

4 วิธีแก้ปัญหาสุขภาพง่าย ๆ ไม่เสียซักบาท แค่ชาร์จพลังชีวิตจากดิน น้ำ ลม ไฟ ที่อยู่รอบตัว
Health / Body
05 Mar 2025 - 5 mins read
Health / Body
SHARE
05 Mar 2025 - 5 mins read
ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัญหาสุขภาพที่เกิดกับคนในยุคนี้ ไม่ว่าจะเป็นโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ โรคซึมเศร้า ออฟฟิศซินโดรม ไปจนถึงโรคเรื้อรังต่าง ๆ อย่างโรคหัวใจหรือความดันโลหิตสูง ล้วนมีสาเหตุจากความเครียด มลพิษ ไปจนถึงวิถีชีวิตการอยู่การกินที่ห่างไกลจากวิถีธรรมชาติขึ้นทุกที
ดังนั้น วิธีฟื้นฟูสุขภาพที่ทุกคนสามารถทำได้ง่าย ๆ และทำได้ทันที คือ การใช้ธรรมชาติเป็นยารักษาโรค โดยอาศัยพลังจากธาตุทั้ง 4 อย่างดิน น้ำ ลม และไฟ ที่อยู่รอบตัวเรา มาช่วยในการชาร์จพลังงานดี ๆ กลับคืนสู่ระบบการทำงานของร่างกายให้ชีวิตกลับมามีสมดุลอีกครั้ง
LIVE TO LIFE ได้รวบรวมเคล็ดลับของการดึงพลังงานธาตุมาฝาก ชวนลองฟื้นฟูสุขภาพกายและใจที่แข็งแรง จากดิน น้ำ ลม ไฟ แบบไม่ต้องเสียสตางค์
5 วิธีฝึกเดินเท้าเปล่า
รับประจุพลังงานจากผืนดิน
จำได้ไหมว่า ครั้งล่าสุดที่คุณเดินเท้าเปลือยเปล่าบนพื้นหญ้า ผืนทราย หรือพื้นดิน คือเมื่อไร ?
ดูเหมือนว่าการเดินเท้าเปล่าที่เคยเป็นวิถีชีวิตดั้งเดิมของมนุษย์มาช้านาน กลายเป็นกิจกรรมพิเศษสำหรับผู้คนในยุคนี้ ที่หาโอกาสเปลือยเท้าได้อย่างสะดวกใจเฉพาะเวลาเดินทางไปตามสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติต่าง ๆ เช่น ป่าเขา หรือทะเล ต่างจากบรรพบุรุษของเราที่ใช้เท้าเปล่าในการสัญจรมาอย่างยาวนาน ซึ่งจะโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม การเดินเท้าเปล่านั้นให้คุณค่าแก่ร่างกายมากกว่าที่คิด เพราะเป็นการเปิดโอกาสให้ร่างกายได้สัมผัสกับพื้นโลก และซึมซับประจุพลังงานที่มีส่วนช่วยเสริมสมดุลด้านสุขภาพ
เหตุผลเป็นเพราะพื้นโลกนั้นมีสถานะไม่ต่างอะไรกับแบตเตอรี่ขนาดยักษ์ที่หมุนรอบดวงอาทิตย์อย่างไม่หยุดนิ่ง ทำให้เกิดพลังงานอิเล็กตรอนหรือประจุลบส่งผ่านผิวโลกออกมาสม่ำเสมอ ซึ่งพลังงานอิเล็กตรอนนี้เองที่ช่วยให้สิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่ใช้ชีวิตเชื่อมกับพื้นโลกสามารถใช้ชีวิตตามจังหวะธรรมชาติได้อย่างสมดุล
เนื่องจากการที่ร่างกายของสิ่งมีชีวิตได้แลกเปลี่ยนหรือนำประจุไฟฟ้าที่เป็นลบเข้าสู่ร่างกายมีส่วนช่วยให้ประจุไฟฟ้าในร่างกายกลับมามีสภาพเป็นกลาง และมีคลื่นความถี่เดียวกับธรรมชาติ
