

ชวนเป็นมนุษย์จิตแข็ง ! ด้วยวิธีฝึกตัวเองที่เคยอ่อนไหวง่ายให้กลับมามั่นคงและมีความสุข
Health / Mind
10 Mar 2025 - 5 mins read
Health / Mind
SHARE
10 Mar 2025 - 5 mins read
คงมีบางวันที่เราได้พบเรื่องสะเทือนใจ ชวนให้หวั่นไหวและมีน้ำตา สิ่งที่จะพาเราผ่านไปได้คือ ‘หัวใจที่เข้มแข็ง’
แม้จะเจอเรื่องราวเดียวกัน แต่คนเรารู้สึกไม่เหมือนกัน บางคนรับมือไหวและก้าวผ่านไปได้ ในขณะที่บางคน จะรู้สึกสะเทือนใจและจมอยู่กับความทุกข์นั้นมากกว่าใคร
จิตใจของมนุษย์นั้นยากแท้หยั่งถึง แต่ LIVE TO LIFE จะขอชวนทุกคนหยั่งลึกลงไปในหัวใจอันบอบบาง เพื่อหาคำตอบว่า ทำไมบางคนถึงรู้สึกอ่อนไหวง่าย แล้วจะทำอย่างไรให้หัวใจดวงน้อย ๆ นั้นเข้มแข็งและก้าวผ่านทุกเรื่องในชีวิตได้อย่างมั่นคง
ต้องอ่อนไหวแค่ไหน ?
ถึงเรียกได้ว่าเป็น ‘คนใจบาง’
ความอ่อนไหว เป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน เพียงแต่ คนใจบาง หรือ คนอ่อนไหวง่าย (Highly Sensitive Person) นั้นจะรู้สึกอ่อนไหวมากกว่าคนทั่วไปเป็นพิเศษ และจะไวต่อสิ่งเร้าที่มากระทบทั้งกายและใจ ซึ่งอาจมีลักษณะต่อไปนี้ เช่น
- รู้สึกไม่ดีมากเป็นพิเศษเมื่อได้ยินเสียงดัง แสงจ้า กลิ่นเหม็น หรือแม้แต่ความหิว
- ไม่เสพสื่อที่มีความรุนแรง เช่น หนังฆาตกรรม หนังผี ฯลฯ เนื่องจากทำให้สะเทือนใจมาก
- รู้สึกเครียดเมื่อเผชิญหน้าความวุ่นวาย จึงต้องการเวลาพักเงียบ ๆ คนเดียวบ่อยครั้ง
- รู้สึกซาบซึ้งกับงานศิลปะและธรรมชาติได้ง่าย
- คิดอย่างลึกซึ้งและรู้สึกมีอารมณ์ร่วมอย่างเต็มเปี่ยม
- สามารถรับรู้อารมณ์คนรอบข้างและเข้าใจความรู้สึกคนอื่นได้เป็นอย่างดี
- รู้สึกเป็นทุกข์อย่างมากเมื่อถูกวิพากษ์วิจารณ์
อยากรู้ว่าอ่อนไหวไหม ลองทำแบบทดสอบ (ภาษาอังกฤษ) เพิ่มเติมได้ที่ https://bit.ly/4hSlpH3
ทำไมบางคนไม่เป็นอะไร
และทำไมบางคนถึงอ่อนไหวง่าย
มีคนเพียง 20% ที่มีบุคลิกภาพแบบอ่อนไหวง่ายโดยธรรมชาติ สิ่งนี้ไม่ใช่โรคหรือความผิดปกติทางร่างกายแต่อย่างใด แต่เป็นลักษณะพิเศษที่อาจเกิดขึ้นได้กับมนุษย์เรา โดยมีปัจจัยหลักคือ ‘พันธุกรรม’ และ ‘สิ่งแวดล้อม’
ดับเบิลยู. โทมัส บอยซ์ (W. Thomas Boyce) กุมารแพทย์ชาวอเมริกัน พยายามหาคำตอบว่าเด็ก ๆ สามารถรับมือกับความสะเทือนใจได้อย่างไร และได้ระบุคำตอบลงในหนังสือ The Orchids and The Dandelion โดยบอกกับเราว่า ‘ความอ่อนไหวนั้นเป็นพันธุกรรมที่ติดตัวเรามาตั้งแต่กำเนิดและถูกกระตุ้นโดยสิ่งแวดล้อม’ หรือที่เรียกว่า อีพีเจเนติกส์ (Epigenetics)
