ทำไมมนุษย์เงินเดือนอยากทำงานที่บ้านมากกว่าเข้าออฟฟิศเต็มเวลา แค่เหนื่อยเดินทางจริงหรือ ?

09 May 2025 - 4 mins read

Lifestyle / Trends

Share

ถ้าเลือกได้ คุณอยากทำงานแบบไหน ?

 

ระหว่าง ‘ทำงานที่บ้านแบบ Work From Home’ กับ ‘ทำงานแบบเข้าออฟฟิศเต็มเวลา 5 หรือ 6 วันต่อสัปดาห์’

 

LIVE TO LIFE มั่นใจว่าคนทำงานส่วนมาก โดยเฉพาะมนุษย์เงินเดือนที่ทำงานในเมืองใหญ่ ซึ่งไม่ใช่แค่คนไทยแต่รวมไปถึงผู้คนในอีกหลายประเทศทั่วโลก คงจะเลือกวิธีทำงานเหมือนกัน นั่นคืออยากทำงานที่บ้าน หรือที่ไหนก็ได้ โดยไม่ต้องเข้าออฟฟิศทุกวัน เพราะคุ้นชินกับระบบการทำงานที่ปรับเปลี่ยนไปในช่วงล็อกดาวน์หลังเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งเปิดโอกาสให้พนักงานได้ทำงานที่บ้านแทน

 

จนกระทั่งสถานการณ์คลี่คลาย ทุกอย่างกลับเข้าสู่สภาวะปกติ หลายบริษัทจึงต้องการยกเลิก Work From Home ให้พนักงานทุกคนกลับเข้ามาทำงานในออฟฟิศเหมือนเดิม คือเข้างานตอนเช้าแล้วเลิกงานตอนเย็นอย่างพร้อมเพรียงกัน แต่การเปลี่ยนแปลงนี้กลับกลายเป็นความท้าทายใหม่สำหรับคนทำงานที่ยังอยากทำงานที่บ้านต่อไปเรื่อย ๆ โดยไม่ต้องเข้าออฟฟิศทุกวัน

 

เพื่อสร้างสมดุลความสุขให้กับการทำงานและการใช้ชีวิตที่หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว หรือ Work-Life Integration คนทำงานจึงคิดหาหนทางให้ตัวเองไม่ต้องเข้าออฟฟิศเต็มเวลา เป็นที่มาของเทรนด์การทำงานแบบใหม่ที่เรียกว่า Coffee Badging ซึ่งมีแนวโน้มได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

ไม่ว่าคุณจะเป็นใครในโลกของการทำงาน มนุษย์เงินเดือนทั่วไป หัวหน้าที่มีลูกน้องมากมายต้องดูแล คนทำงานฝ่ายทรัพยากรบุคคล หรือแม้แต่ผู้บริหารระดับสูง LIVE TO LIFE อยากชวนทุกคนมาทำความรู้จักกับเทรนด์การทำงานแบบ Coffee Badging พร้อมทบทวนวิธีการทำงานที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งไม่เพียงช่วยให้รู้คำตอบของคำถามที่ว่า ทำไมมนุษย์เงินเดือนอยากทำงานที่บ้านมากกว่าเข้าออฟฟิศเต็มเวลา แค่เหนื่อยเดินทางจริงหรือ ? แต่ยังเป็นข้อมูลที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้มนุษย์เงินเดือนสามารถเลือกวิธีการทำงานที่พอเหมาะและพอดีกับการใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ได้อย่างลงตัวและมีความสุข

 

Coffee Badging คืออะไร ?
เทรนด์ทำงานเอาใจคนไม่อยากเข้าออฟฟิศ

จุดเริ่มต้นของเทรนด์ Coffee Badging เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 2023 เมื่อบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์เทคโนโลยีและคิดค้นระบบประชุมออนไลน์สัญชาติอเมริกันอย่าง Owl Labs ได้สำรวจความคิดเห็นและพฤติกรรมการทำงานของพนักงานภายในบริษัทแล้วพบสถิติที่น่าสนใจว่า

