

5 ข้อควรรู้เรื่อง ‘นวดไทย’ จากภูมิปัญญาโบราณที่วัดโพธิ์ สู่ซอฟต์พาวเวอร์ไทยที่ดังไกลทั่วโลก
Lifestyle / Trends
25 Jul 2025 - 4 mins read
Lifestyle / Trends
SHARE
25 Jul 2025 - 4 mins read
คนไทยเราคุ้นเคยกับ ‘การนวด’ มาตั้งแต่ไหนแต่ไร
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับคนที่ต้องนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ด้วยท่าเดิม ๆ เป็นเวลานาน หรือต้องเลื่อนหน้าจอมือถืออยู่ตลอดทั้งวัน มักประสบกับอาการปวดหลัง ปวดคอ ปวดไหล่ และปวดบ่า เมื่อความเมื่อยล้าสะสม หนึ่งในวิธีที่หลายคนเลือกใช้เพื่อบรรเทาอาการเหล่านี้ ก็คือ ‘การนวด’
จริง ๆ แล้วการนวดอยู่ในสายเลือดคนไทย และเป็นภูมิปัญญาโบราณที่อยู่คู่วิถีชีวิตคนไทยมาช้านาน จนทุกวันนี้ ‘นวดไทย’ ได้กลายเป็นหนึ่งในมรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญของชาติ และเป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่เข้ากับเทรนด์โลกด้านการดูแลสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี (Healthcare & Wellness)
แต่ขึ้นชื่อว่า ‘นวดไทย’ ย่อมไม่เหมือนกับการนวดทั่วไป เพราะนวดไทยมีแบบแผนและขั้นตอนที่ละเมียดละไม ควรค่าแก่การทำความเข้าใจอย่างถี่ถ้วน ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่ช่วยให้ได้รู้รากเหง้าหรือที่มาที่ไป แต่ยังช่วยให้คนที่อยากนวดไทยได้เตรียมร่างกายให้พร้อม เพื่อจะได้รับประโยชน์เต็มที่จากวิธีดูแลสุขภาพแบบไทย ๆ โดย LIVE TO LIFE ได้สรุปเป็น 5 ข้อควรรู้เกี่ยวกับการนวดไทย ไว้ให้ดังนี้
1.
ทำไมต้องนวดไทยที่วัดโพธิ์ ?
ถึงแม้ว่าคนไทยในอดีตเริ่มรู้จักการนวดจากศาสตร์อายุรเวทของอินเดียที่เข้ามาในประเทศไทยพร้อมกับการเผยแผ่พุทธศาสนา แล้วใช้การนวดคลึงเพื่อฟื้นฟูร่างกายและบรรเทาอาการเจ็บป่วย ซึ่งอ้างอิงได้จากหลักฐานเก่าแก่ที่ราชทูตจากฝรั่งเศสบันทึกถึงการนวดของคนไทยสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายเอาไว้ในจดหมายเหตุ ลา ลูแบร์ ว่า
“...ในกรุงสยามนั้น ถ้าใครป่วยไข้ลง ก็จะเริ่มทำให้เส้นสายยืด โดยให้ผู้ชำนาญการในทางนี้ ขึ้นไปบนร่างกายของคนไข้ และใช้เท้าเหยียบ กล่าวกันว่าหญิงมีครรภ์มักใช้ให้เด็กเหยียบ เพื่อให้คลอดบุตรง่าย ไม่พักเจ็บปวดมาก...”