มนุษย์เราประกอบร่างสร้างบุคลิกภาพขึ้นมาจาก ประสบการณ์ทางจิตใจในวัยเด็ก เช่น บาดแผลในใจ (Trauma), ความยากลำบากในชีวิต (Adversity) เป็นต้น นั่นจึงทำให้เราอนุมานได้ว่าเด็ก ๆ ที่เผชิญกับความรุนแรงในครอบครัวมักเสี่ยงที่จะมีปัญหาด้านพัฒนาการ รวมถึงมีผลกระทบกับทั้งสุขภาพกายและใจ
อย่างไรก็ตาม เด็กทุกคนไม่ได้อ่อนไหวต่อบาดแผลในใจในระดับที่เท่ากัน และเด็กบางคนแม้จะเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย แต่ก็ยังมีพัฒนาการดี สุขภาพดี และเติบโตมาอย่างมีความสุขได้
ผลการศึกษาชิ้นนี้แบ่งเด็ก ๆ ออกเป็น 2 กลุ่ม แล้วเปรียบเด็กเป็น ‘ดอกแดนดิไลออน’ และ ‘ดอกกล้วยไม้’
เด็ก ๆ ส่วนใหญ่ในโลกนี้เป็น ‘ดอกแดนดิไลออน’ ที่สามารถรับมือกับความเครียดได้เป็นอย่างดี เนื่องจากระบบประสาทของพวกเขาไม่ได้ไวต่อเรื่องเลวร้ายที่มากระทบกระเทือนใจมากนัก และสามารถเติบโตได้อย่างดีแม้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย เช่นเดียวกับดอกแดนดิไลออนที่โตง่าย ทนได้กับทุกสภาพอากาศ
ส่วนเด็กอีกกลุ่มซึ่งมีอยู่เพียง 1 ใน 5 คือ ‘กล้วยไม้’ เด็ก ๆ เหล่านี้จะมีระบบประสาทที่ไวต่อสิ่งเร้าทั้งเชิงลบและเชิงบวกเป็นพิเศษ หรือเรียกได้ว่า อ่อนไหวง่ายมาตั้งแต่กำเนิด หากเด็กเติบโตในสภาพแวดล้อมที่ดี มีครอบครัวที่อบอุ่น ช่วยเสริมความเข้มแข็งทางจิตใจ ก็จะเติบโตมาได้อย่างมีความสุข แต่หากเด็กต้องเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย ก็จะส่งผลกับพัฒนาการ รวมถึงสุขภาพกายและสุขภาพจิตได้ เด็กกลุ่มนี้จึงถูกเปรียบเป็น ‘กล้วยไม้’ ที่จะงดงามได้ต้องได้รับการดูแล เอาใจใส่ และอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
นอกจากเรื่องของพันธุกรรมที่ส่งผลให้ระบบประสาทของคนเราไวต่อสิ่งเร้าแตกต่างกันแล้ว ความอ่อนไหวง่าย ยังอาจเกิดได้จากปัจจัยอื่น ๆ ได้อีก เช่น
- ความเหนื่อยล้าสะสม : เมื่อร่างกายเหนื่อยล้า คนเราจะควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยได้ ส่งผลให้อ่อนไหวเป็นพิเศษ ตัดสินใจผิดพลาดบ่อยขึ้น ทำให้ตีความหมายการกระทำ และคำพูดของคนอื่นผิดเพี้ยนได้
- ภาวะสุขภาพจิตของแต่ละคน : หากอยู่ในภาวะซึมเศร้าและวิตกกังวลก็อาจทำให้อ่อนไหวขึ้นได้
- ฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง : ผู้หญิงในช่วงมีประจำเดือนหรือวัยทอง มีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ซึ่งส่งผลโดยตรงต่ออารมณ์ บางคนอาจรู้สึกอ่อนไหวง่ายในช่วงเวลาเหล่านี้
- การนับถือตนเองต่ำ : หากเป็นคนที่มั่นใจในตัวเองต่ำ อาจทำให้เผลอวิจารณ์ตัวเองอยู่บ่อย ๆ และคิดในแง่ลบ สิ่งเหล่านี้จะกลายเป็นความอ่อนไหวที่ทำให้เราหมกมุ่นอยู่แต่กับคำวิจารณ์ซึ่งกระทบกระเทือนจิตใจได้ง่าย
เป็นคน ‘ใจบาง’ แล้วส่งผลกับชีวิตอย่างไร ?
