

ฝึกกำลังภายในด้วย Tai Chi วิถีเคลื่อนไหวร่างกายอย่างช้า ๆ พัฒนากายและใจให้แข็งแกร่ง
Health / Body
11 Apr 2025 - 5 mins read
Health / Body
SHARE
11 Apr 2025 - 5 mins read
“จากที่เดินหัวเอียง ตาปิดตอนลุกมาจากโต๊ะทำงาน พอได้ลองฝึกไทชิ รู้สึกได้ทันทีตั้งแต่ครั้งแรกที่ฝึกว่าสมองโล่งและเบาขึ้นมาก”
พิมลรัตน์ ทิศาภาคย์ หรือ ครูมล แห่งเพจ Tai Chi by Guru Mon เล่าถึงความมหัศจรรย์ของไทชิ หรือไทเก๊ก ที่เธอสัมผัสได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ลองร่ายรำด้วยท่วงท่าราวกับภาพยนตร์จีนกำลังภายใน
จากความมหัศจรรย์ราวกับได้ฝึกวิชาตัวเบาในครั้งแรก ต่อเนื่องสู่การฝึกไทชิเป็นประจำ ทำให้ครูมลค้นพบคำตอบของการที่ร่างกายรู้สึกผ่อนคลายขึ้น ทั้ง ๆ ที่กำลังใช้เรี่ยวแรงในการร่ายรำท่วงท่าต่าง ๆ ว่า
“การประคองลมหายใจให้ลึกและยาวตลอดชั่วโมง ทำให้เลือดลมที่อั้นอยู่สามารถไหลเวียนได้ดีขึ้น”
และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการฝึกฝนไทชิอย่างจริงจัง เพื่อตั้งใจส่งมอบศาสตร์แห่งการออกกำลังกายเพื่อเพิ่มพูนพลังชีวิตแก่ผู้คนในวงกว้าง ในฐานะครูสอนไทชิที่ยังคงไม่ทิ้งหมวกของการเป็นพนักงานประจำ โดยใช้ช่วงเวลาหลังเลิกงานและวันเสาร์ – อาทิตย์ในการสอนวิชาไทชิให้กับผู้ที่สนใจ
ครูมล - พิมลรัตน์ ทิศาภาคย์
จากคนที่ต้องกินยา 14 เม็ดต่อวัน หายได้ด้วยไทชิ
“มลป่วยง่ายมาตั้งแต่เด็ก ปวดท้องแทบจะถือเป็นโรคประจำตัวตั้งแต่เกิด จนตอนเรียนอยู่ ป. 6 ต้องไปกลืนแป้งเพื่อดูว่ากระเพาะเป็นอะไร โดยคุณหมอบอกว่าเราเป็นโรคเครียดลงกระเพาะ ซึ่งตอนนั้นก็ไม่เข้าใจว่าคืออะไร พอโตขึ้นถึงได้รู้ว่าตัวเองมีความเป็น Perfectionist เป็นคนจริงจัง มุ่งมั่น ทำอะไรก็ทำเต็มที่ทุกอย่าง เลยน่าจะเป็นที่มาของความเครียดที่นำมาซึ่งหลายโรค ทั้งปวดท้อง ปวดคอ บ่า ไหล่ ปวดตึงกล้ามเนื้อ ปวดเข่า รองช้ำ และหนักที่สุด คือ หูดับ จนต้องกินยา 14 เม็ดต่อวันตอนอายุ 30 ปี”
“ตลอดระยะเวลาที่ป่วยมาตั้งแต่เด็ก มลออกกำลังกายมาโดยตลอด ตั้งแต่เป็นนักวอลเลย์บอลโรงเรียนตั้งแต่ประถมจนถึงมัธยม พอเข้ามหาวิทยาลัยจนถึงวัยทำงานก็ยังคงออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังป่วยอยู่ เท่าที่สังเกตตัวเอง คือ หลังออกกำลังกายยังมีอาการมึนหัวจากการทำงานอยู่ เลือดลมก็ไม่ค่อยเดิน ที่ชัดที่สุดคือ เหงื่อไม่ออก แสดงให้เห็นว่าระบบเผาผลาญของเราไม่ดี ซึ่งถ้าพูดตามหลักไทชิกับชี่กง ก็คือ ชี่หรือลมปราณเดินไม่ดีนั่นเอง”
