เมื่อ ‘Purpose’ มีพลังกว่า ‘Passion’ ไม่ต้องทำงานที่รักก็ได้แต่ต้องมีเป้าหมายอยู่เสมอ

27 May 2025 - 5 mins read

Lifestyle / Trends

Share

ทุกวันนี้คุณชอบ ‘งาน’ ที่ทำอยู่ไหม ? 

 

เราคงเคยได้ยินใครสักคนบอกว่า คนเราควรได้ทำงานที่ชอบ ต้องเจองานที่ใช่ และรู้สึกมี ‘แพสชัน’ เราถึงจะทำงานได้อย่างมีความสุข จนในยุคสมัยหนึ่งถึงกับมีกระแสคนพากันลาออกจากงานเพื่อไปทำตามความฝัน เพราะเชื่อว่านั่นจะเติมเต็มความหมายในชีวิตของเราได้ 

 

คงเป็นเรื่องดี หากตื่นเช้าขึ้นมาแล้วอยากออกไปทำงานที่เรารัก แต่ในชีวิตจริงอาจไม่เป็นเช่นนั้น เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะมีแพสชัน ไม่ใช่ทุกคนที่จะรู้ว่าตัวเองชอบอะไร ยังมีผู้คนอีกไม่น้อยที่กำลังทำงานโดยไม่ได้เริ่มต้นจาก ‘ความชอบ’  

 

บางคนไม่เคยคิดฝันว่าจะต้องรับช่วงต่อกิจการของครอบครัว บางคนไม่เคยฝันอยากเป็นพนักงานออฟฟิศ และหลายคนแค่กำลังทำงานเพื่อจะพอเลี้ยงชีพได้  

 

อย่างไรก็ตาม แม้งานของเราอาจไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยความหลงใหลตั้งแต่แรก  แต่หากเราสามารถค้นพบ ‘เป้าหมาย’ของตัวเองได้  เราก็สามารถเห็นคุณค่าและสนุกกับการทำงานได้เช่นกัน  

 

เป้าหมาย (Purpose) คือ การทำสิ่งที่มีคุณค่า ทั้งต่อตัวเอง ต่อผู้อื่น และต่อโลกใบนี้ ซึ่งทำให้การทำงานมีความหมาย 

ความหลงใหล หรือ แพสชัน (Passion) คือการทำในสิ่งที่ชอบ สร้างความพึงพอใจและเพลิดเพลินใจส่วนตัว 

 

มอร์เทน แฮนเซน (Morten Hansen) นักทฤษฎีการจัดการและศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ได้ทำวิจัยเพื่อหาความสัมพันธ์ของ ‘Passion’ และ ‘Purpose’ ที่จะส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงาน พบว่า… 

 

หากคนเรามี Passion และ Purpose จะมีประสิทธิภาพการทำงานอยู่ เปอร์เซ็นไทล์ที่ 80 

มีเฉพาะ Purpose จะมีประสิทธิภาพการทำงานอยู่ เปอร์เซ็นไทล์ที่ 64  

มีเฉพาะ Passion จะมีประสิทธิภาพการทำงานเพียงเปอร์เซ็นไทล์ที่ 20

 

จะเห็นได้ว่าทั้ง เป้าหมาย และ แพสชัน ต่างก็สำคัญไม่แพ้กัน สองสิ่งนี้คือส่วนผสมชั้นดีที่ช่วยให้คนเราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและรู้สึกได้เติมเต็มคุณค่าในชีวิต เมื่อขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไป ก็ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของเราลดลงได้  

 

อย่างไรก็ตาม ในยุคสมัยนี้ ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีได้ทั้ง 2 อย่างได้ บางคนเปี่ยมด้วยแพสชัน แต่ยังขาดเป้าหมาย บางคนอาจทำงานอย่างมีเป้าหมายโดยมีแพสชันแค่น้อยนิด ยิ่งในยุคที่เศรษฐกิจกำลังตกต่ำเช่นนี้ เชื่อว่าหลายคนไม่มีโอกาสได้เลือกงานที่ชอบมากนัก การลาออกเพื่อไปทำตามงานที่มีแพสชันยิ่งเป็นไปได้ยาก 

 

จากการสำรวจของ โธมัส เจ. สแตนลีย์ (Thomas J. Stanley) นักเขียนและนักทฤษฎีธุรกิจชาวอเมริกัน ผู้เขียนหนังสือ The Millionaire Next Door พบว่ามีเศรษฐีสร้างตัวเพียง 55% เท่านั้นที่เลือกทำอาชีพที่ทำอยู่เพราะรักงาน ส่วนที่เหลือพวกเขาเผยว่าเลือกอาชีพนั้นเพราะเงิน  