การเป็นคนใจบางนั้นมีทั้งข้อดีและข้อที่เสียเปรียบ หากอยากมีความสุข จำเป็นต้องงัดข้อได้เปรียบมาใช้และคอยเฝ้าระวังความอ่อนไหวที่มากเกินจนทำให้ใจเป็นทุกข์
ข้อดีของคนใจบาง คือ ไวต่อความรู้สึก สามารถรับรู้อารมณ์ของผู้คนรอบข้างได้อย่างรวดเร็วและเห็นอกเห็นใจคนอื่น เข้าใจความรู้สึกคนอื่นได้เป็นอย่างดี ช่วยสร้างความแน่นแฟ้นให้กับความสัมพันธ์ในทุกรูปแบบ
คนใจบางมักซาบซึ้งกับการเสพสิ่งต่าง ๆ ได้ง่าย เช่น ฟังเพลงเศร้าก็อิน ดูหนังรักก็ซึ้ง มักจะเพลิดเพลินกับการดื่มด่ำกับงานศิลปะ ความอ่อนไหวง่ายยังทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ที่ยอดเยี่ยม คนอ่อนไหวมักจะอยู่กับอารมณ์และความรู้สึก ทำให้เข้าใจและแสดงออกเป็นงานศิลปะอันงดงามได้มากมาย
แต่บางครั้ง ‘ความอ่อนไหว’ ที่มากเกินไปก็อาจทำให้จิตใจเป็นทุกข์ได้เช่นกัน
สิ่งกระตุ้นเพียงเล็กน้อยกลับส่งผลต่อจิตใจอย่างมาก บางครั้งคำพูดธรรมดา ๆ ก็ทำให้คนใจบางเสียน้ำตาได้ง่าย ๆ เมื่อรับบทเป็นที่ปรึกษา คนอ่อนไหวง่ายผู้เข้าอกเข้าใจผู้อื่นได้เป็นอย่างดีมักจะเก็บเอาเรื่องหนักใจเหล่านั้นมาขบคิดจนตัวเองเป็นทุกข์ไปด้วย คนใจบางจึงมักรู้สึกเหนื่อยล้าและเลือกหลบเลี่ยงความขัดแย้ง หนีจากสถานการณ์ที่ทำให้ไม่สบายใจ หนีจากความวุ่นวายในสังคม เพื่อให้ตัวเองสบายใจขึ้น แต่บางครั้งการหนีหรือกลัวใจพังก็ทำให้พลาดโอกาสดี ๆ ในชีวิตไปมากมาย
อ่อนไหวได้ แต่อย่าให้ใจพัง
เราสร้าง ‘ความเข้มแข็งในจิตใจ’ ได้อย่างไร ?
คนเราอ่อนไหวได้ น้ำตาที่ไหลไม่ได้หมายความว่าเราอ่อนแอ แต่หากบางครั้งความอ่อนไหวที่มากไปอาจทำให้ใจของเราไม่เป็นสุข เราจึงต้องฝึกรับมือกับความอ่อนไหวและสร้างความเข้มแข็งทางจิตใจให้ได้
จิตใจที่เข้มแข็ง ไม่ใช่จิตใจที่ด้านชา ไม่ได้หมายความว่าต้องอดทน กลั้นน้ำตา และเมินเฉยกับความรู้สึกต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น กลับกันความเข้มแข็งในจิตใจคือการยอมรับสิ่งต่าง ๆ อย่างจริงใจและก้าวต่อไปได้ในทุกสถานการณ์
ปรับมุมมองแบบ Cognitive Reframing : หากเจอสถานการณ์ที่ทำให้อ่อนไหวจนเกิดโทษตัวเองและเริ่มมองโลกในแง่ร้าย ลองฝึกคิดแบบ Cognitive Reframing ซึ่งเป็นการมองสถานการณ์ต่าง ๆ ด้วยมุมใหม่ เพื่อหาแง่มุมดี ๆ ของเรื่องนั้น ๆ เช่น หากถูกวิจารณ์การทำงาน คนใจบางมักจะเก็บไปคิดและโทษตัวเอง แต่หากเปลี่ยนมุมมองเป็น ‘คนวิจารณ์ยังมองเห็นศักยภาพว่าเราจะพัฒนาได้’ ก็อาจช่วยให้สบายใจขึ้น
เมื่อฝึกคิดในแง่มุมนี้ไปเรื่อย ๆ จนเป็นนิสัย เชื่อว่าจะช่วยเปลี่ยนให้เราสามารถมองโลกในแง่ดีและเข้มแข็งขึ้นได้อย่างแน่นอน