“จนกระทั่งที่ทำงานมีครูมาสอนไทชิหลังเลิกงาน มลเลยลองไปฝึกดู ปรากฏว่าหลังฝึกไทชิได้ 2-3 ครั้ง เรามีเหงื่อ จากที่เต้นแอโรบิกแล้วเหงื่อไม่ออกเลย แต่ฝึกไทชิชั่วโมงเดียว เหงื่อเปียกโชก และรู้สึกได้ถึงลมหายใจที่ Flow เลือดลมไหลเวียนดีขึ้นมาก ทำให้ระบบเผาผลาญดีขึ้นและดูมีน้ำมีนวลมากขึ้นตามไปด้วย”
“การได้สัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงของร่างกายโดยตรง ทำให้มลรู้สึกว่าไทชิเป็นการออกกำลังกายที่ดี จึงอยากเป็นตัวแทนในการส่งต่อศาสตร์การออกกำลังกายอายุเก่าแก่กว่าพันปีของจีนให้คนไทยได้รู้จักมากขึ้น”
หัวใจ 3 ประการของไทชิ
“ไทชิกับไทเก๊กคือสิ่งเดียวกัน ไทเก๊กเป็นภาษาจีนแต้จิ๋ว ไท่จี๋เป็นภาษาจีนกลาง ส่วนไทชิเป็นคำที่ฝรั่งใช้เรียกการออกกำลังกายชนิดนี้”
“หลักการของไทชิมีสามอย่างรวมกัน คือ การเคลื่อนไหวร่างกาย ลมหายใจ และจิตใจ ปกติเวลาเราออกกำลังกายทั่ว ๆ ไปจะใช้แค่ร่างกายกับลมหายใจ เช่น การเข้าคลาสแอโรบิกเน้นการใช้ร่างกายเป็นหลัก แทบไม่ได้โฟกัสลมหายใจ พอเป็นโยคะก็เริ่มมีเรื่องของลมหายใจเข้ามาเกี่ยวข้อง ส่วนไทชิจะมีเรื่องของจิตใจในการจินตนาการเวลาทำท่าต่าง ๆ เช่น ท่าม้าป่าแหวกขน เราก็ต้องจินตนาการว่ามือของเราเป็นขนที่ถูกแบ่งถูกปาดออกไป หรือท่ากระเรียนขาวขยับปีก ก็ต้องทำมือเหมือนปีกที่แผ่ออกไปอย่างสง่างาม ไม่ได้เป็นนกกระจอกตัวเล็ก ๆ”
“ไทชิเน้นไปที่การใช้จิตกำหนดและติดตามการเคลื่อนไหว โดยหลักการพื้นฐานที่สำคัญคือ การกำหนดแกนกลางของร่างกายให้ตรงอยู่เสมอ ศีรษะต้องเชื่อมไปถึงพลังฟ้า ไม่ว่าจะเคลื่อนไหวร่างกายในท่าไหน จิตต้องกำหนดรู้ว่าศีรษะตั้งตรงอยู่ไหม การเคลื่อนไหวยังคงช้าและต่อเนื่องอยู่รึเปล่า ระหว่างที่กำลังฝึกหากจิตหลุดออกไปนอกกาย เราต้องดึงสติกลับเข้ามาอยู่ที่กายเพื่อให้เห็นถึงการเคลื่อนไหวตลอดเวลา การรำไทชิจึงต้องทำอย่างช้า ๆ และมีสมาธิ”
ความลับที่ซ่อนอยู่ในการเคลื่อนไหวแช่มช้า