 

และบ่อยครั้งที่พอได้เงินตามที่ต้องการแล้ว พวกเขาก็จะค่อย ๆ ค้นพบความอิ่มเอมใจอื่นที่ยิ่งใหญ่กว่าซ่อนอยู่ในการทำงาน ซึ่งนั่นหมายถึง ‘แพสชัน’ นั่นเอง   

 

‘เป้าหมาย’ ดีกับการทำงานอย่างไร  

 

จอน จาชิโมวิช (Jon Jachimowicz) ศาสตราจารย์จาก Harvard Business School ได้ทำการศึกษาพนักงานหลายร้อยคนพบว่า คนที่เชื่อว่าการทำตามแพสชันจะทำให้เรามีความสุข มักจะไม่ประสบความสำเร็จในการทำงาน และมีแนวโน้มที่จะลาออกมากกว่า  

 

อาจฟังดูโหดร้าย ต่างจากภาพอุดมคติที่เราเคยเห็นในภาพยนตร์วัยรุ่นสร้างตัว แต่ในโลกของการทำงานจริง ๆ เป็นเรื่องธรรมดาที่คนคนหนึ่งจะรู้สึกว่าตัวเองกำลังล้มเหลวและห่างไกลจากความฝันเข้าไปทุกที ใครที่กำลังรู้สึกแบบนี้อยู่ ขอให้รู้ว่าคุณไม่ได้โดดเดี่ยวอย่างแน่นอน   

 

ทำไมมีแค่ ‘แพสชัน’ ถึงยังไม่เพียงพอ ? นั่นเป็นเพราะแพสชัน เป็นเพียงความรู้สึก ที่มักไม่ยั่งยืนและมั่นคงไปตลอด  

 

หากเปรียบการทำงานเป็นความสัมพันธ์แบบคู่รัก แม้เราจะรักกันในช่วงแรก แต่พอคบกันจริง ๆ แล้วเป็นธรรมดาที่ต้องเจอปัญหา เห็นด้านที่ไม่ดีของกันและกัน ถ้าจัดการความรู้สึกได้ก็ดีไป แต่ส่วนใหญ่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ มักเป็นชนวนให้เลิกกัน เนื่องจากสมองของมนุษย์มักจะโฟกัสกับอารมณ์ด้านลบได้ง่าย แม้จะทุกข์เล็กน้อย แต่หากเป็นทุกข์ไปนาน ๆ เราก็หมดใจลงได้ กับงานก็เช่นกัน หากเราขับเคลื่อนด้วยแพสชันเพียงอย่างเดียว เมื่อแพสชันเริ่มแห้งเหือดไป ก็อาจทำให้เกิด ภาวะหมดไฟ (Burn Out) ขึ้นมาได้ 

 

ในวันที่ท้อแท้กับการทำงาน เราไม่ได้ขาดแค่แพสชันเพียงอย่างเดียว แต่เราอาจขาด ‘เป้าหมาย’ ซึ่งเป็นคู่หูอยู่ด้วยก็เป็นได้ เพราะเป้าหมายมีคุณสมบัติมากมายที่มีส่วนช่วยขับเคลื่อนงานของเรา เช่น 
 

  • ทำให้เห็น ‘ปัจจุบัน’ และ ‘อนาคต’ ว่าเราจะทำงานอย่างไรเพื่อตอบโจทย์อนาคตที่ต้องการ ในขณะที่แพสชันนั้นเป็นความรู้สึกที่ยึดโยงกับอดีต เช่น ความฝันในวัยเด็ก แรงบันดาลใจที่เคยได้รับ
  • สร้างแรงจูงใจในระยะยาว แพสชันอาจจะมีพลังรุนแรง ทำให้เรารู้สึกตื่นเต้นในช่วงแรก ๆ สักพักอาจจางหายไป แต่เป้าหมายจะสร้างแรงจูงใจและความมุ่งมั่นในระยะยาวได้
  • อดทนต่ออุปสรรคได้ดี เป้าหมายช่วยให้เราเอาชนะอุปสรรคและความล้มเหลวได้ดี เราจะยังเดินหน้าต่อไปเพราะเห็นความสำคัญของสิ่งที่กำลังทำอยู่
  • สอดคล้องกับคุณค่าในชีวิต เมื่อเป้าหมายเชื่อมโยงกับสิ่งที่เราให้คุณค่าหรือความเชื่อที่เรายึดถือ การทำงานก็จะมีความหมายมากขึ้น บ่อยครั้งที่เป้าหมายคือการทำเพื่อคนอื่น สังคม หรือโลก เมื่อได้ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ไปมากกว่าเพื่อตัวเอง เราก็จะยิ่งเห็นคุณค่าของงานที่ทำ
  • ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เมื่อทำงานอย่างมีความหมาย เราจะอยากทำงานให้ดี อยากสร้างมูลค่าให้งานของเราโดยอัตโนมัติ และในขั้นตอนนี้จะนำมาซึ่ง ‘แพสชัน’ ที่ลุกโชนอีกครั้ง