  • พนักงาน 41% อยากทำงานโดยไม่ต้องเข้าออฟฟิศเลยสักวัน
  • พนักงาน 37% อยากทำงานแบบ Hybrid Working คือ บริษัทให้อิสระกับพนักงานเลือกได้ว่าจะทำงานจากที่ไหนก็ได้ โดยไม่บังคับว่าต้องเข้าออฟฟิศ ยิ่งไปกว่านั้น พนักงานในกลุ่มนี้มากถึง 58% มีพฤติกรรมการทำงานแบบ Coffee Badging
  • พนักงาน 22% อยากกลับเข้ามาทำงานในออฟฟิศแบบเต็มเวลา

 

ความหมายที่แท้จริงของ Coffee Badging จึงไม่ใช่แค่การเข้าออฟฟิศมาดื่มกาแฟแล้วกลับบ้าน แต่เป็นคำเปรียบเปรยพฤติกรรมการทำงานที่ยืดหยุ่นมากขึ้น โดยไม่ได้ยึดติดอยู่กับภาพจำของการทำงานสมัยก่อนที่บังคับให้ออฟฟิศเต็มเวลา แต่เปลี่ยนมาเข้าออฟฟิศเป็นช่วงระยะเวลาหนึ่งแทน คือ ตกลงกับคนในทีมว่า เข้าออฟฟิศมาพบปะเพื่อนร่วมงานและหัวหน้าแค่ไม่กี่ชั่วโมง เพื่อประชุมงานที่ต้องระดมสมองหรือต้องร่วมด้วยช่วยกันทำเป็นทีมเท่านั้น เหมือนได้ดื่มชาและกาแฟสักแก้วระหว่างพูดคุยงาน เสร็จแล้วต่างคนต่างแยกย้ายกันไปทำงานต่อที่บ้าน

 

แฟรงค์ ไวส์เฮาฟท์ (Frank Weishaupt) ประธานกรรมการบริหารแห่ง Owl Labs เห็นด้วยและสนับสนุนวิธีการทำงานแบบ Coffee Badging แฟรงค์มองว่า การเข้าออฟฟิศนั้นมีบทบาทสำคัญก็จริง แต่การบังคับอย่างเคร่งครัดว่าต้องเข้าทุกวันเวลานี้ แล้วอย่ากลับบ้านเร็วกว่าเวลานี้ เป็นแนวคิดคร่ำครึที่ไม่ตอบโจทย์การทำงานในปัจจุบัน เพราะคนทำงานไม่ได้ถูกจ้างให้เข้าออฟฟิศ แต่ถูกจ้างมาทำงานตามที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จลุล่วง

 

หลายบริษัทจำเป็นต้องปรับมุมมองและความเข้าใจในเรื่องนี้ใหม่ โดยเน้นอำนวยความสะดวกให้พนักงานทำงานได้ด้วยความสบายใจมากกว่ารู้สึกหวาดระแวงว่ากำลังถูกบริษัทจับผิด เพราะบริษัทส่วนใหญ่ยังคิดว่าการไม่เข้ามาทำงานในออฟฟิศเท่ากับไม่ได้ทำงาน ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องนัก วัฒนธรรมองค์กรที่ดีจึงควรสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจกันและความรับผิดชอบต่องาน มากกว่าคอยติดตามว่ากำลังทำอะไรอยู่ที่ไหน

 

แต่ถึงอย่างนั้น ยังมีบริษัทยักษ์ใหญ่อีกหลายแห่ง เช่น Amazon, Apple, X (Twitter), Dell และ Disney ที่ยืนยันให้พนักงานเข้ามาทำงานในออฟฟิศแบบเต็มเวลาโดยไม่มีข้อยกเว้น สวนทางกับเทรนด์ Coffee Badging และความต้องการของคนทำงานที่ไม่อยากเข้าออฟฟิศเต็มเวลา ซึ่งเป็นประเด็นที่ชวนให้ขบคิดและทำความเข้าใจกันต่อไปอีก

 

 

