7 เทรนด์ดูแลผิวปี 2024 อัปเดตแวดวงสกินแคร์และนวัตกรรมความงามที่สาว ๆ ต้องรู้

05 Jan 2024 - 5 mins read

Health / Body

Share

แวดวงความงามและสกินแคร์มีการคิดค้นนวัตกรรมในการดูแลผิวออกมาใหม่ ๆ อยู่เสมอ ผู้บริโภคอย่างเราจึงควรรู้เท่าทันเทคโนโลยีที่แบรนด์สกินแคร์ เครื่องสำอาง หรือคลินิกความงามต่าง ๆ เลือกใช้ เพื่อเลือกสรรการดูแลผิวที่ปลอดภัยและเหมาะกับตัวเองมากที่สุด

 

LIVE TO LIFE คัดสรร 7 เทรนด์ดูแลผิวประจำปี 2024 มาเป็นแนวทางให้คุณเลือกสิ่งที่ดีที่สุดในการบำรุงผิวให้สวย สดใส และแข็งแรงจากภายใน เพื่อเป็นของขวัญในการดูแลตัวเองตลอดทั้งปีนี้และปีต่อไป

 

 

1.
Skin Minimalism
เทรนด์พักผิวเพิ่มมิติความสวยอย่างเป็นธรรมชาติ

‘ผิวของคนเราไม่สามารถเพอร์เฟกต์ นวลเนียนไร้ที่ติ รูขุมขนไม่จำเป็นต้องเล็กละเอียด และสิวก็เป็นแค่เรื่องธรรมดา’

 

เหล่านี้คือทัศนคติที่อยู่เบื้องหลัง Skin Minimalism เทรนด์ของการดูแลผิวให้ดูดีอย่างเรียบง่าย เข้าใจความเป็นธรรมชาติของผิวให้มากขึ้น และลดขั้นตอนการ ‘ยุ่ง’ กับผิวให้น้อยที่สุด จากที่เคยใช้สกินแคร์หลายตัว หลายขั้นตอน จนทำให้ผิวหน้าถูกสัมผัสเยอะเกินไป ลองเปลี่ยนมาใช้สกินแคร์เท่าที่จำเป็น และตอบโจทย์ปัญหาผิวของตัวเองที่สุด ไม่จำเป็นต้องประโคมให้อาหารผิวจนล้น หันมาเลือกซื้อสกินแคร์ที่มีคุณภาพ ไม่เน้นปริมาณ เพื่อมุ่งเน้นไปที่การปรับสภาพผิวให้เป็นปกติจะดีที่สุด

 

Skin Minimalism จึงเป็นเทรนด์ความงามที่เน้นความสวยในแบบที่ผิวของแต่ละคนเป็น จากเดิมที่เคยต้องปกปิดหรือแก้ไขจุดบกพร่องบนผิว เช่น ต้องแต่งหน้าเพื่อลบรอยกระ รอยสิว หรือแผลเป็นต่าง ๆ ก็ให้เปลี่ยนทัศนคติแบบเดิม แล้วหันมามอบการบำรุงและแต่งผิวให้ดูสุขภาพดีแบบไม่ประโคมปกปิด 

 

การบำรุงผิวให้สุขภาพดีและแข็งแรงนั้น อาศัยแค่การทำความสะอาด การรักษาความชุ่มชื้นของผิว และการปกป้องผิวจากแสงแดดและมลภาวะ เท่านี้ผิวก็ได้พักและเผยมิติสุขภาพดีแบบไม่ต้องแต่งเติม

 

Skin Minimalism ไม่ได้ดีแค่กับผิวเท่านั้น แต่ยังดีต่อโลก เพราะเมื่อเราไม่กักตุนสกินแคร์มากจนเกินไป จนบางส่วนมีแนวโน้มที่จะหมดอายุก่อนที่เราจะใช้หมด เลือกใช้เฉพาะสกินแคร์ที่เหมาะกับผิวที่สุดก็ลดปริมาณการทิ้งขยะเพิ่มขึ้นไปในตัว

 

 