แต่จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้นวดไทยมีแบบแผนที่เป็นมาตรฐานอย่างทุกวันนี้ เริ่มเกิดขึ้นในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ เมื่อรัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯ ให้รวบรวมตำราแพทย์แผนไทยโบราณ ได้แก่ โคลงภาพฤๅษีดัดตน ตำราโรคแม่และเด็ก ตำรายา และตำราการนวดแก้ขัดยอก แก้ปวดเมื่อย และแก้โรคต่าง ๆ มาจารึกลงบนแผ่นหินอ่อนภายในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร หรือ วัดโพธิ์ เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ในสมัยที่ยังไม่มีหนังสือและไม่มีโรงเรียน
จนกระทั่งในปี พ.ศ.2438 คณะหมอหลวงได้จัดทำตำราสงเคราะห์แพทย์ศาสตร์ โดยแยกการนวดออกเป็นศาสตร์เฉพาะทางที่เรียกว่า หัตถเวชกรรมไทย ทำให้วัดโพธิ์กลายเป็นศูนย์กลางด้านการแพทย์แผนไทยและการนวดนับแต่นั้นเป็นต้นมา โดยเปิดเป็น โรงเรียนแพทย์แผนโบราณวัดพระเชตุพนฯ (วัดโพธิ์) ในความดูแลของกระทรวงสาธารณสุข และสภาการแพทย์แผนไทย ซึ่งสอนนวดไทยเป็นหลักสูตรควบคู่กับให้บริการนวดเพื่อสุขภาพ
ย้อนกลับไปตอบคำถามที่ว่า ทำไมต้องนวดไทยที่วัดโพธิ์ ? ก็เพราะวัดโพธิ์เป็นต้นตำรับที่สร้างมาตรฐานนวดไทย ถ้านึกถึง ‘นวดไทย’ ก็ต้องนึกถึง ‘วัดโพธิ์’ เป็นที่แรกและที่เดียวเสมอ ทั้งความเชี่ยวชาญในวิชาความรู้และความน่าเชื่อถือของประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน จึงมั่นใจในหลักการและมาตรฐานการนวดไทยได้
สำหรับใครที่สนใจเรียนหรือใช้บริการนวดไทยที่วัดโพธิ์ สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่ www.watpomassage.com
2.
นวดไทยแบ่งออกเป็นกี่ประเภท ?
ถ้าไม่ใช่หมอนวดหรือคนที่นวดไทยเป็นประจำ น้อยคนนักจะรู้ว่านวดไทยแบ่งออกเป็น 2 ประเภทตามวัตถุประสงค์การนวด คือ นวดเพื่อสุขภาพ และ นวดเพื่อการรักษา เพราะคนไทยส่วนมากมักจะเข้าใจว่านวดไทยแบบไหนก็คงเหมือน ๆ กัน ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว รูปแบบการนวด 2 ประเภทนี้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
นวดเพื่อสุขภาพ เป็นรูปแบบการนวดที่คนไทยรู้จักมากที่สุด มีชื่อเรียกเฉพาะที่หลายคนคุ้นเคยกันดีว่า ‘นวดแผนไทย’ หรือ ‘นวดแผนโบราณ’ เพราะเป็นการนวดคลายกล้ามเนื้อที่หดเกร็งและแข็งตึงเพื่อฟื้นฟูและส่งเสริมสุขภาพเท่านั้น ทำให้คนนวดรู้สึกสบายตัวและผ่อนคลาย ไม่มีผลกับการบำบัดหรือรักษาโรคใด ๆ
ส่วนคนที่จะมาเป็นผู้นวดได้ ถึงแม้ว่าไม่จำเป็นต้องมีใบประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทย แต่ต้องผ่านการอบรมนวดเพื่อสุขภาพมาไม่ต่ำกว่า 150 ชั่วโมง และขึ้นทะเบียนตรงกับกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข
ส่วน นวดเพื่อการรักษา ถือว่าเป็นการบำบัดรักษาอาการเจ็บป่วยให้ร่างกายโดยใช้ศิลปะการนวดไทย รวมถึงกรรมวิธีการแพทย์แผนไทยอื่น ๆ อย่างการใช้สมุนไพร จึงจำเป็นต้องนวดโดยหมอนวดที่มีใบประกอบวิชาชีพแพทย์แผนไทย ประเภทการนวดไทย หรือประเภทเวชกรรมไทยเท่านั้น ซึ่งออกให้โดยสภาการแพทย์แผนไทย
