แค่กินดีก็ช่วยลดอุณหภูมิโลกได้ ชวนชิมเมนูหน้าตาอินเตอร์ทำจากวัตถุดิบหาได้ในไทยที่ Et 1.5

20 Jun 2025 - 5 mins read

Lifestyle / Guide

Share

“ยินดีต้อนรับสู่ Et 1.5”

 

“โลกของเรากำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่รุนแรงเป็นประวัติการณ์ โดยอุณหภูมิโลกจะสูงขึ้น 2-3 องศาเซลเซียสภายในปลายศตวรรษนี้”

 

“นานาประเทศจึงทำข้อตกลงร่วมกันในการประชุม COP21 ที่กรุงปารีส เพื่อร่วมกันจำกัดอุณหภูมิโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส”

 

“ร้านอาหารแห่งนี้แสดงออกถึงความร่วมมือในการเดินทางสู่เป้าหมายดังกล่าว เพราะการตระหนักถึงอาหารทุกคำที่บริโภคมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการสนับสนุนภารกิจนี้”

 

แถลงการณ์เนื้อหาจริงจังและจริงใจข้างต้นปรากฏอยู่ในหน้าแรกของเล่มเมนูอาหารประจำร้าน Et 1.5 (Et One Point Five) ร้านอาหารท่ามกลางแมกไม้ร่มรื่นในย่านลาดพร้าว บรรยากาศน่ารักราวกับอยู่ในบ้านไร่ชายทุ่ง เพราะมีฝูงเป็ดและไก่เดินคุ้ยเขี่ยหากินอยู่บนผืนดินอย่างอิสระ

 

นับเป็นบรรยากาศของการได้ใกล้ชิดธรรมชาติที่หาได้ยากใจกลางเมืองใหญ่   

 

“ร้านนี้เป็นเหมือนการทดลองให้ผู้บริโภคค่อย ๆ นึกถึงเรื่องโลกร้อนทีละน้อย เราไม่ได้ต้องการสร้างความเปลี่ยนแปลง เราแค่อยากให้ไอเดียแก่ผู้คน” เรแกน ไพโรจน์มหกิจ เล่าถึงจุดยืนของ Et 1.5 ร้านอาหารที่นิยามตัวเองเป็น Climate Restaurant หรือร้านอาหารที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม เพราะตั้งใจรังสรรค์เมนูแต่ละจานบนพื้นฐานของการมุ่งมั่นแก้ไขปัญหาโลกร้อนเป็นหลัก โดยอาหารแต่ละจานผ่านกรรมวิธีปรุงที่ง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน และแฝงด้วยคุณค่าด้านการดูแลสิ่งแวดล้อม

เรแกน ไพโรจน์มหกิจ
เจ้าของร้าน Et 1.5

 

อาหารของที่นี่มีให้เลือก 16 อย่างใน 4 หมวดหมู่ โดยไม่ได้แบ่งตามประเภทของอาหารเรียกน้ำย่อย สลัด หรืออาหารจานหลักเหมือนร้านอาหารทั่วไป แต่ Et 1.5 เลือกใช้ 4 เสาหลักของการบริโภคอย่างยั่งยืนเพื่อให้เข้าใจถึงที่มาของแต่ละเมนูได้ดียิ่งขึ้น

 

หมวดแรก ได้แก่ Locavore หรือการกินอาหารที่ทำจากวัตถุดิบในท้องถิ่น เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนในการขนส่งจากการนำเข้าผลิตภัณฑ์หรือวัตถุดิบจากต่างประเทศ

 

“เราเลือกใช้ผักจากจังหวัดเชียงใหม่ โดยสั่งจากหลาย ๆ เจ้าแล้วส่งมาพร้อมกันทีเดียว เหตุผลที่เลือกผักจากเชียงใหม่เพราะทั้งชนิดของผักและคุณภาพใกล้เคียงกับผักที่ปกติต้อง Import จากต่างประเทศ” โจ๊ก - สมเกียรติ ไพโรจน์มหกิจ คู่ชีวิตของเรแกนผู้รับหน้าที่เชฟประจำร้าน เจ้าของประสบการณ์เปิดร้านอาหารชื่อดังมาแล้วนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็น Seven Spoons, Sheepshank, Lao Dtom Lao หรือแม้แต่อีก 2 ร้านในเขตรั้วเดียวกับ Et 1.5 อย่าง Mer Made และ Big Brother Pizza เล่าถึงที่มาของวัตถุดิบต่าง ๆ ที่เลือกใช้

 