ดังนั้น การสวมรองเท้าจึงกลายเป็นฉนวนปิดกั้นการรับประจุพลังงานจากพื้นดิน เมื่อบวกกับวิถีชีวิตของคนในปัจจุบันที่มักอยู่แต่ภายในอาคารหรือบนตึกสูงที่ห่างไกลจากพื้นดิน ทั้งยังแวดล้อมด้วยเครื่องใช้ไฟฟ้าสารพัดชนิดที่เป็นแหล่งปล่อยคลื่นพลังแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งคอยเพิ่มประจุบวกให้แก่ร่างกาย
หากร่างกายไม่มีการถ่ายเทประจุบวกออกไป รวมถึงไม่มีโอกาสรับประจุลบจากธรรมชาติเข้ามา ร่างกายจะเกิดอาการอ่อนล้า เครียด และรู้สึกสับสนโดยไม่ทราบสาเหตุ
วิธีที่ง่ายที่สุดในการเปิดรับประจุลบเพื่อสร้างสมดุลให้ร่างกาย ก็คือ การเดินเท้าเปล่าบนพื้นผิวธรรมชาติ เพื่อให้สนามพลังจากผืนดินช่วยสลายไฟฟ้าสถิตที่เกิดจากใช้เครื่องมือสื่อสารและใช้ชีวิตอยู่หน้าจอเป็นเวลานานจนสะสมอยู่ในร่างกาย
นอกจากนี้ ตามหลักของแพทย์แผนจีน จุดสะท้อนเท้ายังมีผลต่ออวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย การเดินเท้าเปล่าสัมผัสผืนดินจึงเป็นการนวดจุดสะท้อนเท้าสำคัญ ๆ ไปในตัว อีกทั้งการเดินเท้าเปล่ายังมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ (Anti-inflammatory) จึงลดความเจ็บปวดได้อย่างเห็นผล มีส่วนช่วยให้คุณภาพการนอนหลับดีขึ้น ช่วยในการปรับปรุงการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ดีขึ้น ป้องกันการสูญเสียความหนาแน่นของมวลกระดูก ลดความเครียด ปรับปรุงสภาวะอารมณ์ ฯลฯ
ในแง่ของการสร้างเสริมบุคลิกภาพ การเดินเท้าเปล่าจะช่วยให้สามารถควบคุมท่าทางและตำแหน่งของเท้าขณะเดินได้ดีขึ้น ช่วยเพิ่มกล้ามเนื้อขาให้แข็งแรงและรองรับน้ำหนักจากหลังส่วนล่างได้มากขึ้น ทั้งยังเป็นการปลดปล่อยเท้าจากการถูกบีบรัดในลักษณะเดิมตลอดเวลา ซึ่งเสี่ยงต่อการนำไปสู่ภาวะความผิดปกติของเท้า เช่น ภาวะนิ้วหัวแม่เท้าเอียง หรือนิ้วเท้าหงิกงอผิดปกติอีกด้วย
LIVE TO LIFE จึงอยากชวนคุณมองหาพื้นหญ้าหรือผืนดินใกล้บ้าน จากนั้นถอดรองเท้าออก แล้วยืน เดิน นั่ง หรือนอนเล่นบนพื้นธรรมชาติแห่งนั้น เพื่อชาร์จพลังงานดี ๆ สู่ร่างกาย
หากพร้อมแล้วกับการเดินเท้าเปล่าบนพื้นดิน ควรเริ่มต้นปฏิบัติตาม 5 วิธีฝึกเดินเท้าเปล่า เพื่อให้ร่างกายเคยชินกับการเดินเท้าเปล่าบนพื้นดินได้ในที่สุด
1. ฝึกเดินเท้าเปล่าในบ้าน : สำหรับคนที่ไม่เคยเดินเท้าเปล่ามาก่อน ควรเริ่มต้นสร้างความคุ้นชินด้วยการเดินภายในบ้าน เพื่อให้แน่ใจว่าปลอดภัยจากเศษของมีคมหรือสิ่งสกปรก โดยเลี่ยงพื้นบริเวณที่เสี่ยงต่อการลื่นล้ม
