

ทำอย่างไรถ้าใจอยากมั่นคง ? สร้างความแกร่งให้ใจเข้มแข็งด้วย 5 เทคนิคจิตวิทยาเปลี่ยนชีวิต
Health / Mind
11 Sep 2025 - 3 mins read
Health / Mind
SHARE
11 Sep 2025 - 3 mins read
‘จิตใจที่มั่นคงและแข็งแกร่ง’ สำคัญกับชีวิตมากกว่าที่คิด
เคยสงสัยไหมว่า หากต้องเผชิญเรื่องท้าทายหรือเหตุการณ์ยากลำบากใด ๆ ที่ถาโถมเข้ามาในชีวิต ทำไมแต่ละคนถึงมีวิธีการรับมือที่แตกต่างกัน ?
บางคนสามารถรับมือกับปัญหาเหล่านี้ให้คลี่คลายได้อย่างง่ายดาย ต่อให้เป็นเรื่องใหญ่ที่สร้างความหนักใจได้มากแค่ไหน ก็ไม่เคยแสดงท่าทีหวาดหวั่นหรือตื่นตระหนก
ขณะที่บางคน แม้เจอปัญหาเล็กน้อย กลับจะทำให้ร้อนรนจนออกอาการกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด กลายเป็นคนเครียดง่ายและวิตกกังวลบ่อย เพราะไม่รู้ว่าต้องจัดการปัญหาที่ประสบอยู่อย่างไร
สิ่งสำคัญที่ทำให้บางคนรับมือและจัดการกับทุกเหตุการณ์ได้ดีกว่า จึงอยู่ที่ ‘ใจ’ และต้องเป็น ‘ใจที่มั่นคงและแข็งแกร่ง’ เพื่อให้พร้อมฝ่าฟันทุกปัญหาได้อย่างราบรื่น
แต่คำถามที่ตามมาก็คือ คนที่มีใจเปราะบางและอ่อนไหวง่าย ควรจะต้องทำอย่างไรให้ตัวเองได้เป็นเจ้าของหัวใจที่มั่นคงและแข็งแกร่ง ?
LIVE TO LIFE ขอแนะนำให้รู้จักกับ เทคนิคจิตวิทยา 5 ข้อ เหมาะสำหรับใช้สร้างความมั่นใจ และเพิ่มความเข้มแข็งให้ใจหนักแน่น เพราะจิตใจที่มั่นคง จะช่วยให้ทุกคนใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข ผ่านพ้นทุกอุปสรรคและความล้มเหลว และสามารถก้าวไปสู่เป้าหมายหรือความสำเร็จที่ตั้งใจเอาไว้ได้
เทคนิคที่ 1
Worry Time
ช่วงเวลาสั้น ๆ นี่แหละ กังวลใจได้เต็มที่
เคยเป็นไหม ? เมื่อเจอเรื่องแย่ ๆ หรือเรื่องไม่คาดฝันที่ไม่เป็นไปตามใจหวัง เรื่องไม่ดีเหล่านั้นมักกวนใจของเราเป็นเวลานาน จนทำให้รู้สึกกังวลใจหรือวุ่นวายใจได้ตลอดเวลาที่นึกถึง เช่น หากเจอเรื่องไม่สบอารมณ์ตั้งแต่เช้า เป็นไปได้ว่า ทั้งวันของวันนั้นจะกลายเป็นวันที่เรารู้สึกไม่มีความสุข จะทำอะไรก็ทำได้ไม่เต็มที่ โดยเฉพาะเรื่องงาน เพราะว่าใจยังคิดถึงแต่เรื่องไม่ดีที่พบเจอตอนเช้า
แต่ต่อให้เราเตรียมพร้อมและเตรียมตัวมาอย่างดีแค่ไหน ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างรอบตัวจะราบรื่นเสมอไป อาจมีเหตุการณ์แย่ ๆ เกิดขึ้นได้เสมอ ซึ่งเป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของเรา จึงจะดียิ่งกว่า ถ้าเราเลือกควบคุมใจและปรับความรู้สึกไม่ให้จมดิ่งอยู่กับเรื่องที่ทำให้ทุกข์