“ความสนุกของการฝึกไทชิอยู่ที่การมีชุดฝึกให้เลือกเรียนเยอะมาก ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่จำเป็นต้องเรียนให้ได้เป็นร้อยเป็นพันชุด เราสามารถเรียนชุดเดิมซ้ำ ๆ ไปเรื่อย ๆ ก็สนุกได้ เพราะในแต่ละวันที่ฝึกร่างกายจะค่อย ๆ เกิดพัฒนาการที่ดีขึ้น เช่น จากที่เคยย่อตัวลงมาได้เซนเดียว ก็จะย่อได้มากขึ้นและรู้สึกตัวเบาลง เพราะร่างกายมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงขึ้น หรือการเคลื่อนไหวแขนจากเดิมที่อาจจะเกร็งหรือตึง พอฝึกไปเรื่อย ๆ ไปก็จะเริ่มผ่อนคลาย จนสามารถเริ่มโยนลูกบอลที่มองไม่เห็นได้ในที่สุด”
“ที่สำคัญ คือ ได้เรื่องของพลังภายในจากการเชื่อมโยงพลังจักรวาล หรือพลังดินกับฟ้าที่จะค่อย ๆ สั่งสมไปเรื่อย ๆ ในการฝึกครั้งแรก ๆ ผู้ฝึกจะยังไม่รู้สึกถึงพลังชี่หรือพลังลมปราณที่เดินอยู่ในตัว แต่พอฝึกไปเรื่อย ๆ จะสัมผัสได้ถึงเลือดลมเดินที่ฝ่ามือ เราจะรู้สึกได้ว่านี่ไม่ใช่การยกแขนขึ้นเฉย ๆ แต่เป็นการถูกลูกบอลที่เรามองไม่เห็นดันฝ่ามือของเราขึ้นมา”
“คนทั่วไปมักมองว่าการเคลื่อนไหวช้า ๆ ไม่ทำให้เหนื่อย หรือไม่ต้องใช้แรง แต่ที่จริงแล้วการเคลื่อนไหวช้า ๆ ทั้งเหนื่อยและใช้แรงเยอะมาก การที่ไทชิเน้นความช้าก็เพื่อเป็นการเสริมสร้างกล้ามเนื้อในการป้องกันการหกล้ม ไทชิจึงเป็นกีฬาที่ผู้สูงวัยฝึกได้ ไม่ต้องกลัวล้ม ซึ่งก็น่าจะเป็นเหตุผลที่คนอายุน้อยไม่สนใจที่จะฝึกไทชิ เพราะเขาคิดว่าศักยภาพของตัวเองยังไม่ถึงวัยที่ต้องระมัดระวังการหกล้ม ดังนั้น ทำไมต้องเลือกมาเรียนไทชิ สู้ไปเล่น Body Combat หรือ Weight Training ที่ฟิตเนสสนุก ๆ ดีกว่า”
ทำไมคนวัยทำงานจึงควรฝึกไทชิ
“ไทชิไม่ใช่การออกกำลังกายที่เหมาะสำหรับผู้สูงวัยเท่านั้น หากเริ่มต้นฝึกไทชิตั้งแต่ยังอยู่ในวัยทำงานจะได้เปรียบมากกว่า เพราะร่างกายยังมีศักยภาพอยู่มาก ไม่ว่าจะเป็นการก้าวขา ยกขา หันหน้า หมุนตัว ฯลฯ จะสามารถทำได้ดี เพราะมีทั้งความแข็งแรงและความยืดหยุ่น”
“อีกเหตุผลสำคัญคือ การฝึกไทชิต้องใช้ความจำเยอะ เนื่องจากเป็นกระบวนท่าที่มีแพทเทิร์น เมื่อเริ่มท่าที่ 1 แล้วต้องทำต่อเนื่องไปจนจบท่าที่ 10 ไม่สามารถข้ามไปอีกท่าได้ ไม่อย่างนั้นจะรำไม่จบกระบวนท่า ดังนั้น ผู้ฝึกที่ความจำไม่ดีจะฝึกไทชิได้ยาก เพราะต้องจำทั้งท่าทางและความต่อเนื่องของแต่ละท่า ดังนั้น การเริ่มฝึกไทชิตั้งแต่เป็นวัยรุ่นหรือวัยทำงานจะได้เปรียบทั้งความแข็งแรง ความยืดหยุ่น และความจำ”
ฝึกไทชิเป็นประจำแล้วได้อะไร
