

Productive เกินพอดีมีแต่เครียด ลอง Idleness ปล่อยวางให้ใจนิ่ง สิ่งเล็ก ๆ ที่เพิ่มสุขให้ชีวิต
Health / Mind
21 Jan 2025 - 3 mins read
Health / Mind
SHARE
21 Jan 2025 - 3 mins read
‘เร็วไม่ว่า แต่ต้องช้าให้เป็น’
เชื่อเถอะ ! ไม่มีประโยคไหนจะช่วยเตือนใจคนทำงานได้ดีเท่าประโยคนี้อีกแล้ว โดยเฉพาะคนทำงานที่กำลังตกอยู่ในวังวนของกระแส Productive
เพราะโลกของการทำงาน ยังคงยกย่องคนที่ทำงานหนัก เพราะน่าจะเป็นหนทางสู่ความสำเร็จในอาชีพการงาน คนส่วนใหญ่จึงกระตือรือร้น พยายามทุ่มเท และโหมทำงานตัวเป็นเกลียว โดยหลงลืมไปว่า ‘อะไรก็ตามที่มากเกินพอดี ย่อมไม่ส่งผลดี’
LIVE TO LIFE เชื่อว่าในระยะยาวคงไม่มีใครอยากให้ชีวิตและสุขภาพต้องพังไม่เป็นท่าเพราะการทำงานหนัก จากกระแสความนิยมการทำงานแบบ Productive จึงตีกลับเป็นขั้วตรงข้ามที่เรียกว่า Productively Unproductive หรือ Idleness สิ่งนี้เอง คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ช่วยเยียวยาใจคนวัยทำงานให้กลับมามีชีวิตของตัวเองและมีความสุขได้อีกครั้ง
ความหมายของ Idleness ที่ต้องรู้
สิ่งเล็ก ๆ ที่ดีต่อใจคนวัยทำงาน
หากลองค้นหาความหมายของ Idleness จะหมายถึงความเกียจคร้านหรือความขี้เกียจ เป็นพฤติกรรมเฉื่อยชาที่ไม่อยากทำอะไร แต่ความหมายที่แท้จริงในบริบทการทำงานและการใช้ชีวิตให้มีความสุข กลับหมายถึงความตั้งใจอยู่เฉยโดยไม่ให้มีสิ่งใดเข้ามารบกวน เหมือนเปิดโหมด Do Not Disturb เพื่อตัดทุกความวุ่นวายออกไปจากชีวิต ทำให้มีช่วงเวลาแห่งความสงบที่ได้ปล่อยตัวเองให้วางใจนิ่ง โดยไม่ต้องคิดหรือหยิบจับทำอะไร
สิ่งที่ทำให้ Idleness แตกต่างจาก Productive อย่างสิ้นเชิง จึงอยู่ที่การคิดมุมกลับหรือปรับมุมมองต่อการทำงานเสียใหม่ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา คนทำงานมักจะติดกับดักวิธีทำงานแบบ Productive ซึ่งทำให้คนอยู่เฉยไม่ได้ ต้องหาอะไรทำให้ตัวเองไม่ว่างมากเกินไป จนกลายเป็นคนทำงานที่เสพติดความยุ่ง ซึ่งในทางจิตวิทยาเรียกพฤติกรรมนี้ว่า Idleness Aversion
มีผลการศึกษาหนึ่งที่น่าสนใจ เป็นงานวิจัยที่ตีพิมพ์ลงในวารสาร Psychological Science โดยกลุ่มนักจิตวิทยาต้องการหาคำอธิบายว่า ทำไมคนเราต้องทำตัวให้ดูยุ่งเข้าไว้ ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เรื่องจำเป็น
เหตุผลหลักที่ทำให้คนทำงานเสพติดความยุ่ง คือ กลัวว่าคนอื่นจะมองไม่ดี จึงพยายามทำให้คนอื่นเห็นว่ากำลังยุ่งอยู่ เพราะความยุ่งช่วยสร้างภาพจำที่ดีในสายตาเพื่อนร่วมงานและหัวหน้างาน รวมถึงช่วยเติมเต็มความรู้สึกว่าตัวเองทำงานได้ Productive หรือมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งไม่เป็นความจริงเสมอไป เพราะความยุ่งเหล่านี้มักเกิดจากงานที่ไม่สำคัญหรือไม่จำเป็นต้องทำแต่แรก
ส่วน Idleness นั้นไม่สนใจความยุ่งใด ๆ เพราะเป็นวิธีคิดที่ให้คุณค่ากับช่วงเวลาว่างที่คนทำงานจะได้ปล่อยวางจากทุกอย่างแล้วกลับมาอยู่กับใจของตัวเองจริง ๆ โดยไม่ต้องรู้สึกผิดหรือกังวลใจ เพราะไม่ใช่การกระทำที่อู้งาน แต่เป็นการให้ตัวเองได้หยุดพักเงียบ ๆ เกิดเป็นแง่ศิลปะการใช้ชีวิตที่ไม่ต้องทำอะไร (The Art of Doing Nothing) หรือทำสิ่งอื่น ๆ ที่ช่วยเยียวยาใจให้รู้สึกผ่อนคลายแทนการทำงาน โดยไม่ทุกข์ใจหรือเป็นกังวลอย่างตอนที่ต้องทำตัวยุ่ง