 

เราจะสร้าง ‘เป้าหมาย’ ในการทำงานได้อย่างไร  

 

เป้าหมายในการทำงานมีได้ทั้งระยะสั้นและระยะยาว ไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร ไม่ต้องอิงกับความต้องการของสังคม เราทุกคนสามารถเริ่มตั้งเป้าหมายด้วยคำถามง่าย ๆ ดังต่อไปนี้ 
 

  • เริ่มถามตัวเองว่า ‘เราทำงานเพื่ออะไร ?’ เราอาจทำงานมานานจนเคยชินและลืมถามตัวเองไปว่าเราทำสิ่งนี้อยู่เพื่ออะไร เชื่อว่าคำตอบแรกของหลายคนอาจเป็นเรื่อง ‘เงิน’ ให้ถามต่อว่าเราต้องการเงินเยอะ ๆ ในชีวิตเพื่อเป้าหมายอะไร นั่นแหละคือคำตอบของการทำงาน
  • ลองถามตัวเองว่า ‘เราทำงานเพื่อใคร’ ลองหาว่างานที่เราทำดีต่อคนอื่นอย่างไร มีประโยชน์หรือสร้างความเปลี่ยนแปลงอะไรให้โลกได้บ้าง เราจะรู้สึกถึงคุณค่าของงานเมื่อเรามีส่วนสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นให้กับคนอื่น ๆ หรือโลกใบนี้
  • งานไหนที่ทำให้เราภาคภูมิใจในตัวเองมากที่สุด ลองย้อนกลับไปสำรวจการทำงานที่ผ่านมาว่าเราภาคภูมิใจในตัวเองที่สุดตอนไหน เพราะอะไร เหตุการณ์เหล่านั้นอาจทำให้เราค้นพบเป้าหมายเดิม ๆ ที่เราหลงลืมไปก็ได้
  • จุดแข็งของเราคืออะไร ? เราถนัดเรื่องไหนที่สุด ทำอะไรเก่งที่สุด เหมาะกับงานแบบไหนที่สุด ให้ใช้ความสามารถนั้นมากำหนดบทบาทใหม่ ๆ ของเราในทีมเพื่อให้ทำงานอย่างมีเป้าหมายมากขึ้นได้ เช่น จุดแข็งคือเป็นคนพูดเก่ง เลยวางบทบาทตัวเองให้มีส่วนในการช่วยสื่อสาร พูดคุย หรือนำเสนองานมากขึ้น
  • ลองทำสิ่งที่ต่างออกไปบ้างหรือยัง ? บางครั้งความจำเจ เคยชินก็ทำให้เราเบื่อการทำงาน ทดลองทำสิ่งใหม่ที่ไม่เคยทำ ท้าทายตัวเองเพื่อเปิดโลก อาจทำให้เราค้นพบเป้าหมายใหม่สำหรับการทำงานก็ได้
  • แทนที่จะบอกตัวเองว่า ‘ฉันชอบอะไร’ ให้บอกว่า ‘ฉันจะทำสิ่งที่ฉันชอบ เพื่ออะไร’ เช่น ฉันชอบร้องเพลงเพราะอยากเห็นคนฟังมีความสุขกับเสียงที่ฉันร้อง, ฉันจะเขียนหนังสือเพราะงานเขียนของฉันจะทำให้คนเพลิดเพลินและเปลี่ยนมุมมองชีวิตของเขาได้, ฉันรักษาคนไข้เพราะฉันอยากให้คนไข้หายป่วยและมีชีวิตต่อไป เป็นต้น 

 

เมื่อเรามีเป้าหมายแล้ว ไฟของแพสชันก็จะถูกจุดขึ้นอีกครั้ง การที่เรารู้ว่าเรากำลังทำงานนี้เพื่ออะไรจะนำมาซึ่งความสุขและความอิ่มเอมที่ยั่งยืน   

 

อ้างอิง 

 

SHARE

facebook
twitter
copy
Related articles / บทความที่เกี่ยวข้อง
Loading...