Worry Time เป็นเทคนิคจิตวิทยาที่ใช้ในการบำบัดความคิดและพฤติกรรม หรือ CBT (Cognitive Behavioral Therapy) มีหลักการง่าย ๆ คือให้กำหนดช่วงเวลาสั้น ๆ ประมาณ 15-30 นาที ที่แน่นอนเอาไว้ในทุก ๆ วัน เพื่อปล่อยให้ตัวเองทบทวนถึงเรื่องที่กังวลใจได้เต็มที่
เช่น กำหนด Worry Time เอาไว้ที่ช่วงเวลา 21.00-21.30 น. หากเกิดความกังวลถึงเรื่องอะไรก็ตามในเวลาอื่น ให้จดบันทึกความกังวลนั้นไว้ก่อน แล้วบอกตัวเองว่า “จะอนุญาตให้ตัวเองกังวลเรื่องนี้ได้ก็ต่อเมื่อ ถึงช่วงเวลา 21.00-21.30 น. เท่านั้น”
เมื่อถึงเวลา ให้ไล่อ่านความกังวลที่จดไว้ แล้วคิดทบทวนว่า เรื่องกังวลใจเหล่านี้ สามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีใดบ้าง หรือเป็นเรื่องที่ต้องปล่อยวางว่าอยู่นอกเหนือการควบคุมของเรา นั่นหมายความว่า ขืนกังวลใจไปก็ทำให้ตัวเองทุกข์ใจเปล่า ๆ
เทคนิค Worry Time จึงช่วยให้มีสติ ป้องกันไม่ให้ความกังวลครอบงำจิตใจตลอดเวลา เพราะสามารถจัดลำดับความสำคัญได้ว่า เรื่องไหนสำคัญจริง ๆ เรื่องไหนเป็นเพียงแค่ความคิดฟุ้งซ่านหรือความกังวลแง่ลบที่รบกวนจิตใจในระหว่างวัน
เมื่อฝึกตัวเองด้วยเทคนิคนี้บ่อย ๆ จะเกิดการเรียนรู้ว่า ความกังวลไม่ใช่สิ่งที่ต้องรีบแก้ไขทันที แต่เลื่อนไปจัดการในช่วงเวลาที่เหมาะสมได้ ผลลัพธ์คือทำให้เครียดน้อยลง ใจสงบนิ่งและมั่นคงขึ้นมาก ถือเป็นเคล็ดลับสู่ความสำเร็จได้ด้วย เพราะทุกความสำเร็จ ล้วนต้องการใจที่นิ่งและมั่นคงเสมอ
เทคนิคที่ 2
Reframe Game
แก้เรื่องแย่ให้เป็นเรื่องดี แค่ลองมองมุมใหม่
เหรียญมีสองด้านฉันใด ทุกเหตุการณ์ย่อมมองได้สองด้านฉันนั้น คือด้านบวกและด้านลบ อยู่ที่ว่าตัวเราจะเลือกมองมุมไหน โดยเฉพาะในตอนที่ต้องพบเจอกับคนนิสัยไม่ดีหรือเหตุการณ์แย่ ๆ หากจิตใจยังไม่หนักแน่นมากพอ เป็นไปได้สูงว่าคนคนนั้นจะผูกใจยึดติดอยู่กับความคิดด้านลบ แล้วตำหนิหรือโทษตัวเองซ้ำ ๆ ว่า “เป็นเพราะตัวเองยังไม่ดีพอ จึงสมควรแล้วที่ต้องเจอเรื่องไม่ดีบ่อย ๆ”
