

ชวนเที่ยวสิงคโปร์ ไขความลับ Blue Zone แห่งใหม่ของโลก ที่ทำให้สุขภาพดีและมีอายุยืน
Travel / World
23 Jul 2025 - 5 mins read
Travel / World
SHARE
23 Jul 2025 - 5 mins read
ใครที่คิดว่า “สิงคโปร์ไม่มีอะไรให้เที่ยว ไปครั้งเดียวก็พอ” LIVE TO LIFE ขอเถียงขาดใจ !
เพราะประเทศเล็ก ๆ แห่งนี้ กำลังเป็นจุดหมายใหม่ของ Wellness Tourism หรือการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพระดับโลก หลังจากได้รับการยกย่องให้เป็น Blue Zone 2.0 หรือประเทศ Blue Zone แห่งที่ 6 ของโลก
สิงคโปร์จึงไม่ได้มีแค่ ‘แลนด์มาร์ก’ ชื่อดังที่ใครหลายคนอยากเดินทางไปถ่ายรูปเช็กอินอย่าง Merlion Park, Gardens by the Bay, Marina Bay Sands และ Universal Studios Singapore แต่ยังมีแหล่งท่องเที่ยวอื่น ๆ ที่น่าสนใจอีกมากมาย โดยเฉพาะ ‘พื้นที่สีเขียว’ ที่กระจายอยู่ทั่วสิงคโปร์ ซึ่งรอคอยให้ทุกคนหาโอกาสมาสัมผัสกับความสวยงามและความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติด้วยตัวเองสักครั้ง
เพื่อเป็นการวอร์มอัพก่อนออกทริป LIVE TO LIFE อยากชวนทุกคนมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Blue Zone ว่าคืออะไร ? สำคัญอย่างไร ? และ ทำไมสิงคโปร์ถึงกลายเป็น Blue Zone แห่งล่าสุด ?
ไขความลับ Blue Zone
ดินแดนแห่งสุขภาพดีและมีความสุข
Blue Zone เป็นคำเฉพาะที่เอาไว้ใช้เรียกพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งที่มีผู้คนอายุยืนและมีสุขภาพดีอาศัยอยู่มากกว่าที่อื่น ๆ ของโลก มีจุดเริ่มต้นมาจากงานวิจัยด้าน Gerontology หรือ ชราศาสตร์ศึกษาในปี ค.ศ. 1999 ซึ่งนำไปสู่การค้นพบความลับว่า ประชากรชายส่วนใหญ่ที่ใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านบนเกาะซาร์ดิเนีย ประเทศอิตาลี แม้แก่ชรา แต่กลับแข็งแรงและมีอายุยืนยาวที่สุดในโลก เพราะหลายคนมีอายุเกิน 100 ปี ทั้งหมดนี้มีสาเหตุมาจากชีวิตที่อยู่ดี กินดี ใกล้ชิดธรรมชาติ และมีความสุขกับสิ่งต่าง ๆ รอบตัว
การค้นพบ Blue Zone แห่งแรกของโลก ได้สร้างแรงบันดาลใจให้แดน บิวต์เนอร์ (Dan Buettner) นักสำรวจชาวอเมริกันออกเดินทางทั่วโลกเพื่อค้นหา Blue Zone แห่งอื่น ๆ จนถึงปัจจุบันพื้นที่ Blue Zone ของโลก จึงมีเพียง 6 แห่ง ได้แก่
- เกาะซาร์ดิเนีย ประเทศอิตาลี : มีประชากรชายอายุยืนที่สุดในโลก สุขภาพดีจากอาหารเมดิเตอร์เรเนียน
- เกาะโอกินาวา ประเทศญี่ปุ่น : มีประชากรหญิงอายุยืนที่สุดในโลก เน้นปรุงอาหารจากผักท้องถิ่น ปลาทะเล และถั่วเหลือง
- เมืองโลมา ลินดา รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา : คนส่วนใหญ่เป็นมังสวิรัติ หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- หมู่เกาะอิคาเรีย ประเทศกรีซ : ผู้คนที่นี่มีอัตราการเป็นโรคสมองเสื่อมและโรคหัวใจต่ำกว่าทุกที่บนโลก
- เมืองนิโคยา ประเทศคอสตาริกา : เน้นวิถีชีวิตที่เรียบง่าย อยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวใหญ่ และเคลื่อนไหวร่างกายเป็นประจำ
- ประเทศสิงคโปร์ : ประชากรมีอายุยืนสูงขึ้นต่อเนื่องอย่างก้าวกระโดด จากอายุเฉลี่ย 65 ปี ใน ค.ศ. 1960 สู่อายุเฉลี่ย 84 ปีในปัจจุบัน