2.
Edible Skincare
‘สกินแคร์กินได้’ นวัตกรรมที่ไม่เคยหยุดพัฒนา

ผลิตภัณฑ์เพื่อการบำรุงผิวยังคงได้รับความนิยมต่อเนื่อง โดยในปีนี้มีการคาดการณ์ว่าสกินแคร์ที่ดูแลความสวยจากภายในสู่ภายนอกจะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นเรตินอลและคอลลาเจนที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นมาตั้งแต่ปี 2023 โดยปีนี้สกินแคร์ในรูปแบบรับประทานจะได้รับการพูดถึงในวงกว้างมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโปรตีนและคอลลาเจนสกัดในรูปแบบบิวตี้บาร์ ไมโครไบโอม (Microbiome) หรือชีวนิเวศจุลชีพ และโบนบรอธ (Bone Broth) พร้อมดื่ม ที่คนจะหันมาบริโภคกันมากขึ้น

 

สำหรับโบนบรอธนั้นอุดมด้วยสารอาหาร โปรตีน คอลลาเจน และกรดอะมิโนหลายชนิดที่ดีต่อสุขภาพ คนในสมัยโบราณรู้จักดีในฐานะอาหารที่ช่วยเยียวยาและฟื้นฟูสุขภาพร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นในยุโรปและเอเชียต่างก็คุ้นเคยกับการเคี่ยวซุปกระดูกกินเพื่อเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง แต่โบนบรอธนั้นต่างจากน้ำซุปหรือน้ำแกงทั่วไป เมื่อแช่เย็นแล้วจะไม่เป็นเจลาติน โดยโบนบรอธเป็นการนำโครงกระดูกที่มีส่วนของกระดูกอ่อน เอ็น และผักหลายชนิดมาเคี่ยวด้วยไฟต่ำนานกว่า 12 ชั่วโมงขึ้นไป จนกระทั่งกระดูกแตก จากนั้นเติมน้ำส้มสายชูหมักลงไปเพื่อช่วยในการสกัดเอาสารอาหารสำคัญ

 

การดื่มโบนบรอธจึงช่วยให้ข้อต่อระหว่างกระดูกและกล้ามเนื้อแข็งแรง สารช่วยบำรุงต่าง ๆ ช่วยสร้างเสริมระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายให้ทำงานเป็นปกติ และช่วยให้ผิวสวยและแข็งแรงได้ เพราะมีคอลลาเจน ซึ่งเป็นโครงสร้างของผิวหนัง จึงทำให้ผิวแข็งแรงและไม่ยุบตัว ช่วยชะลอการเสื่อมของผิวหนังได้ และมี Hyaluronic Acid ซึ่งเป็นตัวอุ้มน้ำให้กับผิว ช่วยให้ผิวนุ่ม ชุ่มชื้น และเปล่งปลั่งสดใส รวมถึงสุขภาพของเส้นผมและเล็บก็จะดีขึ้นด้วยเช่นกัน

 

การดื่มโบนบรอธเพื่อบำรุงผิวนั้น ในช่วงแรกควรดื่มวันละ 2-4 แก้ว เมื่อดื่มอย่างต่อเนื่องจนสุขภาพผิว เส้นผม และเล็บดีขึ้นแล้วค่อยลดปริมาณดื่มเพียงวันละ 1 แก้วเพื่อรักษาสภาพที่ดีโดยรวม

 

 

3.
Exosomes
พื้นฟูเซลล์ผิวให้อ่อนเยาว์ลึกถึงระดับนาโน

สำหรับใครที่รักสวยรักงามและขยันหาตัวเลือกใหม่ ๆ ในการดูแลผิวให้คงความอ่อนเยาว์อยู่เสมอน่าจะเคยได้ยินคำว่า เอ็กโซโซม (Exosome) มาสักพักแล้ว เพราะนี่คือนวัตกรรมในการฟื้นฟูและบำรุงร่างกายที่กำลังได้รับความนิยมขึ้นเรื่อย ๆ เพราะประโยชน์ของเอ็กโซโซมนั้นไม่ใช่แค่การช่วยฟื้นฟูผิวให้ดูอ่อนเยาว์ แต่ยังสามารถรักษาปัญหาหัวล้าน และลดอาการปวดเข่าได้อีกด้วย