2. เริ่มเดินเป็นระยะเวลาสั้น ๆ : ในระยะแรกควรลองเดินเท้าเปล่าประมาณ 15-20 นาที เพื่อให้เท้าและข้อเท้าค่อย ๆ ปรับตัว และควรหยุดพักเมื่อรู้สึกเจ็บหรือไม่สบายเท้า
3. ฝึกทรงตัวเพิ่มความแข็งแรง : ฝึกยืนขาเดียวบนพื้นหรือยืนเขย่งเท้าขึ้นลงช้า ๆ เพื่อช่วยบรรเทาอาการเจ็บ ไม่สบายเท้า หรือไม่ชินในระยะแรก
4. เดินบนพื้นผิวที่ปลอดภัย : เมื่อฝึกเดินเท้าเปล่าในบ้านได้อย่างมั่นคงแล้ว สามารถออกไปเดินบนหญ้า ทราย หรือพื้นสนามที่เป็นยาง โดยค่อย ๆ ลงน้ำหนักอย่างใจเย็น เพื่อป้องกันการบาดเจ็บจากการเหยียบสิ่งแปลกปลอมที่อาจมองไม่เห็น
5. หากิจกรรมที่ทำได้โดยไม่ใส่รองเท้า : นอกจากการเดินแล้ว ยังสามารถทำกิจกรรมอื่น ๆ ด้วยเท้าเปล่าได้ เช่น ทำสวน ปิกนิก ฝึกโยคะ ออกกำลังกาย ฯลฯ ที่ถือเป็นการผ่อนคลายเท้าไปในตัว
ข้อควรระวังในการเดินเท้าเปล่า
• ควรหลีกเลี่ยงพื้นผิวที่ขรุขระ เปียกชื้น หรือร้อนเกินไป หมั่นสังเกตและหลีกเลี่ยงเศษแก้วหรือสิ่งของแหลมคมที่อาจปะปนอยู่ตามพื้น
• ผู้ที่มีแผลหรือรอยขีดข่วนตามฝ่าเท้า ไม่ควรเดินเท้าเปล่านอกบ้านจนกว่าจะหายดี เพื่อป้องกันการสัมผัสเชื้อโรค รวมถึงผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับเท้าและผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ต้องระวังเป็นพิเศษ ควรปรึกษาแพทย์ก่อน เผื่อกรณีเกิดอาการปลายประสาทอักเสบ ซึ่งอาจทำให้ไม่รู้ตัวเมื่อได้รับบาดเจ็บหรือเกิดบาดแผลบริเวณฝ่าเท้า
• ไม่ควรหักโหมเดินเท้าเปล่านานเกินพอดีในครั้งแรก ๆ
5 เทคนิคดื่มน้ำให้เป็นยา
ยิ่งทำ ยิ่งสุขภาพดี
ในร่างกายของเรามีน้ำเป็นส่วนประกอบหลักที่ทำหน้าที่ในการขนส่งสารอาหารและออกซิเจนไปยังเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย การดื่มน้ำสะอาดเป็นสิ่งจำเป็นต่อสุขภาพอย่างยิ่ง
ตามหลักอายุรเวทถือว่าน้ำที่ผ่านการต้มจนเดือดและปล่อยให้เย็นมีประโยชน์เช่นเดียวกับน้ำแร่ธรรมชาติ เพราะการต้มทำให้น้ำมีลักษณะบริสุทธิ์ เบา และเพิ่มธาตุไฟทางเดินอาหาร จึงสามารถช่วยย่อยอาหารและลดความเสื่อมของร่างกายได้ นอกจากการดื่มน้ำสะอาดแล้วการดื่มน้ำในเวลาที่เหมาะสม ถูกต้อง และในปริมาณเหมาะสมก็เป็นสิ่งสำคัญมากเช่นกัน เนื่องจากปริมาณน้ำที่มากเกินไปจะทำให้ประสิทธิภาพในการย่อยอาหารลดลง และการดื่มน้ำน้อยเกินไปก็อาจนำไปสู่ปัญหาด้านการขับถ่ายของเสีย ซึ่งเป็นสาเหตุของการสะสมของเสียที่เป็นพิษในร่างกาย
ถ้าอย่างนั้นควรดื่มน้ำอย่างไร ร่างกายถึงจะได้ประโยชน์สูงสุด ลองทำตาม 5 เทคนิคดื่มน้ำให้เป็นยา เพื่อผลลัพธ์ที่มากกว่าเป็นเจ้าของผิวที่เปล่งปลั่ง ดูมีน้ำมีนวล
1. ดื่มน้ำทันทีที่ตื่นนอน : การดื่มน้ำ 1 แก้วทันทีที่ตื่นนอนจะช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น และช่วยกระตุ้นระบบขับถ่าย นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันอาการเจ็บคอ โรคไขข้อ โรคหอบหืดหลอดลม ท้องผูก โรคบวมน้ำ และสามารถป้องกันการเกิดริ้วรอยและผมหงอกได้อีกด้วย
2. ดื่มน้ำก่อนมื้ออาหาร 1 ชม. : ไม่ควรดื่มน้ำก่อนกินข้าวแบบทันที เพราะจะทำให้น้ำย่อยมีความเจือจางลง ส่งผลให้ย่อยอาหารได้ไม่ดีเท่าที่ควร และอาจทำให้ท้องอืดท้องเฟ้อ
3. จิบน้ำระหว่างวัน : ศาสตร์ด้านอายุรเวทแนะนำว่าการดื่มน้ำเพียงเล็กน้อย แต่ดื่มบ่อย ๆ ส่งผลดีต่อร่างกายมากกว่าการดื่มน้ำทีละมาก ๆ ในคราวเดียว เพราะการจิบน้ำน้อย ๆ บ่อย ๆ ช่วยตอบสนองความต้องการน้ำของร่างกาย และช่วยเพิ่มพลังทางเดินอาหาร เพราะน้ำทำหน้าที่เสมือนยาในช่วงที่อาหารไม่ย่อยได้อีกด้วย
4. ไม่ดื่มน้ำทันทีหลังอาหาร : เพราะน้ำจะไปขัดขวางการดูดซึมของสารอาหารในระหว่างกระบวนการย่อยอาหารและการดูดซึมของแร่ธาตุต่าง ๆ
5. ดื่มน้ำก่อนนอน 1 ชม. : เพื่อชำระล้างสิ่งที่ตกค้างในลำไส้ แต่ไม่ควรดื่มใกล้เวลานอนเกินไป เพราะจะทำให้ปวดปัสสาวะกลางดึก ถือเป็นการขัดขวางคุณภาพการนอนหลับ
3 วิธีบริหารร่างกายด้วยลมหายใจ
บรรเทาโรคภัยให้ทุเลา
เราต่างรู้กันดีว่าการหายใจเข้าเป็นการนำออกซิเจนเข้าสู่ร่างกาย โดยเกิดกระบวนการแลกเปลี่ยนก๊าซโดยออกซิเจนในถุงลมจะแพร่เข้าสู่กระแสเลือด ลำเลียงไปยังหัวใจที่รับบทหลักในการปั๊มเลือดไปเลี้ยงทุกส่วนของร่างกาย
และรู้หรือไม่ว่าการฝึกกลั้นลมหายใจมีส่วนช่วยกระตุ้นกระบวนการแลกเปลี่ยนออกซิเจนในกระแสเลือดให้อยู่ในระดับที่สูงขึ้นได้ ซึ่งจะส่งผลให้ร่างกายสามารถขับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากร่างกายได้มากขึ้น และได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ
ดังนั้น การฝึกการใช้ลมหายใจ หรือปราณยามะ จึงมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยให้เกิดการลำเลียงก๊าซออกซิเจนไปเลี้ยงทุกเซลล์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ร่างกายแข็งแรง ทั้งยังเป็นการฝึกสติและสมาธิที่ดีที่สุดวิธีหนึ่ง
นอกจากนี้ การฝึกหายใจยังมีรูปแบบที่หลากหลาย และช่วยแก้ปัญหาสุขภาพแตกต่างกันออกไป เบื้องต้นควรลอง 3 วิธีบริหารร่างกายด้วยลมหายใจ เพื่อช่วยแก้ปัญหาสุขภาพยอดนิยมของคนในยุคนี้