เหตุผลที่คนทำงานต้อง ‘ช้าให้เป็น’
เมื่อ Idleness ช่วยคืนความสุขให้ชีวิต
ขอย้ำอีกครั้ง ! ‘เร็วไม่ว่า แต่ต้องช้าให้เป็น’ เพราะการทุ่มเทแรงใจให้กับการทำงานเป็นสิ่งดี และไม่ใช่เรื่องผิดหากอยากเป็นคน Productive เพียงแต่ต้องคอยระวังไม่ให้งานกลืนกินเวลาชีวิตส่วนตัว เพราะการทำงานต่อเนื่องโดยไม่ได้หยุดพักหรือไม่ได้กลับมาใช้ชีวิตผ่อนคลายอย่างที่ควร จะกลายเป็นความบั่นทอนที่คอยกัดกินชีวิตคนทำงานให้เคร่งเครียด เหนื่อยหน่าย อ่อนล้า สุขภาพย่ำแย่ จนหมดไฟและหมดใจทำงาน ไปในที่สุด
ส่วนเหตุผลที่คนทำงานต้อง ‘ช้าให้เป็น’ เพราะ Idleness มีประโยชน์ในเชิงจิตวิทยาที่ส่งผลต่อความสุขทางใจในหลายแง่มุม
- มีความสุขกับงานอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เพราะการพักและผ่อนคลายที่เพียงพอจะช่วยฟื้นฟูสมองจากความล้าให้กลับมาทำงานได้อย่างเต็มที่มากขึ้น เรื่องนี้มีการศึกษาอย่างจริงจัง หากปล่อยสมองให้หยุดพักจากการคิดอย่างสม่ำเสมอ เท่ากับเป็นการกระตุ้นให้เกิดการสร้างเซลล์ประสาทใหม่ในบริเวณที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้และความจำ ผลลัพธ์ที่ตามมาคือ ทำให้จดจำข้อมูลได้ดี มีความคิดสร้างสรรค์ สามารถทำงานและคิดแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ลดความเครียดและความวิตกกังวลลงไปได้เยอะ เพราะการหยุดพักทำให้สมองลดระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) หรือฮอร์โมนความเครียด และเพิ่มระดับฮอร์โมนเซโรโทนิน (Serotonin) หรือฮอร์โมนแห่งความสุข ทำให้รู้สึกผ่อนคลายและสบายใจมากขึ้น หรือสังเกตได้ง่าย ๆ ในทุกครั้งที่หยุดพักจากการทำงานหนัก จะรู้สึกสดชื่น หัวโล่ง และมีสมาธิจดจ่อกับงานได้ดีกว่ามาก เพราะไม่อยู่ในภาวะเครียดเหมือนตอนทำงานหนักต่อเนื่อง
- ช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและแน่นแฟ้นได้ด้วย เรียกว่าเป็นผลพลอยได้สำหรับคนทำงานที่มีคนสำคัญต้องคอยดูแลและเอาใจใส่ เพราะ Idleness ช่วยให้สามารถจัดสรรเวลาเพื่อใช้ชีวิตได้ดีกว่าเดิม จึงมีเวลาสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง โดยเฉพาะคนในครอบครัวและคู่รัก เกิดเป็นความเข้าใจซึ่งกันและกัน ต่างจากคนทำงานหนักที่มักต้องจบความสัมพันธ์ด้วยเหตุผลที่น่าเสียดายว่า ไม่มีเวลาให้
- มีเวลาให้กับตัวเองและช่วยให้ค้นพบสิ่งใหม่ที่ทำให้ชีวิตมีคุณค่า นี่คือสิ่งสำคัญที่สุดที่คนทำงานจะได้รับจาก Idleness เพราะเปิดกว้างให้พบเจอกับประสบการณ์ใหม่นอกเหนือจากความวุ่นวายในโลกการทำงาน เมื่อได้ใช้ช่วงเวลาที่ว่างสำรวจความสนใจ อาจเป็นสิ่งที่อยากทำมานานแต่ยังไม่มีโอกาส Idleness จึงช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้หาเวลาลงมือทำสิ่งเหล่านั้น เป็นวิธีสร้างคุณค่าให้ชีวิตที่นอกเหนือจากความสำเร็จของงาน