จุดสำคัญที่ทำให้นวดเพื่อการรักษาแตกต่างจากนวดเพื่อสุขภาพ อยู่ตรงที่ลีลาท่านวดและการใช้นิ้วและฝ่ามือ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 แบบย่อย ได้แก่
- การนวดแบบราชสำนัก เป็นรูปแบบการนวดที่ใช้ถวายพระมหากษัตริย์ และเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ภายในรั้วในวัง หมอไทยสมัยก่อนจึงออกแบบท่านวดอย่างมีแบบแผนและข้อปฏิบัติเคร่งครัด เน้นความสำรวมและความประณีตของท่วงท่า โดยกำหนดองศาท่าทางและตำแหน่งนวดที่ชัดเจน ที่สำคัญคือใช้เพียงนิ้วและมือเท่านั้น เพื่อกด คลึง และบีบอย่างนุ่มนวลตามหลักวิชาแพทย์แผนไทย
- การนวดแบบเชลยศักดิ์ เป็นการนวดของชาวบ้านสามัญชนทั่วไป จึงมีความหลากหลายมากกว่า เพราะแตกต่างกันไปตามแต่ละท้องถิ่น แต่ยังเน้นความแข็งแรงของท่วงท่านวดเหมือนกัน เพื่อดึงเส้นเอ็น รวมถึงดัดและยืดเหยียดร่างกายให้เลือดลมไหลเวียนดีขึ้น หมอนวดจึงใช้อวัยวะช่วยนวดได้ทุกส่วน ทั้งฝ่าเท้า เข่า ศอก ท่อนแขน และขึ้นไปอยู่บนตัวผู้ถูกนวดได้ด้วย เดิมทีถ่ายทอดท่านวดแบบปากต่อปาก และมีการปรับท่าทางนวดตามประสบการณ์และความถนัดของหมอนวดแต่ละคน
สำหรับรูปแบบการนวดไทยของวัดโพธิ์ในปัจจุบันเป็นแบบเชลยศักดิ์ ส่วนการนวดแบบราชสำนักจะเปิดสอนในระดับมหาวิทยาลัยและโรงเรียนการแพทย์
3.
นวดไทยกับกายภาพบำบัดต่างกันอย่างไร ?
ถึงตรงนี้ LIVE TO LIFE เชื่อว่ายังมีคนอีกมากที่สงสัยและสับสนระหว่าง นวดไทย กับ กายภาพบำบัด เพราะทั้งคู่ต่างก็เป็นศาสตร์แห่งการฟื้นฟูร่างกายที่ต้องอาศัยทั้งความรู้ ทักษะ และความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านคล้าย ๆ กัน จึงเป็นเรื่องเข้าใจได้ทันที หากคนส่วนมากจะหลงคิดว่าเป็นสิ่งเดียวกัน
กายภาพบำบัด ใช้ความรู้การแพทย์แผนปัจจุบัน หรือการแพทย์สมัยใหม่ เพื่อรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายจากอาการบาดเจ็บเรื้อรัง เช่น บาดเจ็บจากอุบัติเหตุ ออฟฟิศซินโดรม รวมถึงอาการอัมพฤกษ์และอัมพาต ให้ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายกลับมาหายดีและใช้งานได้ใกล้เคียงกับร่างกายปกติให้ได้มากที่สุด
วิธีการของกายภาพบำบัดจึงเน้นเสริมความแข็งแรงให้ข้อต่อและกล้ามเนื้อ ฝึกการทรงตัว และการเคลื่อนไหวร่างกาย ร่วมกับการใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น เครื่องกระตุ้นกล้ามเนื้อด้วยไฟฟ้า เครื่องอัลตราซาวด์ เครื่องดึงหลังและคอ เครื่องช่วยเดิน เครื่องเลเซอร์กำลังสูงเพื่อลดอาการปวด
ส่วน นวดไทย จัดเป็นแพทย์ทางเลือก เพราะใช้ความรู้แพทย์แผนไทยตามตำรานวดวัดโพธิ์ที่เรียกว่า ‘เส้นสิบ’ ร่วมกับการนวดโดยใช้ลูกประคบสมุนไพร เพื่อบรรเทาอาการปวดจากความเมื่อยล้า