Reframe Game จึงเป็นเทคนิคจิตวิทยาที่ช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างตรงจุด เพราะมุ่งเตือนสติไม่ให้เราตกหลุมพรางของ ความคิดด้านลบอัตโนมัติ (Automatic Negative Thoughts) ซึ่งมักจะเกิดขึ้นมาเองโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำให้มุมมองของเราที่มีต่อเหตุการณ์เหล่านั้นบิดเบือนไปจากความจริงที่ควรจะเป็น จนสร้างผลกระทบทางจิตใจตามมาได้ เช่น วิตกกังวล เศร้า และไม่ภูมิใจในตนเอง
หลักการของเทคนิค Reframe Game คือ การท้าทายตัวเองโดยคิดเป็นเกมสนุก ๆ ว่า ทุกครั้งที่เจอกับเหตุการณ์แย่ ๆ ให้พลิกมุมกลับปรับมุมมองใหม่ เพื่อเปลี่ยนกรอบความคิดให้เป็นกลางหรือเป็นในด้านบวกแทน ช่วยให้ไม่เสียใจ ไม่คิดลบ และไม่ต้องรู้สึกแย่
เช่น หลังจากถูกหัวหน้าตำหนิว่ายังทำงานได้ไม่ดี หากจิตใจยังไม่มั่นคงมากพอที่จะรับมือกับเหตุการณ์นี้ได้ จะเกิดความคิดด้านลบอัตโนมัติที่ซ้ำเติมตัวเองทันทีว่า “ฉันมันแย่ ทำอะไรก็ไม่ดีสักอย่าง” ซึ่งทำให้ทุกอย่างแย่ลง กลายเป็นความสิ้นหวังที่ยังไม่ได้คิดหาวิธีแก้ไขปัญหาให้ดีขึ้น
จึงควรใช้เทคนิค Reframe Game ทันที โดยบอกตัวเองใหม่ว่า “หยุดก่อน การตำหนิตัวเองไม่ได้ช่วยอะไร” ให้ใช้ความคิดมองเหตุการณ์นี้ด้วยสติอีกครั้ง เช่น คิดว่าคนที่ไม่เคยทำผิดพลาดคือคนที่ไม่เคยทำอะไรเลย เมื่อแก้ไขข้อผิดพลาดแล้ว ให้ถือเป็นบทเรียน เพื่อตัวเราเองจะได้พยายามมากขึ้นในครั้งต่อ ๆ ไป เพราะเราต้องเรียนรู้และพัฒนาตัวเองอยู่ตลอด ในอีกมุมหนึ่ง ถือเป็นโอกาสที่จะได้พิสูจน์ตัวเองให้หัวหน้าเห็นว่า เราไม่ได้นิ่งนอนใจ แต่มุ่งมั่นพยายามทำงานให้ดีขึ้น และไม่ผิดพลาดซ้ำสอง
จากตัวอย่างจะเห็นได้ชัดเจนว่า เทคนิค Reframe Game ไม่เพียงช่วยทำลายความคิดด้านลบอัตโนมัติที่เรามักจะเผลอคิดไม่ดีต่อตัวเองในทันทีที่เจอเรื่องแย่ ๆ แต่ยังสร้างพลังใจในการหันมาให้ความสำคัญกับการหาทางแก้ปัญหาหรือพัฒนาตัวเองอย่างจริงจัง ในทุก ๆ ครั้งที่ทำตามเทคนิค Reframe Game ได้สำเร็จ จะยิ่งรู้สึกแข็งแกร่งและมีใจที่มั่นคงมากขึ้น เป็นเพราะว่าตัวเราเองไม่ได้เป็นเหยื่อของเหตุการณ์ไม่ดีและความคิดด้านลบอัตโนมัติอีกต่อไป
เทคนิคที่ 3
The Tetris Effect
ฝึกฝนใจและสมอง ให้จดจำแต่เรื่องดี
ถึงแม้ว่า Tetris จะเป็นเกมคลาสสิกที่คน Gen Y รู้จักและเคยเล่นมาก่อน แต่คำถามคือ เกมตัวต่อรูปทรงลูกบาศก์นี้เกี่ยวข้องกับเทคนิคจิตวิทยาที่ช่วยให้ใจมั่นคงและแข็งแกร่งได้อย่างไร ?