ไม่ยาก ถ้าอยาก ‘ช้าให้เป็น’
เคล็ดลับง่าย ๆ ที่ทำให้มีชีวิตมีเวลาได้พัก
หากเวลาที่จะได้ใช้ชีวิตประจำวันหายไปเพราะงาน นี่คือสัญญาณเตือนให้รู้ว่า ถึงเวลาแล้วที่ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เป็นคน ‘เร็วไม่ว่า แต่ต้องช้าให้เป็น’ ด้วยเคล็ดลับง่าย ๆ ต่อไปนี้
- กำหนดเวลาทำงานและหยุดพักให้ชัดเจน แนะนำให้จัดสรรเวลาด้วยเทคนิค Pomodoro เพื่อแบ่งการทำงานให้มีเวลาได้หยุดพักเป็นช่วง ๆ ตลอดทั้งวัน
- ฝึกสมาธิและการหายใจลึกระหว่างหยุดพัก เหมาะสำหรับคนที่ทำงานหนักต่อเนื่องเป็นเวลานาน ๆ อย่างน้อยได้พักสายตาจากการจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ เพื่อสร้างสมาธิให้จิตใจสงบจากความตึงเครียด
- เปลี่ยนมาทำกิจกรรมที่ชอบ หลักของ Idleness ไม่ได้ให้หยุดพักหรือนอนพักอย่างเดียว แต่ยังให้ทำสิ่งอื่นได้ โดยที่สิ่งนั้นต้องช่วยเยียวยาจิตใจให้ผ่อนคลายแทนการทำงาน อาจเป็นการฟังเพลง เดินเล่นให้ร่างกายได้ขยับ หรือทำในสิ่งที่ปล่อยใจได้โดยไม่ต้องใช้สมาธิจดจ่อมากนัก
- จำกัดการใช้งานโซเชียลมีเดีย สำหรับคนทำงานที่ชอบเปิดดูคลิปตลก หรือชอบไถฟีดขณะมีเวลาว่าง ควรจำกัดเวลาที่เหมาะสมไม่ให้นานเกินไป หรือถ้าเป็นไปได้ไม่ควรใช้งานโซเชียลมีเดียเลยจะดีที่สุด เพื่อให้ชีวิตได้หยุดพักจริง ๆ
ส่วนคนทำงานหนักที่ยังฝืนทุ่มเทให้งานโดยไม่สนความพร้อมของร่างกายและจิตใจ ความมุ่งมั่นที่เกินพอดีอาจกลายเป็นไฟที่แผดเผาชีวิตจนไม่เหลือชิ้นดี เพราะสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาคือหากไม่ได้หยุดพักหรือพักผ่อนน้อย จะทำให้สมองเกิดความเครียดขั้นสุดจนทำให้ภูมิคุ้มกันและทุกระบบของร่างกายเกิดการอักเสบเรื้อรัง จนนำไปสู่โรคต่าง ๆ โดยเฉพาะ โรคซึมเศร้า โรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงโรคที่ทุกคนกลัวที่สุดอย่างโรคมะเร็ง
เมื่อการทำงานคือสิ่งจำเป็นในชีวิตของใครอีกหลายคน เพื่อเพิ่มความอุ่นใจให้คนวัยทำงานและแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นจากการเจ็บป่วย LIVE TO LIFE ขอแนะนำ ประกันโรคร้ายแรง ไทยประกันชีวิต เฮลท์ ฟิต มัลติเพย์ แคนเซอร์ ที่ให้คุ้มครองการเจ็บป่วยด้วยโรคมะเร็งทุกระยะ ไม่ว่าเป็นครั้งแรกหรือกลับมาเป็นซ้ำ หมดกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย* ที่ต้องใช้รักษาโรคมะเร็ง สามารถต่ออายุสัญญาเพิ่มเติมได้ถึงอายุ 84 ปี (คุ้มครองถึงอายุ 85 ปี) และเป็นเบี้ยประกันสุขภาพสามารถลดหย่อนภาษีได้บางส่วน**
*เป็นไปตามเงื่อนไขของกรมธรรม์
**ตามหลักเกณฑ์ที่สรรพกรกำหนด
อ้างอิง
- Christopher K Hsee. Idleness Aversion and the Need for Justifiable Busyness. https://bit.ly/4gMRgss
- Lorenzo Lucherini Angeletti. Topography of the Anxious Self (TAS) – Abnormal Rest-Task Modulation in Social Anxiety Disorder. https://bit.ly/4gIhZ9d
- Neel Burton. The Psychology of Laziness. https://bit.ly/4fKgAxS
- Nigel Barber. The Secret Power of Idleness. https://bit.ly/41YiuaV