 

ทั้งนี้ ด้วยความที่เอ็กโซโซมเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ยังไม่ได้มีการทดสอบอย่างแพร่หลายในวงกว้าง ทำให้ยังไม่ได้การรับรองจากองค์การอาหารและยา หรือ อย. อย่างเป็นทางการ ดังนั้น ก่อนจะใช้บริการฉีดเอ็กโซโซมจึงควรศึกษาข้อมูลล่วงหน้าให้มาก และพิจารณาคลินิกที่ให้บริการว่าทำการฉีดเอ็กโซโซมโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการจดทะเบียนจากแพทยสภา และมีความรู้ด้านนี้มากเพียงพอหรือไม่

 

หากเป็นไปได้ควรพิจารณาโรงงานผลิตว่ามีมาตรฐาน GMP PIC/S (Pharmaceutical Inspection Co-operation Scheme) ซึ่งเป็นมาตรฐานการผลิตยาหรือวัคซีนหรือ ที่สำคัญคือ เมื่อฉีดเอ็กโซโซมไปแล้ว ระวัง Placebo Effect หรือปรากฏการณ์ยาหลอก ซึ่งมักเกิดขึ้นเสมอเมื่อมีการฉีดสารใด ๆ เข้าไปในร่างกายเพื่อกระตุ้นการทำงานบางอย่าง ซึ่งมักเห็นผลดีในช่วงวันแรก ๆ ควรใจเย็น ๆ แล้ววัดผลในระยะยาวจะดีที่สุด

 

 

4.
Lymphatic Drainage
ขับของเสีย เพื่อผิวสวย ด้วยวิธีนวดกระตุ้นต่อมน้ำเหลือง

ตราบใดที่ผู้หญิงส่องกระจกแล้วยังพบปัญหาใต้ตาคล้ำ มีริ้วรอยตีนกา สิวฝ้า ผิวหน้าไม่สดใส และเริ่มหย่อนคล้อย การหาหนทางเพื่อแก้ปัญหาต่าง ๆ เหล่านั้นจึงยังคงดำเนินต่อไป แต่จะมีวิธีไหนที่ยั่งยืนเท่า การนวดกระตุ้นต่อมน้ำเหลือง (Lymphatic Drainage)

 

การนวดกระตุ้นต่อมน้ำเหลือง เป็นการนวดกระตุ้นตามจุดต่อมน้ำเหลือง เพื่อให้ร่างกายขับสารพิษออกมาตามท่อน้ำเหลืองทั้งในรูปแบบของเหงื่อหรือปัสสาวะ ซึ่งการขับของเสียออกจากร่างกายเป็นการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงขึ้น ลดอาการบวมน้ำ บรรเทาปัญหาริ้วรอย และบรรเทาอาการปวดหัวไมเกรนได้อีกด้วย

 

การนวดกระตุ้นต่อมน้ำเหลืองกำลังได้รับความนิยมในแวดวงความสวยความงามมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะเป็นการแก้ปัญหาผิวอย่างตรงจุด เนื่องจากทั้งปัญหาผิวหมองคล้ำ ผิวอ่อนแอแพ้ง่าย หรือปัญหาสิวล้วนมีสาเหตุจากระบบไหลเวียนโลหิตใต้ผิวหนังไม่ดี และมีของเสียตกค้างอยู่ในร่างกาย การเข้ารับบริการตามสปาหรือร้านนวดที่มีเธอราปิสต์เก่ง ๆ จึงเป็นทางออกแห่งความสบายกายและได้ผลลัพธ์เป็นผิวหน้าที่สวยตรงใจ ลองแวะไปใช้บริการนวดเดรนน้ำเหลืองได้ตามสปาชั้นนำเหล่านี้ อาทิ Destinare Thailand, Divana Scentuara Spa, Chiva-Som, THANN Wellness Destination ฯลฯ แล้วรอชื่นชมผลลัพธ์ของผิวที่ค่อย ๆ สุขภาพดีขึ้นได้เลย 