“ถ้าเป็นเนื้อปลา ผมเลือกใช้ปลาจากทะเลภูเก็ต เพราะผมเคยทำงานที่นั่นจึงรู้จักชาวประมงท้องถิ่นจึงซื้อปลาจากเขาโดยตรง”

Pan Fried Halibut

 

Pan Fried Halibut คือตัวอย่างเมนูหน้าตาอินเตอร์ทำจากวัตถุดิบไทย ๆ อย่างปลาชายฝั่งจากภูเก็ต นำมาทอดกับเนย ปรุงรสด้วย ‘เถาคัน’ หรือลูกเขาคัน พืชท้องถิ่นที่พบได้ในจังหวดนครศรีธรรมราชที่มักนำมาใช้ทำแกงส้ม เพราะให้รสชาติเปรี้ยวเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร และเป็นความตั้งใจของสมเกียรติที่อยากให้คนเมืองได้รู้จักวัตถุดิบพื้นบ้านในภูมิภาคต่าง ๆ ของไทย

 

และถ้าสังเกตดี ๆ อาหารทุกเมนูจะมีตัวเลขคาร์บอนฟุตพริ้นท์กำกับไว้ อย่างเมนูปลาทะเลทอดเนยราดซอสเถาคันจานนี้มีคาร์บอนฟุตพริ้นท์ 1.5 กิโลกรัม

 

“อย่างที่บอกว่าเราอยากให้ไอเดียเรื่องโลกร้อนกับผู้คน เราเลยคำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ต่อจานออกมาให้เห็น เขาจะได้ทราบว่าแต่ละจานปล่อยคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศในปริมาณเท่าไร” เรแกนอธิบายถึงความตั้งใจในการอยากให้นักชิมลองนับคาร์บอนฯ ควบคู่ไปกับการนับแคลอรีดูบ้าง

Turkish Eggs

 

อีกหนึ่งเมนูน่าชิมจากหมวด Locavore ได้แก่ Turkish Eggs เมนูที่กินตอนเช้าก็ได้ ตอนสายก็ดี เพราะมีส่วนผสมหลักคือ ไข่ไก่เต็มฟองที่ได้จากแม่ไก่ตัวอ้วนที่เดินป้วนเปี้ยนให้เห็นในสวนรอบบริเวณร้าน ส่วนโยเกิร์ตทางร้านก็ทำเองวันต่อวันจากนมที่รับมาจากเจ้าประจำ ปรุงรสด้วยพริกไทยดีจากแม่ฮ่องสอน อิ่มท้องยิ่งขึ้นด้วยการหยิบขนมปังกรอบนอกนุ่มในมาจิ้มกินกับชีสและไข่ จานนี้ให้ปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์เพียง 550 กรัม 

 

เมนูหมวดที่สอง ได้แก่ Alternative Protein หรือโปรตีนทางเลือก ซึ่งเป็นหนึ่งในทางเลี่ยงการบริโภคเนื้อสัตว์ที่มาจากการทำปศุสัตว์ ที่ถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกปริมาณมหาศาลจากการทำลายพื้นที่ป่าเพื่อปลูกข้าวโพดนำมาเลี้ยงสัตว์ ซึ่งต้องใช้ทรัพยากรน้ำจำนวนมากตามไปด้วย 

 

ตัวอย่างการใช้โปรตีนทางเลือกของร้าน Et 1.5 เช่น การนำแป้งจิ้งหรีดมาทำเป็นแป้งพาสตาใน Cricket Flour Gnocchi เมนูญ็อกกีที่คนไม่ค่อยกล้าสั่งมาทานเท่าไรนัก

 

“เมื่อหลายปีก่อน ผมเคยทำร้านอาหารชื่อ Insects in the Backyard ที่ช่างชุ่ย ซึ่งเป็นร้านที่ได้รับความสนใจจากสื่อ เชฟชื่อดัง และนักชิมทั่วโลก แต่กลับไม่เป็นที่สนใจของคนไทยสักเท่าไหร่ ทั้ง ๆ ที่แมลงหลายชนิดให้รสชาติคล้ายชีสและมีโปรตีนสูงจึงทดแทนกันได้ เรียกว่ารสชาติอร่อยจนแทบแยกไม่ออกและต้นทุนก็ไม่สูง แต่เมื่อไรก็ตามที่ลูกค้ารู้ว่าอาหารจานนี้ทำจากแมลงมักจะไม่กล้าสั่ง”

 

แม้จะไม่ได้รับความนิยม แต่ไพโรจน์ก็ยืนยันที่จะมี Cricket Flour Gnocchi เป็นเมนูหลักประจำร้าน เพราะเขาเชื่อว่าผู้คนจะยอมรับและเข้าใจถึงประโยชน์ของแมลงในฐานะโปรตีนทางเลือกไม่วันใดก็วันหนึ่ง