“ประโยชน์ที่จะได้จากการฝึกไทชิเป็นประจำ คือ จะมีสมาธิ มีสติ รู้ตัว เพราะเมื่อไรที่จิตวอกแวกจะทำท่าผิดทันที และที่สำคัญ คือ ได้ความผ่อนคลายจากลมหายใจที่ลึกและยาว ซึ่งจริง ๆ แล้วแค่การหายใจให้ลึกและยาวก็ทำให้รู้สึกเหนื่อยแล้ว เพราะปกติคนเราไม่ได้หายใจลึกและยาวขนาดนี้”
“นอกจากนี้ การฝึกไทชิเป็นประจำยังช่วยสนับสนุนการเล่นกีฬาประเภทอื่นให้ดีขึ้น อย่างตัวมลเอง เมื่อก่อนแม้จะออกกำลังกายเป็นประจำ แต่ไม่มีแรง วิ่งแค่กิโลเดียวก็เหนื่อยแล้ว แต่หลังจากฝึกไทชิสม่ำเสมอรู้สึกถึงเรี่ยวแรงมากขึ้น สามารถวิ่งสิบกิโลได้สบาย ๆ ทั้งยังทำให้เรารู้จักมัดกล้ามเนื้อมากขึ้น เพราะไทชิใช้การเคลื่อนไหวร่างกายเป็นส่วน ๆ อย่างต่อเนื่อง คนที่ฝึกไทชิและโยคะควบคู่กันจึงสามารถเข้าท่าโยคะได้ดีกว่าเดิม”
“ลูกศิษย์ของมลคนนึงเป็นนักฟุตบอล เขามักจะปวดก้นและปวดสะโพก หลังจากฝึกไทชิเป็นประจำ ซึ่งเน้นเรื่องการควบคุมแกนกลางของร่างกายเยอะ ทำให้เขาหายปวด และเคลื่อนที่ได้ดีขึ้นมาก”
ข้อปฏิบัติในการฝึกไทชิ
1. ฝึกในพื้นที่โปร่ง อากาศถ่ายเท การฝึกไทชิต้องอาศัยการเชื่อมโยงกับพลังดินและพลังฟ้า ตามหลักปรัชญาไทชิพื้นที่ในการฝึกที่ดีนั้นข้างหน้าควรเป็นน้ำ และข้างหลังเป็นภูเขา เราจึงมักเห็นการฝึกไทชิตามสวนสาธารณะเป็นส่วนใหญ่ หรือพื้นที่โล่ง ๆ ที่อากาศถ่ายเทได้สะดวกที่สุด อีกทั้งควรเลือกพื้นที่ที่มีลมพัดผ่าน และเป็นพื้นที่ราบไม่ขรุขระ ไม่ชันหรือเอียง
2. สวมเสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี ไม่สวมเสื้อผ้ารัดรูป เน้นชุดที่โปร่ง สบาย สะดวกในการขยับร่างกาย
3. สวมรองเท้าพื้นเรียบ ไม่ควรสวมรองเท้าผ้าใบที่มีแผ่นนูนเสริมบริเวณฝ่าเท้า เพราะอาจทำให้ยืนหรือเคลื่อนไหวได้ไม่ดี สามารถฝึกด้วยเท้าเปล่าได้บนพื้นที่มั่นใจว่าสะอาด
4. วอร์มอัพก่อนและหลังฝึกเสมอ อย่าคิดว่าการเคลื่อนไหวช้า กล้ามเนื้อคงไม่ได้ใช้มาก จริงๆ จะต้องวอร์มอัพและคูลดาวน์ด้วย เพราะใช้กล้ามเนื้อค่อนข้างเยอะ
5. ดื่มน้ำอุณหภูมิห้อง ไม่ควรดื่มน้ำเย็นทั้งก่อนและหลังฝึก แต่ควรดื่มน้ำอุณหภูมิห้องดีที่สุด เพื่อที่ร่างกายจะได้ไม่ต้องทำงานหนักเกินไป
6. ไม่ตากแอร์หรือพัดลมหลังฝึก หลังออกกำลังกายเสร็จใหม่ ๆ รูขุมขนทั้งร่างกายจะเปิดเพื่อระบายเหงื่อ ความร้อน ในขณะเดียวกันก็เป็นช่องทางในการรับเชื้อโรคต่าง ๆ เข้าสู่ร่างกายได้ง่าย ควรปล่อยให้รูขุมขนหดตัวเองตามธรรมชาติ
เรียนรู้การฝึกไทชิเพิ่มเติมได้ทาง Facebook : Tai Chi by Guru Mon