สิ่งสำคัญที่ส่งเสริมให้สิงคโปร์ได้รับการยกย่องเป็น Blue Zone แห่งล่าสุด คือ นโยบายที่เน้นพัฒนาคนควบคู่กับการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน ซึ่งสนับสนุนให้ผู้คนออกมาทำกิจกรรมสร้างเสริมสุขภาพ โดยเน้นการดูแลตัวเองให้แข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ ผ่านกิจวัตรที่ทำได้ทุกวัน สิงคโปร์จึงเติบโตเป็นประเทศที่เพียบพร้อมทุกด้าน เหมาะทั้งใช้ชีวิตและไปท่องเที่ยว
LIVE TO LIFE รับรองว่าทริปสิงคโปร์ครั้งนี้ จะไม่เหมือนกับครั้งไหน ๆ เพราะเป็นทริปแนะนำแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่จะสร้างประสบการณ์น่าประทับใจให้ทุกคนได้เห็นสิงคโปร์ในมุมมองใหม่ ซึ่งใครหลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อน และสร้างแรงบันดาลใจให้ลองปรับจังหวะชีวิตตลอดทริปนี้ เพื่ออยู่ดีและกินดีตามวิถี Blue Zone ในแบบคนสิงคโปร์
ออกสำรวจเมืองในสวน
โอบกอดธรรมชาติที่ดีต่อปอดและดีต่อใจ
ด้วยลักษณะของประเทศที่เป็นเกาะ ทำให้สิงคโปร์มีพื้นที่และทรัพยากรอย่างจำกัด แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา เพราะสิงคโปร์พัฒนาเมืองบนแนวคิด City in the Garden หรือ เมืองในสวน มาตลอด จนถึงวันนี้สิงคโปร์กลายมาเป็นประเทศที่มีพื้นที่สีเขียวต่อประชากรมากเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก
สังเกตง่าย ๆ ไม่ว่ามองไปทางไหน จะเห็นต้นไม้และพื้นที่สีเขียวได้อย่างเด่นชัด แม้แต่บนตึกสูง ก็ยังมีสวนอยู่บนดาดฟ้า (Roof Garden) และสวนแนวตั้งริมระเบียง (Vertical Garden) รวมถึงพื้นที่สีเขียวภายในอาคารปิด (Indoor Greenery) ทั้งหมดสะท้อนให้เห็นความมุ่งมั่นของสิงคโปร์ที่อยากให้ทุกชีวิตอยู่ร่วมกับธรรมชาติ เพราะความเขียวขจีของต้นไม้ใบหญ้าเหล่านี้ดีต่อใจ ช่วยให้ผู้คนรู้สึกผ่อนคลายและสบายตา พร้อมกับได้รับอากาศสะอาดที่ดีต่อปอด
เมื่อเดินทางมาถึงสิงคโปร์ LIVE TO LIFE อยากให้ทุกคนปักหมุดแวะ Jewel Rain Vortex หรือน้ำตกในอาคารที่สูงที่สุดในโลกที่อยู่ท่ามกลางความร่มรื่นของต้นไม้กว่า 2,000 ต้น เปรียบได้กับเพชรเม็ดงามใจกลาง Jewel Changi Airport ไลฟ์สไตล์คอมเพล็กซ์ซึ่งเป็นส่วนต่อขยายของสนามบินชางงี โดยแต่ละเทอร์มินอล มีป้ายบอกเส้นทางไว้บริการนักท่องเที่ยว จึงไม่ต้องกลัวว่าจะหลงทางหรือเดินมาชมน้ำตกไม่ถูก
หากเข้าไปยืนชมในระยะใกล้ จะได้สัมผัสกับละอองน้ำที่ฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศ ช่วยเพิ่มความรู้สึกสดชื่นราวกับกำลังยืนอยู่ในป่าเงียบสงบที่ได้ยินแต่เสียงน้ำตก เมื่อถึงเวลาพลบค่ำที่ดวงอาทิตย์ลาลับฟ้าไปแล้ว จะมีการแสดงแสงสีเสียงดนตรีประกอบน้ำตกให้ชมฟรี เป็นภาพความสวยงามตระการตาที่แตกต่างจากช่วงเวลากลางวันอย่างสิ้นเชิง
ส่วนคนที่อยากรีบออกจากสนามบินเพื่อไปท่องเที่ยวทันที แนะนำให้แวะชมน้ำตกขากลับแทน สามารถตรวจสอบเวลาเปิด-ปิดน้ำตก และรอบการแสดงในแต่ละวันได้ที่ www.jewelchangiairport.com
หลังจากได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพื้นที่สีเขียวในอาคารปิดแห่งนี้แล้ว ชวนให้อดคิดไม่ได้ว่า ขนาดป่าจำลองฝีมือมนุษย์ยังสวยงามขนาดนี้ แล้วพื้นที่สีเขียวกลางแจ้งที่ธรรมชาติได้เติบโตและเบ่งบานเต็มที่จะสวยงามและสมบูรณ์ขนาดไหน ?