 

หรือจะฝึกนวดกระตุ้นต่อมน้ำเหลืองด้วยตัวเองก็ได้ มีวิธีกดจุดหัดนวดแบบง่าย ๆ ทำได้ทุกวัน อาจใช้หินกัวซาเป็นตัวช่วยก็ยิ่งได้ผิวที่สวย ใส ไม่หย่อนคล้อยเป็นของแถม

 

 

5.
NAD+ Booster
บูสต์วิตามินชะลอวัย

NAD+ เป็นอีกหนึ่งคำศัพท์ในแวดวงบิวตี้ที่จะได้ยินบ่อยขึ้นในปีนี้ เพราะเป็นกุญแจสำคัญแห่งการชะลอวัย โดยมีชื่อเต็มว่า นิโคตินาไมด์ อะดีนีน ไดนิวคลีโอไตด์ (Nicotinamide Adenine Dinucleotide) เป็นเอนไซม์ที่สามารถพบได้ในเซลล์ที่ส่งเสริมการเกิดใหม่ และเป็นสารสำคัญที่ช่วยซ่อมแซมอวัยวะในร่างกายซึ่งมีอยู่ในเราทุกคน แต่จะค่อย ๆ เสื่อมไปตามอายุขัย จึงเป็นที่มาของปัญหาสุขภาพต่าง ๆ

 

นักวิทยาศาสตร์เลยหาทางเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของ NAD+ ด้วยการเติมพลังงานแบบลงลึกถึงระบบเซลล์ด้วยกลุ่มวิตามินและแร่ธาตุสำคัญ ด้วยวิธี Vitamin Drip หรือให้วิตามินทางเส้นเลือด บางที่ก็เรียกว่า NAD+Therapy ซึ่งเป็นการให้ NAD+ ขนาดสูงทางหลอดเลือดดำ NAD+ จึงเข้าสู่กระแสเลือดโดยตรง เพื่อไปซ่อมแซมเซลล์ต่าง ๆ ทั่วร่างกายได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องผ่านการดูดซึมจากทางเดินอาหาร วิธีนี้จึงเป็นการฟื้นฟูสุขภาพและช่วยชะลอวัยที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ในปัจจุบัน

 

 

6.
Growth Factor Technology
จบทุกปัญหาผิวด้วย ‘เกล็ดเลือด’

Growth Factor เป็นโปรตีนที่มีฤทธิ์กระตุ้นเซลล์ต่าง ๆ ให้เจริญเติบโต ซ่อมแซมตัวเอง และสร้างสารจำเป็นได้ดี เช่น กระตุ้นให้เซลล์ผิวสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินเพื่อผิวสวย แข็งแรง หรือกระตุ้นรากขนให้สร้างเส้นขน เส้นผมที่ใหญ่ แข็งแรง และมีจำนวนเส้นที่มากขึ้น ดังนั้น Growth Factor จึงเป็นที่นิยมในการช่วยให้ผิวกลับมาเต่งตึง ผมกลับมาดกดำขึ้นเหมือนเมื่อครั้งอ่อนเยาว์นั่นเอง

 

ทั้งนี้ แหล่งที่สามารถสกัด Growth Factor ได้ง่ายและมีคุณภาพนั้นมาจาก ‘เลือด’ จึงเป็นที่มาของนวัตกรรมเพิ่มความเปล่งปลั่งสู่ผิวอย่าง PRP (PLATELET RICH PLASMA) ด้วยการนำเลือดของตัวเองมาปั่นแยก และคัดเฉพาะพลาสมาที่มีเกล็ดเลือด และ Growth factor เข้มข้น

 