ในตำรานวดไทยเชื่อว่า ‘เส้นสิบ’ หรือ เส้นประธานสิบ เป็นทางเดินหลักของลมปราณหรือพลังงานในร่างกาย ช่วยให้ร่างกายทำงานได้ตามปกติ แต่หากเส้นประธานเกิดการติดขัด ก็จะทำให้ร่างกายเจ็บป่วยได้ ทั้ง 10 เส้น มีจุดเริ่มต้นบริเวณรอบสะดือ แล้วแยกกันไปตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย โดยมีจุดสิ้นสุด ที่อวัยวะต่าง ๆ
การนวดตามจุดและเส้นที่เกี่ยวข้อง จึงเป็นการกระตุ้นให้เลือดลมไหลเวียนเป็นปกติ และกลับเข้าสู่ภาวะสมดุล หลังนวดไทยเสร็จจึงรู้สึกผ่อนคลายและสบายทั้งตัว ส่วนการประคบสมุนไพร เป็นภูมิปัญญาไทยที่สืบต่อกันมายาวนาน คนโบราณใช้แก้อาการปวดเมื่อยให้ผู้หญิงหลังคลอดลูก แต่ปัจจุบันนิยมใช้ประคบหลังการนวด เพื่อช่วยให้เนื้อเยื่อพังผืดยืดตัวออก ลดการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อและข้อต่อ
สำหรับสมุนไพรที่ใส่ในลูกประคบมีหลายชนิดขึ้นอยู่กับสูตรและขนานของยา ได้แก่ ขมิ้นอ้อย ขมิ้นชัน ตะไคร้ ผิวมะกรูด ใบมะขาม ใบส้มป่อย เถาเอ็นอ่อน และพิมเสน แต่ตัวยาสำคัญที่ขาดไม่ได้ คือ ไพล และการบูร เพราะมีสรรพคุณช่วยลดปวดเมื่อย แก้เคล็ดขัดยอก และลดบวม
จึงสรุปได้ว่า นวดไทย กับ กายภาพบำบัด แตกต่างกันอย่างชัดเจน หากรู้สึกปวดเมื่อยหรือร่างกายต้องการผ่อนคลายอาการตึงเกร็งของกล้ามเนื้อ แนะนำให้นวดไทยได้ แต่ถ้าร่างกายบาดเจ็บเรื้อรังหรือรุนแรงจนเคลื่อนไหวร่างกายผิดเพี้ยนไปจากปกติ ควรได้รับการวางแผนการรักษาด้วยกายภาพบำบัด
4.
ก่อนและหลังนวดไทย ต้องเตรียมตัวอย่างไรดี ?
การเตรียมพร้อมร่างกายทั้งก่อนและหลังนวดไทย เป็นสิ่งจำเป็นที่มองข้ามไม่ได้เด็ดขาด เปรียบได้กับการวอร์มอัพก่อนออกกำลังกาย และคูลดาวน์หลังออกกำลังกาย เพราะช่วยให้ร่างกายได้รับประโยชน์จากการนวดสูงสุด รวมถึงลดความเสี่ยงไม่ให้ร่างกายบาดเจ็บได้ด้วย
การเตรียมตัว ‘ก่อน’ นวดไทย
- งดอาหารอย่างน้อย 2 ชั่วโมงก่อนนวด เพราะขณะนวดต้องอยู่ในท่านอนราบเป็นหลัก เพื่อป้องกันกรดไหลย้อน อาการจุกเสียดไม่สบายท้อง หรือคลื่นไส้ระหว่างการนวด
- ดื่มน้ำให้เพียงพอก่อนนวด 30 นาที เพื่อให้เลือดไหลเวียนได้ดี
- งดดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์และคาเฟอีน เพราะแอลกอฮอล์มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ อาจทำให้ร่างกายขาดน้ำได้ง่าย และยังเพิ่มความเสี่ยงเกิดอาการปวดกล้ามเนื้อมากขึ้นหลังการนวด ส่วนคาเฟอีนเป็นสารกระตุ้นให้ร่างกายตื่นตัวตลอดเวลา ทำให้ร่างกายไม่ได้ผ่อนคลายเต็มที่
- แจ้งข้อจำกัดของร่างกายให้หมอนวดทราบอย่างละเอียด เพื่อหมอนวดจะได้เลือกใช้ท่านวดที่เหมาะสมและปลอดภัยกับร่างกาย โดยเฉพาะคนที่มีโรคประจำตัว คนที่เคยผ่าตัดหรือเคยบาดเจ็บรุนแรง เช่น กระดูกหัก รวมถึงคนที่กำลังตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์ก่อน
- เลือกร้านนวดที่ได้รับใบอนุญาต และหมอนวดที่ผ่านการขึ้นทะเบียนกับกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข สามารถตรวจสอบได้ที่ https://hss.moph.go.th/spa-service/