Spirulina, Kale and Pea Pesto

 

อีกหนึ่งเมนูที่เป็นตัวแทนของหมวดโปรตีนทางเลือก ได้แก่ Spirulina, Kale and Pea Pesto สเต็กชีสพาเนียร์ และข้าวปั้นก้อนทอดรสชาติกลมกล่อม ราดด้วยซอสเพสโตที่ทำจากผักเคล ถั่วแระญี่ปุ่น และผงสาหร่ายสไปรูลิน่าที่มีคุณสมบัติในการช่วยดักจับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ดี และเป็นแหล่งโปรตีนชั้นยอด โดยสาหร่ายสไปรูลิน่าอุดมด้วยโปรตีนสูงถึง 60-70% มากกว่าเนื้อสัตว์ทั่วไป จานนี้มีคาร์บอนฟุตพริ้นท์ 715 กรัม

Momos

 

อาหารหมวดที่สามคือ Vegan ที่ไม่ใช้เนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์เลย โดยมีตั้งแต่เมนูทานเล่นอย่างเทมเป้กับซอสมะขาม และซี่โครงข้าวโพดวีแกน หรือแบบอิ่มท้องทันใจก็ต้องสั่งฟาลาเฟลโบว์ลมาเพิ่มพลังงานให้ร่างกาย ส่วนเมนูที่ LIVE TO LIFE มีโอกาสได้ลองชิม คือ Momos เกี๊ยวนึ่งสไตล์เนปาลที่พิเศษตรงน้ำซอสรสชาติเผ็ดนิด ๆ ที่มีส่วนผสมของ Timur เครื่องเทศประจำถิ่นของเนปาล ที่ว่ากันว่าเป็นญาติเกี่ยวดองกับมะแขว่นของบ้านเรา เหตุผลที่ทางร้านเลือกใช้ Timur เพราะตั้งใจสนับสนุนชุมชนท้องถิ่นในเนปาลที่สืบสานการปลูก Timur เป็นพืชประจำถิ่นมานานต่อเนื่องนับร้อยปี จานนี้มีคาร์บอนฟุตพริ้นท์ 565 กรัม
 

 

และอาหารหมวดสุดท้าย ได้แก่ Zero Waste ซึ่งก็คือการลดขยะเศษอาหารให้ได้มากที่สุด อย่างการนำวัตถุดิบที่กำลังจะหมดอายุมาผ่านกระบวนการแปรรูปและถนอมอาหาร เช่น การนำนมที่กำลังจะหมดอายุมาทำโยเกิร์ตในเมนู Turkish Eggs คือหนึ่งในตัวอย่างที่เห็นได้ชัด หรือการเลือกผักที่อาจจะหน้าตาและสัดส่วนไม่สวยจากสวนผักปลอดสารมาทำเป็นเมนูดอกกะหล่ำมัสซาล่า หรือ ไข่คนกับขนมปังปิ้งซาวร์โดว์และยอดบรอกโคลี แทนที่จะต้องทิ้ง เพราะยังให้ความสดและรสชาติดีไม่ต่างกัน

 

แต่ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดในแง่ Zero Waste ของร้าน Et 1.5 คือการนำอาหารที่เหลือในครัวและในจานของลูกค้าไปทำเป็นอาหารเป็ดและไก่ที่เลี้ยงไว้ อีกส่วนนำไปหมักปุ๋ยเพื่อใช้ปลูกพืชไว้ใช้ในจานต่อแบบครบวงจร

 

“หลายคนอาจจะคิดว่าแค่คนหนึ่งคน จะเปลี่ยนอะไรได้ จะแก้ปัญหาโลกร้อนได้อย่างไร ได้สิคะ ถ้าคนไทยหลายสิบล้านคนฉุกคิดสักนิดว่ากำลังกินอะไรอยู่ และกินมันอย่างไร เราสามารถช่วยกันสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ได้” เรแกน ตัวแทนของ Et 1.5 ยืนยันว่าการกินดีช่วยให้โลกน่าอยู่ขึ้นได้อย่างแน่นอน

 

 

Et 1.5
53, 50 ซอยลาดพร้าว 15 แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพฯ
เปิดบริการ : เวลา 11.00 - 20.00 น. ปิดวันจันทร์
โทร : 080 248 7229
Facebook : Et 1.5
Instagram : et1.5_th

SHARE

facebook
twitter
copy
Related articles / บทความที่เกี่ยวข้อง
Loading...