พบกันครึ่งทาง !
เหตุผลที่คนทำงานไม่อยากเข้าออฟฟิศเต็มเวลา

เมื่อการทำงานที่บ้านแบบ Work From Home และทำงานที่ไหนก็ได้โดยไม่ต้องเข้าออฟฟิศแบบ Work From Anywhere หรือ Hybrid Working ในช่วงล็อกดาวน์ขณะเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งเป็น New Normal หรือวิถีการทำงานแบบใหม่ในเวลานั้น ได้กลายมาเป็น Next Normal หรือ รูปแบบการทำงานใหม่ซึ่งเป็นผลมาจากความคุ้นชินในการปรับตัวหลังสถานการณ์โควิด-19 จนถึงปัจจุบัน นั่นหมายความว่าเทรนด์ Coffee Badging ถูกนับเป็นส่วนหนึ่งของ Next Normal นี้ด้วย

 

สอดคล้องกับผลสำรวจจากรายงาน Resetting Normal : Defining the New Era of Work หรือนิยามการทำงานยุคใหม่ ของ Adecco บริษัทที่ปรึกษาด้านทรัพยากรบุคคลที่มีออฟฟิศในหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย โดยสำรวจมุมมองต่อการทำงานหลังสถานการณ์โควิด-19 ของพนักงานออฟฟิศใน 25 ประเทศ รวม 14,800 คน ที่พบว่า

  • พนักงาน 73% ต้องการให้บริษัทให้ความสำคัญกับผลงานมากกว่าเรื่องชั่วโมงการทำงานในออฟฟิศ
  • พนักงาน 53% ต้องการระบบการทำงานที่ยืดหยุ่น คือ ให้อิสระเลือกได้เองว่าควรทำงานที่บ้านหรือเข้าออฟฟิศตามความเหมาะสมของเนื้องาน ในทางกลับกัน หากบริษัทบังคับให้เข้าออฟฟิศเต็มเวลา มีแนวโน้มว่าพนักงานจะตัดสินใจลาออกแล้วย้ายไปอยู่บริษัทที่ไม่เคร่งครัดเรื่องเข้าออฟฟิศแทน

 

หนึ่งในตัวอย่างของคนทำงานที่เลือกวิธีทำงานแบบ Coffee Badging คือ ยานนิค ไอวี่ (Yannique Ivey) เธอทำงานตำแหน่งที่ปรึกษาบริษัทเทคโนโลยีแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา ได้เปิดเผยเหตุผลว่า ต้องการหลีกเลี่ยงการจราจรที่ติดขัด เพราะเวลาเดินทางที่มากเกินไปและไม่จำเป็นทำให้เสียเวลาที่ควรเอาไปทุ่มเทกับการทำงาน เธอจึงเข้าออฟฟิศเดือนละไม่กี่ครั้ง และเลือกเวลาเข้าออฟฟิศช่วงสายราว 11.00 น. แล้วกลับบ้านเวลา 15.00 น. รวมเวลาอยู่ออฟฟิศครั้งละประมาณ 4 ชั่วโมง ซึ่งเพียงพอให้พูดคุยติดตามงานหรือประชุมหารือกับเพื่อนร่วมงาน

 

สำหรับคนทำงานในเมืองหลวงที่มีสภาพการจราจรแออัดอย่างกรุงเทพฯ หากไม่ได้บังเอิญมีบ้านหรือที่พักอาศัยอยู่ใกล้ออฟฟิศในระยะที่เดินเท้าไปกลับได้ คนทำงานต้องใช้เวลาเดินทางเฉลี่ย 58 นาทีต่อเที่ยว นานกว่าเวลาที่เหมาะสมซึ่งควรอยู่ระหว่าง 5-16 นาทีต่อเที่ยว และไม่ควรเกิน 30 นาทีต่อเที่ยว

 

เพราะระยะเวลาการเดินทางไปกลับระหว่างบ้านและออฟฟิศมีผลต่อสุขภาพจิต ยิ่งบ้านอยู่ไกลและใช้เวลาเดินทางนานมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้เครียด เหนื่อยทั้งกายและใจมากเท่านั้น ซึ่งส่งผลกระทบทางลบต่อการทำงานและการใช้ชีวิตได้ จึงเป็นเรื่องเข้าใจได้ทันทีหากมนุษย์เงินเดือนจะไม่เห็นด้วยกับนโยบายบริษัทที่ต้องการให้ทุกคนกลับเข้ามาทำงานในออฟฟิศทุกวัน