การเตรียมตัว ‘หลัง’ นวดไทย
- จิบน้ำอุ่นหรือน้ำอุณหภูมิห้อง ช่วยให้ร่างกายขับสารพิษ เพิ่มการไหลเวียนของเลือดได้ดี ช่วยคืนความชุ่มชื้นให้ร่างกาย และลดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและอาการตึงหลังนวดได้ แนะนำให้ดื่มน้ำอย่างน้อย 240 มิลลิลิตร หรือเทียบเท่าน้ำ 1 แก้ว
- ห้ามอาบน้ำทันที เพราะร่างกายยังปรับตัวไม่ทัน อาจทำให้เลือดไหลเวียนผิดปกติ หน้ามืด และอาจเกิดอาการปวดกล้ามเนื้อมากขึ้น ควรพักร่างกายหลังนวดอย่างน้อย 1-2 ชั่วโมง
- ไม่ควรออกกำลังกายหนักและทำกิจกรรมที่ใช้แรงมาก เช่น ยกของหนัก ควรให้กล้ามเนื้อได้พักผ่อนครบ 24 ชั่วโมง ก่อนเริ่มออกกำลังกายหนัก อย่างการวิ่ง หรือการยกเวท
- พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายฟื้นฟูและซ่อมแซมกล้ามเนื้อได้เต็มที่
- สังเกตอาการผิดปกติหลังนวด หากมีอาการปวดกล้ามเนื้อรุนแรง วิงเวียน หรือคลื่นไส้ ให้ปรึกษาแพทย์ทันที
5.
ทำไมนวดไทยโด่งดังไกลไปทั่วโลก ?
ไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอนที่ ‘นวดไทย’ ได้รับการยอมรับในระดับโลกว่าเป็นวิธีการดูแลสุขภาพแบบไทย ๆ ที่มีประโยชน์กับร่างกายและมีคุณค่าทางวัฒนธรรม
สิ่งสำคัญที่ยืนยันได้ดีที่สุด คือการยกย่องให้นวดไทยเป็นมรดกภูมิปัญญาที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ โดยองค์การยูเนสโก ในปี พ.ศ.2562 นอกจากสร้างความภาคภูมิใจให้คนไทยแล้ว ยังเป็นโอกาสที่คนไทยจะได้ช่วยกันผลักดันให้นวดไทยอยู่ในความสนใจของคนทั่วโลก จนกลายเป็น Soft Power ของประเทศไทยที่หลายคนต้องนึกถึง เช่นเดียวกับอาหารไทย และความมีน้ำใจของคนไทย
ด้วยเอกลักษณ์ของนวดไทยและความเชื่อมโยงกับเทรนด์การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) ผ่านการนำเสนอในรูปแบบต่าง ๆ มีส่วนช่วยทำให้นวดไทยกลายเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง เช่น ฉากนวดไทยในซีรีส์เรื่องดังอย่าง The White Lotus Season 3 และการสาธิตนวดไทยภายใน Thailand Pavilion ที่มหกรรม World Expo 2025
LIVE TO LIFE มั่นใจว่าใครที่ได้เห็นก็ต้องตื่นตาตื่นใจกับขั้นตอนการนวดที่ดูประณีตและแข็งแรง จนกลายเป็นหนึ่งใน Bucket List ที่นักท่องเที่ยวต่างชาติอยากลองนวดไทยสักครั้งเมื่อได้มาเที่ยวที่นี่
แม้แต่คนไทยเอง ถ้าได้ลองนวดแล้วล่ะก็ เชื่อว่าหลายคนจะกลายเป็นคนที่ชื่นชอบการนวดไทยไปตลอด หากไม่เชื่อ แนะนำให้ลองไปนวดไทยด้วยตัวเองสักครั้ง
อ้างอิง
- สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ. จารึกวัดโพธิ์. http://bit.ly/4o5TXta
- ปณิศา เอมโอชา. เรื่องควรรู้เกี่ยวกับการนวดไทย. http://bit.ly/4mbUyYl
- ชยันต์ พิเชียรสุนทร. (2565). การแพทย์แผนไทย. ใน สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ (เล่มที่ 33, หน้า 267-307). มูลนิธิโครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ.