสียหมด ถ้าใครได้ดู TikTok จะเห็นว่านั่นแหละคือชีวิตจริงของโม”

 

“โมอยู่ในโลกของ Instagram มาทั้งชีวิต ไม่ใช่ว่ามันไม่ดีนะ แต่มันเป็นโลกที่เราต้องสวย หรู และเป็นซัมวัน แต่สำหรับ TikTok มันคือโลกที่เราสามารถเป็นมนุษย์ได้จริง ๆ โมรู้สึกว่านี่แหละคือสิ่งที่เราตามหามา ชีวิตต้องมีช่องทางให้เราได้เป็นตัวเอง ให้รีแลกซ์บ้าง ไม่ใช่ดูดีตลอดเวลาก็เบื่อเหมือนกัน”

 

โมในวัย 32 ปีชอบดูอะไรใน TikTok 

“ชอบดูคนกินผลไม้อบแห้ง (หัวเราะ) เพราะมันเพลินมากเลย กับอีกช่องคือคนฟิลิปปินส์ที่เขาโหนเสา (@mathildaairlinesofficial) คนนั้นโมชอบมาก เขาโหนจน LOEWE มาสปอนเซอร์”

 

 

ข้อดีของการอายุมากขึ้นคืออะไร 

“ประสบการณ์ชีวิตมากขึ้น โมรู้สึกว่าตอนนี้โมมีความสุขมากกว่าตอนเด็ก ๆ ความสุขกับความสนุกมันคนละเรื่องกัน เมื่อก่อนมันสนุก แต่โมมีความสุขกับชีวิตตอนนี้มากกว่า เพราะรู้สึกว่าไม่เครียด ไม่กดดัน เหมือนได้หายใจจริง ๆ เมื่อก่อนเราไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังหายใจอยู่ แต่ตอนนี้โมกลับรู้สึกว่าเราได้ใช้ชีวิตอยู่จริง ๆ ซึ่งมันเป็นไปเองตามวัย เมื่อก่อนโมก็ชอบความบันเทิง โมใช้ชีวิตสนุกมากและไม่เคยเสียดายเวลาในอดีตเลย”

 

แล้วช่วงวัยนั้น มุมมองเกี่ยวกับ ‘ความรักตัวเอง’ เป็นอย่างไรบ้าง

“ไม่มี ไม่รู้จัก รักตัวเองคืออะไร ไม่ได้คิดว่ารักตัวเองแล้วมันจะดี เราคิดอยู่อย่างเดียวว่าชีวิตเราจะดีได้ต้องขึ้นอยู่กับอีกคน เราต้องทำให้เขาพอใจ โมชอบเอาชีวิตไปผูกติดกับคนอื่น คิดว่าความสุขของเราคือการได้อยู่กับคนนั้น คนนี้ อยู่ในเหตุการณ์นี้ สถานที่นี้ สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ว่ามันไม่ดี เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้ได้ว่าแบบนั้นมันไม่เวิร์ก”

 

“โมชอบนะ เพราะการที่เพิ่งจะมาคิดสรตะได้ตอนอายุ 30 มันก็เป็นเวลาที่พอดี โมคิดว่าบางทีชีวิตคนเราก็ถูกกำหนดมาแล้วว่ามันจะเดินไปทางไหน ถ้าโมไปคิดได้แบบนี้ตอนที่โมอายุ 25 โมก็คงจะไม่ได้ใช้ชีวิตบ้าบอคอแตกหรือว่าไม่มีเรื่องมาเล่าในวันนี้ก็ได้”

 

 

การรักตัวเองฉบับโมในตอนนี้เปลี่ยนไปอย่างไร 

“ตอนนี้ความรักในตัวเองมั่นคงมากขึ้น โมเห็นว่าสุดท้ายแล้วมันไม่มีอะไรยั่งยืนเท่ากับตัวเราเอง เราเป็นคนที่ควบคุมชีวิตและความคิดของตัวเราเอง และสร้างความสุขในใจขึ้นได้ ถ้าเรายังต้องไปพิงคนอื่น ถ้าวันหนึ่งเสาต้นนั้นไม่อยู่ให้เราพิงแล้ว เราก็จะล้มไปเลย แต่ถ้าเรายืนได้ด้วยตัวเองได้และมีคนคอยซัพพอร์ตอยู่ข้าง ๆ มันก็ดีกว่า”

 

“โมรู้สึกว่าการรักตัวเองและการที่เราอยู่ได้ด้วยตัวเองมันไม่ได้หมายความว่าเราเป็น Introvert หรือเห็นแก่ตัว ตราบใดที่ไม่ได้ทำอะไรที่เดือดร้อนชาวบ้าน 

 

แต่มันคือการที่เห็นว่าเราคือที่สุดของตัวเราเอง”

 

หนังสือเล่มโปรดของ ‘โม มนชนก’

นอกจากช่วงนี้เธอจะออกกำลังกายและสร้างความสงบในใจแล้ว สิ่งหนึ่งที่ช่วยเติมเต็มแต่ละวันของเธอคือการอ่านหนังสือ และในวันนี้เธอก็พกหนังสือ 2 เล่มที่ได้ชื่อว่าเป็นที่สุดของเธอมาแชร์ให้กับพวกเรา และนี่คือหนังสือที่โม มนชนกอ่าน

 

All That You Deserve 

Jacqueline Whitney

 

“เล่มนี้น้อง พรีม (รณิดา เตชสิทธิ์) ให้มาเป็นของขวัญวันเกิด โมรู้สึกว่าเป็นหนังสือที่เป็นพลังบวก ให้กำลังใจว่าเราทุกคนสมควรจะได้รับสิ่งดี ๆ เล่มนี้จะมีหน้าที่โมขีดไว้ จดไว้ ทับไว้ เพื่อที่ว่าหากวันหนึ่งเรารู้สึกว่ามันเป็นแบดเดย์ โมก็จะกลับมาอ่านอีกครั้ง”

 

ความสัมพันธ์ 101

ช่า บันทึกของตุ๊ด

 

“เล่มนี้เห็นคนเขาแชร์ใน Facebook ก็เลยไปกดซื้อมาอ่านตาม เป็นหนังสือที่มันอ่านง่าย ภาษาเหมือนคุยกับเพื่อน ในเล่มก็จะมีทั้งประสบการณ์ของตัวเขาเอง ของเพื่อนๆ ของเขา ซึ่งเหมือนเราเองก็อยู่ในสังคมที่คล้าย ๆ กับเขา เลยรู้สึกว่าเป็นการแชร์โดยที่เราไม่ต้องไปเจอเรื่องแบบนั้นเอง อ่านแล้วได้เรียนรู้เรื่องความสัมพันธ์ทั้งของตัวเองและกับเพื่อน โมชอบบทแรกมาก ที่เขาบอกว่า ‘ยิ่งโต ยิ่งหาแฟนยาก’ ซึ่งมันจริงที่ว่าพอถึงช่วงชีวิตหนึ่ง เราจะไม่ตามหาความรักที่หวือหวาหรือว่าสนุกสนานตื่นเต้น แต่เราจะมองหาคนที่เข้าใจเรา ซึ่งยิ่งโตก็ยิ่งหายาก”

 

ติดตาม โม - มนชนก ได้ที่

Instagram : momonchanok

TikTok : @momonhappygirl

YouTube : hubsub_official

SHARE

facebook
twitter
copy
Related articles / บทความที่เกี่ยวข้อง
Loading...