ย้อนกลับไปในปี ค.ศ. 2000 ทีมวิจัยของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ทดลองให้นักศึกษาเล่นเกม Tetris วันละ 7 ชั่วโมงเป็นเวลา 3 วันติดต่อกัน เพื่อศึกษาการทำงานของสมอง แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับน่าสนใจเกินคาด เพราะว่ามีนักศึกษาจำนวน 63% เห็นภาพในเกมติดตาจนเก็บไปฝัน และเมื่อเห็นวัตถุที่มีรูปร่างคล้ายตัวต่อทรงลูกบาศก์ เช่น ผนังอิฐ ก็จะเกิดความคิดอยากต่อวัตถุนั้นเหมือนกับตอนที่กำลังเล่นเกม
นักจิตวิทยาจึงเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า The Tetris Effect เมื่อเราทำสิ่งใดซ้ำ ๆ เป็นเวลานาน ๆ จนสร้างภาพจำให้สมอง (Afterimage) สมองก็จะเลือกสนใจแต่สิ่งนั้น เหมือนเราตั้งค่าสมองใหม่ให้จดจำและใส่ใจเฉพาะบางสิ่งที่มีความสำคัญต่อตัวเรามากเป็นพิเศษ
จากปรากฏการณ์นี้ จึงต่อยอดมาเป็นเทคนิคจิตวิทยาในชื่อเดียวกัน โดยมีหลักการว่า ท่ามกลางข้อมูลหลากหลายที่สมองรับรู้ได้ ให้เราเลือกสนใจและจดจำสิ่งที่ทำให้มีความสุขหรือพลังดี ๆ ที่เป็นแรงบันดาลใจให้ชีวิต แล้วเพิกเฉยต่อเหตุการณ์ไม่ดีที่บั่นทอนใจ เพื่อฝึกสมองและใจให้ทำงานเป็นเครื่องกรองที่เลือกกรองแต่เรื่องดี ๆ เอาไว้
เช่น เมื่อก่อนเคยมองโลกในแง่ลบ เป็นคนเครียดง่ายและไม่มีความสุข เพราะสมองคุ้นชินกับการเลือกสนใจแต่ปัญหาและสิ่งที่รบกวนใจ ในทางตรงกันข้าม หากใช้เทคนิค The Tetris Effect ฝึกสมองและใจให้โฟกัสแต่สิ่งดีบ่อย ๆ เพื่อให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของจิตใต้สำนึก ควบคู่กับการเขียน Gratitude Journal หรือบันทึกเรื่องราวดี ๆ ที่พบเจอเอาไว้ไม่ให้ตัวเองลืม เพื่อเตือนใจว่าสิ่งดีเกิดขึ้นกับเราได้ทุกวัน
เมื่อฝึกใจและสมองให้ใช้เทคนิค The Tetris Effect อย่างสม่ำเสมอ ใจและสมองจะปรับตัวใหม่ได้ในที่สุด ทำให้มองเห็นภาพของความสุขและพลังดี ๆ ที่ช่วยเปลี่ยนตัวเราเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีได้ด้วยใจที่มั่นคงแข็งแรงโดยไม่ต้องพยายาม นอกจากนี้ยังทำให้รับมือกับความท้าทายต่าง ๆ ได้อย่างไม่กังวลใจเหมือนก่อนหน้านี้ด้วย
เทคนิคที่ 4
Resilience
ติดสปริงให้ใจ ล้มกี่ครั้งก็ไม่เป็นไร
ลองจินตนาการว่า หากผลลัพธ์จากความตั้งใจทำอะไรสักอย่าง กลับกลายเป็นความล้มเหลวที่ยังห่างไกลจากคำว่าสำเร็จ หรือเป็นความสูญเสียและความผิดพลาดครั้งใหญ่ในชีวิตที่ไม่คาดฝัน ถึงตอนนั้น คุณจะทำอะไรเพื่อให้ชีวิตก้าวไปต่อได้ ?