 

ท่ามกลางความต้องการของหลาย ๆ บริษัทที่อยากให้พนักงานประจำกลับมาเข้าออฟฟิศเต็มเวลา แต่กลับทำให้พนักงานส่วนมากมีความสุขน้อยลงและตัดสินใจเปลี่ยนงานมากขึ้น เทรนด์การทำงานใหม่แบบ Coffee Badging จึงเป็นทั้งทางออกให้กับบริษัทและคนทำงานโดยพบกันครึ่งทาง เพราะเปิดโอกาสให้ตกลงร่วมกันได้ว่า ต้องเข้าออฟฟิศเพื่อทำงานที่ต้องทำเป็นทีมในช่วงเวลาใดของวัน และเป็นวิธีรับมือกับความรู้สึกไม่อยากเข้าออฟฟิศของพนักงานประจำได้ เพราะมีส่วนช่วยให้ทำงานได้ไหลลื่น และกระตุ้นความกระตือรือร้นต่องานมากขึ้น

 

 

เหรียญมี 2 ด้านฉันใด
เทรนด์ Coffee Badging ย่อมมี 2 ด้านฉันนั้น

ต้องยอมรับว่า ถึงแม้เทรนด์การทำงานแบบ Coffee Badging จะตอบโจทย์มนุษย์เงินเดือนที่ต้องการความยืดหยุ่น และทำให้เกิด Work-Life Integration ได้จริง แต่เทรนด์นี้ไม่ได้เหมาะกับงานทุกประเภท จึงเป็นเรื่องของคนทำงานทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องปรึกษาหารือร่วมกันอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจ โดยพิจารณาจากข้อดีและข้อจำกัดต่อไปนี้

 

ข้อดีของ Coffee Badging

  • ลดความเครียดและปัญหาจากการเดินทาง เช่น ความเหนื่อยหน่ายที่ต้องเผชิญกับรถติด และความแออัดเบียดเสียดในขนส่งสาธารณะ ยืนยันได้จากผลสำรวจของ Owl Labs ซึ่งพบว่า หลังจากพนักงานได้ทำงานแบบ Coffee Badging แล้ว ผลคือพนักงาน 62% รู้สึกเครียดน้อยลงเพราะไม่ต้องเดินทางเข้าออฟฟิศทุกวัน
  • เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน (Productivity) ผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดพบว่า การทำงานที่ไม่ต้องเข้าออฟฟิศ เพิ่มความสามารถในการทำงานได้สูงถึง 13% เทรนด์ Coffee Badging จึงเหมาะกับลักษณะงานที่ต้องการสมาธิสูงและเป็นงานที่สามารถทำคนเดียวได้ เช่น การเขียนโปรแกรม การวิเคราะห์ข้อมูล หรือการออกแบบ เพราะช่วยตัดสภาพแวดล้อมในออฟฟิศที่รบกวนการทำงานออกไป โดยเฉพาะเสียงคุยของเพื่อนร่วมงาน

 

  • เพิ่มความไว้วางใจต่อองค์กร เพราะพนักงานรู้สึกว่าองค์กรใจกว้างที่อนุญาตให้เลือกวิธีการทำงานเองได้โดยไม่ต้องเข้าออฟฟิศเต็มเวลา ขณะเดียวกันก็ไม่ได้รู้สึกถูกตัดขาดให้ทำงานอย่างโดดเดี่ยว เพราะหัวหน้าและเพื่อนร่วมงานในทีมเดียวกันจะนัดวันเข้าออฟฟิศตามความเหมาะสมเพื่อมาพบปะและอัปเดตงานต่าง ๆ
  • ประหยัดค่าใช้จ่ายของทั้งพนักงานและองค์กร เมื่อไม่ต้องเดินทางมาทำงานที่ออฟฟิศทุกวัน จึงช่วยลดค่าใช้จ่ายส่วนตัวหลายอย่าง โดยเฉพาะค่าน้ำมัน ค่ารถ และค่าอาหาร ในฝั่งขององค์กรเอง ก็ช่วยลดค่าใช้จ่ายในออฟฟิศลงได้เช่นกัน ทั้งค่าสาธารณูปโภค ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอินเทอร์เน็ต ค่าอุปกรณ์สำนักงานต่าง ๆ