เกล็ดเลือดที่ได้จากการทำ PRP ซึ่งเต็มไปด้วยโมเลกุล Growth Factor จะช่วยกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อ และสเต็มเซลล์เพื่อซ่อมแซมผิวหนังที่เสื่อมสภาพจากอายุที่มากขึ้น ปัญหาผิวหน้าจากมลภาวะที่ทำให้ผิวหน้าเหี่ยวย่น มีริ้วรอย มีโพรงใต้ผิวหนัง ดังนั้น เมื่อทำการฉีดกลับเข้าไปใต้ผิวหนังจึงเป็นการเติมเต็มและยกผิวที่เป็นโพรง จบปัญหาริ้วรอย หลุมสิว รวมถึงลดเม็ดสี ทำให้ผิวเรียบเนียน สีผิวสม่ำเสมอมากยิ่งขึ้น และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนไปในตัว ทั้งนี้ ควรเลือกรับบริการจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและสถานบริการที่ได้รับการขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องเพื่อความปลอดภัย

 

 

7.
AI Skincare
การแข่งขันของเทคโนโลยีสวยสั่งได้

แบรนด์สกินแคร์และเครื่องสำอางต่าง ๆ หันมาใช้ระบบ AI ในการประมวลผลสภาพปัญหาผิว และแนะนำผลิตภัณฑ์ที่แก้ไขปัญหาผิวแบบเฉพาะบุคคลมาได้สักพักใหญ่ โดยปี 2024 จะเป็นปีที่ AI เข้ามามีบทบาทมากขึ้นกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นการใช้ IOT (Internet of Things) ออกแบบสกินแคร์ให้เหมาะกับสภาพผิวในแต่ละวันแบบเรียลไทม์ แล้วประมวลผลออกมาเป็นครีมสูตรเฉพาะที่มีส่วนผสมที่ลงตัวที่สุด เหมาะกับสภาพผิวผู้ใช้งานในแต่ละวัน 

 

หรือนวัตกรรมของเครื่องลบริ้วรอยและจุดด่างดำเฉพาะจุด ที่เพียงแค่สแกน เครื่องก็จะวิเคราะห์และตรวจจับริ้วรอยหรือจุดด่างดำบนผิวหน้า แล้วเริ่มการบำรุงผิวด้วยมอยเจอไรเซอร์และซีรั่ม หลังจากนั้นจึงเริ่มปกปิดด้วยการเติมเมกอัพเฉพาะจุดให้โดยอัตโนมัติ ทั้งหมดนี้ทำงานผ่านระบบอัลกอริทึ่มที่มีความแม่นยำสูง จึงสามารถวิเคราะห์เม็ดสีผิว และเลือกเฉดสีที่เหมาะกับผู้ใช้แต่ละคนได้อย่างแม่นยำกว่าลงมือทำด้วยตัวเอง

 

ยังมีเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง เช่น กระจกอัจฉริยะที่ช่วยวิเคราะห์สภาพผิวหน้าอย่างละเอียดในแต่ละวัน ผ่านการสแกนใบหน้าด้วย AI พร้อมคำแนะนำในการดูแลผิวรายบุคคลผ่าน VDO ล้ำไปอีกขั้นด้วยการนำ AR (Augmented Reality) มาช่วยทดลองแต่งหน้าที่จะช่วยให้การตัดสินใจเลือกใช้เมกอัพง่ายขึ้นมาก ซึ่งเราเชื่อว่า AI Skincare จะไม่หยุดอยู่แค่นี้อย่างแน่นอน

 

 

อ้างอิง

  • Charlie Colville. 14 Skincare Trends Set To Take Over 2024. https://bit.ly/3tswtH3
  • Healthspans. Bone Broth คืออะไร ?. https://bit.ly/3NCNjty
  • Dawnavi. อย่าเยอะกับผิว. https://bit.ly/3TAKhdb
  • ToptoToe. ความรู้ Exosome ก่อนตัดสินใจฉีด. https://bit.ly/3vh01rw
  • Hello Magazine. รู้จักการนวด “Lymphatic Drainage” หนทางสู่ความงามจากภายในอย่างยั่งยืน!. https://bit.ly/3TAQxl7
  • นพ.ชาญเกียรติ ส่องสันติภาพ. PRP ฟื้นฟูเซลล์ผิวหน้าให้เปล่งปลั่ง ใบหน้ากระชับอ่อนเยาว์. https://bit.ly/3RyxvcH

SHARE

facebook
twitter
copy
Related articles / บทความที่เกี่ยวข้อง
Loading...