1. เครียดง่าย ปวดหัวบ่อย ควรฝึกหายใจสลับรูจมูก : นั่งในท่าที่สบาย หลับตา ใช้นิ้วโป้งขวาปิดรูจมูกขวา หายใจเข้าลึกผ่านรูจมูกซ้าย ประมาณ 10 วินาที จากนั้นใช้นิ้วนางปิดรูจมูกซ้าย เปิดรูจมูกขวาแล้วหายใจออกผ่านรูจมูกขวาประมาณ 20 วินาที แล้วหายใจเข้าทางรูจมูกขวา ประมาณ 10 วินาที สลับใช้นิ้้วโป้งปิดรูจมูกขวา เปิดรูจมูกซ้าย หายใจออก 20 วินาที ฝึกซ้ำแบบนี้ 3-7 รอบ
ข้อสังเกต : เริ่มหายใจเข้าจากรูจมูกซ้าย และจบที่หายใจออกจากรูจมูกด้านซ้ายเสมอ โดยในหนึ่งรอบจะมี 2 ลมหายใจ
ประโยชน์ : ช่วยในการฟอกโลหิต บรรเทาอาการเครียดวิตกกังวล ลดอาการปวดศีรษะ และช่วยในการปรับสมดุลร่างกาย
2. ต้องการลดน้ำหนัก อยากมีพละกำลัง ควรฝึกหายใจแบบเครื่องสูบลม : นั่งในท่าที่สบาย หายใจเข้าออกออกลึก ๆ 3-4 รอบ ก่อนจะเริ่มฝึกด้วยการหายใจออกแรง ๆ และหายใจเข้าแรง ๆ โดยพยายามยืดตัวตรงและใช้กระบังลมในการหายใจ ฝึกประมาณ 10-15 ลมหายใจ จากนั้นหยุกพักหายใจปกติประมาณ 20 วินาที ก่อนเริ่มหายใจเร็วและแรงในรอบต่อไป ควรหยุดพักหากรู้สึกไม่สบายตัว
ประโยชน์ : กระตุ้นการทำงานของระบบไหลเวียนโลหิต เพิ่มการเผาผลาญจึงมีส่วนช่วยในการลดน้ำหนัก เป็นการบริหารปอดให้แข็งแรงจึงเหมาะในการฝึกก่อนเล่นกีฬา
ข้อควรระวัง : ไม่เหมาะกับสตรีมีครรภ์ ผู้ป่วยโรคหัวใจ และความดันโลหิตสูง
3. นอนไม่หลับ แก้ได้โดยฝึกหายใจแบบผึ้ง: นั่งในท่าที่สงบและผ่อนคลาย หลับตา ยกมือทั้งสองขึ้นมา ใช้สองนิ้วปิดเปลือกตาเบา ๆ ใช้นิ้วโป้งอุดรูหูทั้งสองข้าง สูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วทำเสียงฮัมหึ่ง ๆ เหมือนเสียงผึ้ง เพ่งสมาธิไปที่การสั่นสะเทือนของเสียงในหัว จนเสียงค่อย ๆ เบาลงจนหมดเมื่อหายใจออกจนสุด ทำซ้ำ 10-20 ครั้ง
ประโยชน์ : บรรเทาอาการเหนื่อยล้า คลายเครียด ช่วยแก้อาการนอนไม่หลับได้อย่างเห็นผล
8 ข้อควรปฏิบัติในการอาบแดด
เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย
รู้หรือไม่ว่า ไม่เฉพาะพืชเท่านั้นที่สามารถสังเคราะห์แสงได้ มนุษย์ก็สามารถสังเคราะห์ประโยชน์จากแสงแดดให้กลายเป็นยาบำรุงกำลังได้เช่นกัน
จากการศึกษาพบว่า เมื่อแสงแดดส่องกระทบกับผิวหนังโดยตรงอย่างน้อย 10 นาที รังสีอัลตราไวโอเลต หรือรังสียูวี จากดวงอาทิตย์จะกระตุ้นให้ฮอร์โมนผิวหนังที่ชื่อ โซลิทอน (Soliton) ซึ่งอยู่ในคอเลสเตอรอลใต้ผิวหนัง ทำการสังเคราะห์แสงแดดจนเกิดเป็นวิตามินดี ที่ก่อประโยชน์หลายประการต่อร่างกาย