 

ข้อจำกัดของ Coffee Badging

  • ขาดการทำงานหรือพูดคุยแบบเห็นหน้า (Face-to-Face Working) เมื่อการมีปฏิสัมพันธ์ภายในทีมแบบทันทีทันใด (Real-Time) หายไป ทำให้การตัดสินใจในงานล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็น ผลกระทบต่องานที่ตามมาคือ งานเสร็จช้าลงเพราะเกิดความเข้าใจที่ผิดพลาดหรือคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง
  • ใช้ไม่ได้กับงานบริการที่ต้องพบปะหรือเจรจากับลูกค้า เนื่องจากมารยาทข้อสำคัญของการทำธุรกิจกับลูกค้าหรือคู่ค้าคือการพบปะต่อหน้า Coffee Badging จึงไม่เหมาะกับงานลักษณะนี้ โดยเฉพาะงานขายและงานให้บริการ รวมถึงยังใช้ไม่ได้กับงานที่ต้องใช้เครื่องไม้เครื่องมือเฉพาะ ซึ่งมีอยู่ในออฟฟิศหรือสถานที่จำเพาะเจาะจงเท่านั้น เช่น งานในห้องปฏิบัติการ งานสายการผลิตในโรงงาน

 

  • ลดโอกาสในการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาว ต้องยอมรับว่าในโลกของการทำงานนั้น การสร้างเครือข่ายหรือ Networking ภายในองค์กรคือเรื่องสำคัญที่มองข้ามไม่ได้ เพราะนอกจากช่วยกระชับความสัมพันธ์และเพิ่มการมีส่วนร่วมกับทีมแล้ว ยังมีส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงาน โดยเฉพาะงานที่ต้องอาศัยความเหนียวแน่น หรือความเป็นหนึ่งเดียวกันเพื่อทำงานให้สำเร็จ ซึ่งการทำงานแบบ Coffee Badging ไม่ตอบโจทย์ในเรื่องนี้
  • มีความท้าทายในการประเมินงาน (Performance Evaluation) สำหรับคนทำงานระดับหัวหน้าที่มีลูกน้องในทีมต้องดูแล การทำงานแบบ Coffee Badging อาจทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในหมู่คนทำงานได้ เพราะคนทำงานที่ใช้เวลาร่วมกับหัวหน้ามากกว่า ยอมได้รับโอกาสที่ดีกว่า ทั้งเรื่องติดตามงาน ขอคำปรึกษางาน และการพัฒนางาน ซึ่งทำให้เกิดอคติหรือความเอนเอียงได้

 

ถึงอย่างนั้น สิ่งที่ทำให้เทรนด์ทำงานแบบ Coffee Badging มีความโดดเด่นและได้รับความสนใจจากคนทำงาน คือ เป็นภาพแทนของ Work-Life Integration ที่คนทำงานสามารถใช้เป็นทางเลือกที่จะผสานงานให้กลมกลืนกับการใช้ชีวิตอย่างลงตัวที่สุด เพื่อสร้างความสุขที่แท้จริง ทั้งการงานและชีวิตส่วนตัว

 

ถึงตรงนี้ LIVE TO LIFE อยากถามคุณอีกครั้งว่า ถ้าเลือกได้ คุณอยากทำงานแบบไหน ? ระหว่าง ‘ทำงานที่บ้านแบบ Work From Home’ กับ ‘ทำงานแบบเข้าออฟฟิศเต็มเวลา 5 หรือ 6 วันต่อสัปดาห์’ และหวังให้คำตอบที่คุณเลือกตรงกับความเป็นจริงในชีวิตการทำงาน

 

 

อ้างอิง

SHARE

facebook
twitter
copy
Related articles / บทความที่เกี่ยวข้อง
Loading...