นอกจากความเศร้าเสียใจที่เกิดขึ้น ทุกคนคงตอบตัวเองได้ว่า เมื่อล้มก็ต้องลุกให้ไว แต่น่าแปลก ! พอตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากเช่นนี้จริง ๆ ถึงได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เราจะพยุงหรือประคองใจให้กลับมาเหมือนเดิมภายในเวลาสั้น ๆ หากจิตใจในตอนนั้นยังไม่เข้มแข็งและมั่นคงมากพอ
ถึงอย่างนั้น ยังมีคนอีกมากมายที่ไม่ปล่อยให้ตัวเองเสียใจกับความล้มเหลวนานเกินไป ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหน ก็สามารถฟื้นตัวจากความทุกข์ได้อย่างรวดเร็ว เป็นเพราะว่ามี Resilience หรือ ความยืดหยุ่นทางจิตใจ ซึ่งในทางจิตวิทยา ถือเป็นทั้งทักษะและความสามารถรูปแบบหนึ่งที่ช่วยให้ทุกคนรับมือกับทุกความเปลี่ยนแปลงและความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นมาในชีวิตได้อย่างอยู่หมัด
เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจน นักจิตวิทยาส่วนใหญ่จึงมักเปรียบเทียบ Resilience เหมือนกับ ‘สปริง’ ที่แม้จะถูกบางสิ่งกดทับเอาไว้ แต่ท้ายที่สุดแล้ว ก็จะเด้งกลับคืนสู่สภาพเดิมได้เสมอ หมายความว่า ต่อให้ล้มอีกกี่ครั้ง ก็ปรับตัวและรับมือกับความล้มเหลวได้ทุกครั้ง หรือไม่ก็เปรียบเป็น ‘ต้นไม้ที่ต้องเจอลมพายุโหมกระหน่ำ’ หากมีรากแข็งแรงหยั่งลึกลงดิน ต้นไม้ต้นนั้นย่อมยืนต้นอยู่ได้อย่างมั่นคง
ใจคนก็เช่นเดียวกัน สมมุติสถานการณ์ว่า มีโอกาสได้ไปสัมภาษณ์งานในฝันมา ซึ่งคาดหวังเอาไว้มาก ๆ แต่ผลลัพธ์สุดท้ายกลับไม่ได้รับเลือกให้ทำงาน คนที่ไม่มี Resilience จะรู้สึกท้อแท้ สิ้นหวัง และคิดว่าตัวเองไม่มีความสามารถ ความคิดไม่ดีเหล่านี้จะทำให้หยุดพยายามและไม่กล้าสมัครงานที่อื่นอีก ส่วนคนที่มี Resilience จะรู้สึกเสียใจและผิดหวังเป็นเรื่องปกติ แต่จะสามารถฟื้นตัวได้ใหม่ในเวลาไม่นาน
Resilience จึงเป็นทักษะสำคัญที่ทำให้ใจมั่นคง ซึ่งทุกคนต้องฝึกฝนและพัฒนาด้วยตัวเอง เพราะไม่ใช่สิ่งที่มีติดตัวมาแต่เกิด โดยใช้เทคนิคง่าย ๆ เช่น บอกตัวเองว่า “ล้มครั้งนี้ ไม่ได้แปลว่าชีวิตจะต้องจบสิ้น ยังมีงานอื่น ๆ อีกมากมาย ลองสมัครงานใหม่และพยายามให้มากกว่าเดิมดีกว่า” หรือ “คนเราผิดพลาด ผิดหวังได้ ไม่เห็นเป็นไร” เพื่อเรียนรู้ความล้มเหลว แล้วเปลี่ยนความทุกข์ ความเจ็บปวดเป็นพลังที่ฝึกใจให้มั่นคง
เทคนิคที่ 5
Winning Mindset
เมื่อใจเชื่อว่าชนะ ทุกอย่างจะลุล่วง
ธรรมชาติอย่างหนึ่งของมนุษย์ คือ สามารถลงมือทำในสิ่งที่ตัวเองคิดและเชื่อ เพราะมีแรงจูงใจที่ปลุกพลังและเติมเชื้อไฟให้ยังคงมุ่งมั่นอยากทำสิ่งนั้นจนสำเร็จ แม้จะต้องฝ่าฟันอุปสรรคหรือความท้าทายมากมายแค่ไหนก็ไม่เคยท้อถอยง่าย ๆ
เลือดนักสู้ที่ไหลเวียนทั่วร่างกาย ซึ่งไม่ได้มีเหมือนกันทุกคนนี้เอง คือสิ่งสำคัญที่ช่วยเพิ่มความเป็นไปได้ให้ชีวิตประสบความสำเร็จหรือบรรลุเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ เพราะว่าความสำเร็จที่แท้จริงไม่ได้ขึ้นอยู่กับโชคชะตาหรือพรสวรรค์เพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากความเพียรพยายาม การเรียนรู้จากความผิดพลาด การลองผิดลองถูก และการฝึกฝนตนอย่างต่อเนื่องด้วย Winning Mindset