วิตามินดี มีส่วนช่วยในการสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรงและสมดุล โดยวิตามินดีจะทำงานร่วมกับฮอร์โมนโซลิทอนและเมลาโทนิน (Melatonin) ทำให้ร่างกายผลิตเม็ดเลือดขาวที่แข็งแรงในปริมาณมากขึ้น จึงเกิดระบบตอบสนองเพื่อขจัดเชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ วิตามินดียังมีส่วนช่วยให้กระดูกแข็งแรง โดยทำงานร่วมกับแมกนีเซียมและฟอสฟอรัสในการดึงแคลเซียมเข้าซ่อมแซม และสร้างมวลกระดูกให้แข็งแรง
แสงแดดยังช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมนเซโรโทนิน (Serotonin) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาท สารที่เกี่ยวกับอารมณ์จึงทำให้ลดระดับความเครียดลง อารมณ์จึงแจ่มใส สดชื่น การหาโอกาสตากแดดให้ได้ทุกวันจึงเป็นยาดีในการดูแลสุขภาพที่ถือเป็นกำไรของผู้คนในประเทศเขตเส้นศูนย์สูตรที่แข็งแรงได้แน่ แค่ออกมาใช้ชีวิตกลางแจ้งเป็นประจำ
ทั้งนี้ จากประสบการณ์ของ นิดดา หงษ์วิวัฒน์ ผู้เขียนหนังสือ แสงแดด โอสถมหัศจรรย์ ที่อาบแดดเป็นประจำและใช้แสงแดดแทนยารักษาโรคต่าง ๆ อย่างเห็นผล จึงกล่าวได้ว่านิดดาเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านการอาบแดดอย่างถูกวิธี และมีประสบการณ์อาบแดดที่แตกต่างกันในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งมีข้อควรปฏิบัติดังนี้
อาบแสงเช้า (ก่อนเวลา 7.00 น.) ควรหันหน้าเข้าหาพระอาทิตย์ เบิกตาให้กว้าง สามารถจ้องมองพระอาทิตย์ได้โดยไม่เป็นอันตรายต่อดวงตา โดยอาบแดดทางด้านหน้าของร่างกาย 20 นาที และหันหลังอีก 15 นาที และควรลืมตาไว้เสมอ เพื่อให้แสงแดดเข้าสู่ดวงตาให้ได้มากที่สุด
อาบแสงกล้า (ระหว่างเวลา 9.00 - 15.00 น.) องค์การอนามัยโลกประกาศว่าแสงแดดที่ดีต่อชีวิตและการรักษาโรค คือ แสงแดดระหว่างเวลา 9.00 - 15.00 น. การอาบแดดในช่วงเวลานี้ควรหันหน้าเข้าหาพระอาทิตย์ เบิกตาให้กว้าง โดยไม่จ้องมองพระอาทิตย์ นาน 8-10 นาที จากนั้นหันหลังอาบแดดต่ออีก 10 นาที
ก่อนจะออกไปอาบแดดช่วงเวลานี้ ควรเตรียมตัวเพื่อลดความเสี่ยงของปัญหาผิว โดยก่อนออกไปอาบแดดควรที่จะทาครีมกันแดดที่มีสาร SPF ตั้งแต่ 30 ขึ้นไป และอย่างน้อย 15-30 นาทีก่อนที่จะออกไปข้างนอก เพื่อป้องกันแสงยูวีซึ่งอาจเป็นตรายต่อสุขภาพผิวได้
อาบแสงเย็น (หลังเวลา 17.00 น.) ใช้วิธีเดียวกับการอาบแดดตอนเช้า