เขียนบันทึก ‘อารมณ์’ เพื่อเข้าใจตัวเอง : การเขียนบันทึก (Journal) ช่วยให้เรารู้เท่าทันอารมณ์ของตัวเองได้ดีขึ้น และทำให้มองเห็นว่าเราตอบสนองต่ออารมณ์เหล่านั้นอย่างไร แม้เป็นอารมณ์ด้านลบ หากจดบันทึกลงไปก็จะช่วยให้เรามองตัวเองอย่างเป็นกลางมากขึ้น และช่วยให้เรารับมือกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ดีขึ้น
ยอมรับและเพิ่มพูนความ ‘นับถือตนเอง’ : บางครั้งคนที่อ่อนไหวง่ายจะวิจารณ์ตัวเองมากเกินไป จึงต้องฝึกการ ยอมรับตัวเอง (Self-Acceptance) ให้มากขึ้นด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น
- รู้จักข้อดีของตัวเองและเผชิญหน้ากับข้อเสียของตัวเอง
- ไม่เปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น
- ใช้คำพูดดี ๆ กับตัวเองเสมอ ไม่พูดในสิ่งที่บั่นทอนจิตใจ
- ให้อภัยกับความผิดพลาดของตัวเองและไม่โทษตัวเอง
ค่อย ๆ ให้เวลาตัวเองได้ฝึกสิ่งเหล่านี้และเพิ่มพูนความรักตัวเองขึ้นทุกวัน จะช่วยเพิ่มพูนความแข็งแกร่งให้กับจิตใจไม่ให้อ่อนไหวง่าย
ผ่อนคลายและหาวิธีลด ‘ความเครียด’ : การเผชิญต่อสิ่งเร้ามาก ๆ ในแต่ละวันทั้งผู้คนและสภาพแวดล้อมทำให้คนใจบางเกิดความเครียดได้ง่าย ดังนั้นการผ่อนคลายจึงเป็นเรื่องสำคัญ ชวนมาลดความเครียดด้วยวิธีง่าย ๆ เช่น
- หลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้เกิดความเครียดในปัจจัยที่เราควบคุมได้ เช่น ไม่ดูหนังสะเทือนใจ ไม่คบคนที่มีพลังลบหรือใครที่มักจะทำให้เรารู้สึกแย่กับตัวเอง
- หากิจกรรมผ่อนคลายที่ช่วยเยียวยาและเบี่ยงเบนความสนใจจากความอ่อนไหว เช่น ทำงานอดิเรกที่ชอบ ดูหนัง ฟังเพลง ฯลฯ
- พบปะกับคนใกล้ชิด ที่สนิทใจ การได้คุยกับใครสักคนช่วยให้ผ่อนคลายมากขึ้น
ฝึก ‘สติ’ เพื่อรู้เท่าทันตัวเอง : นั่งสมาธิหรือฝึกสติวันละ 10-15 นาทีจะช่วยให้เราอยู่กับปัจจุบันโดยไม่พะวงถึงอนาคตและอดีต ทำให้รับมือกับสิ่งต่าง ๆ ที่กำลังจะเกิดได้ดีขึ้น การฝึกสติยังช่วยให้เราควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้นอีกด้วย
ความเข้มแข็งทางใจ คล้ายกับการปลูกต้นไม้ ต้นไม้ไม่สามารถโตได้วันเดียวฉันใด ความแข็งแกร่งทางใจก็ไม่ได้สร้างขึ้นในวันเดียวฉันนั้น เราต่างต้องพยายามและฝึกฝนให้หัวใจดวงนี้ค่อย ๆ แข็งแกร่งขึ้น เพื่อเป็นคนอ่อนไหวที่มีความสุข
อ้างอิง
- Kendra Cherry. How to Be Less Sensitive. https://bit.ly/3XkPLtL
- Jeremy Sutton. How to Be Mentally Strong & Build Mental Toughness. https://bit.ly/4h1hPcD
- Thomas Boyce. Why Some Children Are Orchids and Others Are Dandelions. https://bit.ly/41jHHKX