Winning Mindset หรือ กรอบความคิดแบบผู้ชนะ เป็นเทคนิคจิตวิทยาที่ทำให้ใจไม่ยอมแพ้และทำให้เราเอาชนะใจตัวเองได้ โดยอาศัยหลักการง่าย ๆ ว่า เมื่อใจเชื่อมั่นในชัยชนะ ตัวเราก็จะเตรียมความพร้อมและทำทุกอย่างเพื่อคว้าเอาชัยชนะนั้น หรือต่อให้ไม่ชนะ ก็ไม่รู้สึกล้มเหลวจนหมดใจสู้ แต่จะนำไปเป็นบทเรียนเพื่อพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้น เพราะ Winning Mindset ไม่ใช่การบังคับหรือกดดันตัวเองว่าต้องชนะทุกครั้ง
กรอบความคิดแบบผู้ชนะจึงเป็นเทคนิคจิตวิทยาที่ให้ความสำคัญกับทัศนคติและกระบวนการฝึกฝนตัวเอง มากกว่าผลลัพธ์ เพราะถ้าทุ่มสุดตัวพยายามตั้งใจอย่างเต็มที่แล้ว ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร ก็ไม่มีอะไรให้เสียดายหรือเสียใจอีกแล้ว
เช่น แข่งขันอะไรสักอย่างแล้วไม่ชนะ คนที่จิตใจไม่มั่นคงจะคิดกับตัวเองว่า “ทำอะไรก็ไม่สำเร็จเหมือนคนอื่น” ความคิดตำหนิตัวเองแบบนี้ จะบั่นทอนจิตใจและทำให้ไม่เกิดการพัฒนาตัวเอง ตรงกันข้ามกับคนที่ใช้เทคนิค Winning Mindset จะให้กำลังใจตัวเองว่า “ฉันยังไม่เก่งพอ แต่ฉันจะพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้นได้” มีจุดไหนที่ต้องปรับปรุงหรือฝึกฝนเพิ่มบ้าง คือยอมรับในความผิดพลาดและพ่ายแพ้ แต่ไม่เคยมองว่าตัวเองล้มเหลว
ดังนั้น Winning Mindset จึงไม่ใช่แค่การอยากเอาชนะคนอื่น แต่เป็นการเอาชนะขีดจำกัดของตัวเอง ซึ่งทำให้ตัวเรามีทัศนคติที่พร้อมจะเติบโตและพัฒนาต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ถือเป็นรากฐานของใจที่มั่นคง และช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางจิตใจที่ทำให้รับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้ดีขึ้น
ในท้ายที่สุด เมื่อทุกคนฝึกฝนจิตใจให้มั่นคงและแข็งแกร่งได้ด้วยเทคนิคจิตวิทยาทั้ง 5 ข้อนี้ ไม่ว่าโลกจะเหวี่ยงให้พบเจอกับเรื่องอะไร ขอให้มั่นใจได้เลยว่าจะรับมือสิ่งนั้นได้อย่างมีสติ แล้วก้าวต่อไปข้างหน้าได้อย่างสง่างาม เพราะความสุขและความสำเร็จที่แท้จริงขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของจิตใจที่เราเป็น
อ้างอิง
- American Psychological Association. Building your resilience. https://bit.ly/42ewTyL
- Meridith Elliott Powell. The Power of a Winning Mindset – How To Build The Mindset of A Winner. https://bit.ly/3V5GeFq
- Sam Aberdeen. The Great (and Scary) Psychology of The Tetris Effect. https://bit.ly/46bOlp5
- Sanjana Gupta. Worry Time: The Benefits of Scheduling Time to Stress. https://bit.ly/4662u6X
- Seth Shugar. The Reframe Game: The Art of Turning Obstacles into Opportunities. https://bit.ly/41ImgUP