นอกจากนี้ ยังมี 8 ข้อควรปฏิบัติในการอาบแดด เพื่อผลลัพธ์ที่ดีต่อสุขภาพที่ทุกคนสามารถทำตามได้อย่างปลอดภัย
1. ควรอาบแดดกลางแจ้ง : การอาบแดดโดยให้ศีรษะอยู่ใต้ท้องฟ้า ซึ่งเต็มไปด้วยพลังชีวิต ถือเป็นการอาบแดดที่ดีที่สุด
2. อาบน้ำก่อนอาบแดด : การทำความสะอาดผิวก่อนอาบแดดจะช่วยให้วิตามินดีที่ละลายบนไขมันที่ผิวสามารถซึมเข้าสู่ร่างกายอย่างเต็มที่ และหลังจากตากแดดแล้วไม่ควรอาบน้ำอย่างน้อย 4 ชั่วโมง
3. ดื่มน้ำก่อนอาบแดด 1 แก้ว : การดื่มน้ำก่อนอาบแดดช่วยให้ร่างกายชุ่มชื้น เนื่องจากแดดจะทำให้น้ำระเหยออกจากร่างกาย และหลังอาบแดดเสร็จแล้ว ควรดื่มน้ำอีก 1 แก้ว เพื่อชดเชยน้ำส่วนที่เสียไป
4. หากทำได้ ลองเปลือยกายอาบแดด : หากมีพื้นที่ส่วนตัวที่เหมาะสมในการเปลือยกายอาบแดดในที่ลับตา ควรเปลือยกายอาบแดด เพราะถือเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการอาบแดด โดยควรอาบแดดด้านหน้าของร่างกาย รวมทั้งใบหน้าด้วย นาน 10-15 นาที แล้วคว่ำตัวอาบแดดด้านหลังอีก 10-15 นาที
5. สวมเสื้อผ้าสีอ่อน : หากต้องใส่เสื้อผ้าขณะอาบแดด ควรเลือกเสื้อผ้าสีอ่อน และเปิดเผยร่างกายให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะการเปิดส่วนของแขน ขา หน้า มือ และเท้า รวมถึงอวัยวะส่วนที่ไม่ค่อยถูกแสงแดด เช่น ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ท้อง ต้นขา ฯลฯ
6. เปิดหน้าต่างให้แดดกระทบผิว : หากหาโอกาสอาบแดดไม่ได้ ควรพยายามนั่งใกล้หน้าต่าง หรือเปิดหน้าต่างเพื่อให้แสงแดดส่องกระทบผิวหนังให้ได้มากที่สุด หรือหาโอกาสนั่งในที่แจ้งบ่อย ๆ เช่น นอกชายคาบ้าน ใต้ต้นไม้
7. เบิกตาให้กว้างเสมอ : ขณะอาบแดดควรเบิกตาให้กว้าง เพื่อให้วิตามินดีจากแสงแดดสร้างคอลลาเจนให้กับดวงตา แต่เลี่ยงจ้องมองดวงอาทิตย์โดยตรง
8. ไม่ควรสวมแว่นกันแดด : การสวมแว่นกันแดดหรือใส่คอนแทคเลนส์ที่เคลือบสารกันยูวี จะทำให้ดวงตาไม่ได้รับประโยชน์จากแสงแดด
อ้างอิง
- นิดดา หงษ์วิวัฒน์.แสงแดด โอสถมหัศจรรย์.แสงแดด, 2562.
- อัคชาร์ยะ บัลกฤษณะ, ณภัคชา ดัฎธา.ศาสตร์แห่งอายุรเวท.ปัญญาชน, 2565.
- Guru Dharm.50 Hours Pranayama Course.World Yoga Alliance Organization, 2021.
- PrimoCare Medical.เดินเท้าเปล่า ธรรมชาติบำบัดฉบับทำเองที่บ้าน.https://bit.ly/4hQp20i
- Fat Out - Healthspans Help Your Lifespan.Grounding 101: ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการทำ Grounding เพื่อประโยชน์ต่อสุขภาพ.https://bit.ly/4kgQ3f5