ไม่ต้องไปหาข้อมูลเองให้เสียเวลา เพราะ LIVE TO LIFE คัดเลือกแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติและสุขภาพ ที่เหมาะสำหรับออกสำรวจเมืองในสวนทั่วสิงคโปร์มาไว้ให้ทุกคนเลือกไปเที่ยวตาม ดังนี้
ทางเดินลอยฟ้าชมวิวเมืองและสวนมุมสูง
ไม่มีจุดชมวิวที่ไหนจะมองเห็นความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติในสิงคโปร์ได้สวยงามเท่าตอนยืนอยู่บน เซาเทิร์น ริดจ์ (The Southern Ridges)
เพราะนี่คือทางเดินลอยฟ้ายาว 10 กิโลเมตร ที่เชื่อมต่อสวนสาธารณะและพื้นที่สีเขียวทางตอนใต้ของสิงคโปร์ทั้งหมดเข้าไว้ด้วยกัน มีจุดเริ่มต้นที่สวนเมาท์เฟเบอร์ (Mount Faber Park), สวนทีล็อค บลังกา ฮิลล์ (Telok Blangah Hill Park), ฮอร์ทพาร์ก (Hort Park), สวนเคนท์ริดจ์ (Kent Ridge Park) และสิ้นสุดที่เขตอนุรักษ์ธรรมชาติลาบราดอร์ (Labrador Nature Reserve)
ถ้าต้องการเดินให้ครบทั้งเส้นทาง จะใช้เวลาประมาณ 3-5 ชั่วโมง เพราะระหว่างทางมีจุดชมวิวพาโนรามาให้พักดูความสวยงามของเมือง อ่าว และหมู่เกาะทางใต้เป็นระยะ ที่สำคัญมีทางลาดและบันไดให้แวะทำกิจกรรมภายในสวนแต่ละแห่งด้วย เช่น เดินเล่นในสวนผีเสื้อ ฟังเสียงนกร้องในป่าใหญ่ ดูแมลงปอที่บินว่อนเหนือบ่อน้ำ และเดินสำรวจป่าชายเลน สามารถวางแผนเส้นทางเดินด้วยตัวเองได้ที่ www.nparks.gov.sg
แต่จุดชมวิวของเส้นทางเดินลอยฟ้าที่พลาดไม่ได้ คือ สะพานเฮนเดอร์สันเวฟ (Henderson Waves Bridge) นอกจากความโดดเด่นด้านสถาปัตยกรรมที่ออกแบบสะพานพื้นไม้ความยาว 274 เมตรให้โค้งเว้าเป็นเกลียวคลื่นกระเพื่อมขึ้นลงแล้ว ที่นี่ยังเป็นจุดสูงสุดของเส้นทางเดินลอยฟ้า ด้วยความสูง 36 เมตรเทียบเท่าตึก 12 ชั้นทำให้มองเห็นเมืองสิงคโปร์ที่มีธรรมชาติเขียวขจีโอบล้อมเอาไว้
นอกจากนี้ ในช่วงย่ำค่ำถึงย่ำรุ่งของทุกวัน ระหว่างเวลา 19.00-07.00 น. สะพานเฮนเดอร์สันเวฟจะเปิดไฟประดับ เป็นแสงไฟสีนวลที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น ช่วยเปลี่ยนบรรยากาศโดยรอบให้กลายเป็นสถานที่สุดโรแมนติกแวดล้อมด้วยธรรมชาติที่กำลังหลับใหล
เดินป่าท่องเขาริมอ่างเก็บน้ำ
เตรียมสวมรองเท้าคู่เก่งให้พร้อม เพราะ LIVE TO LIFE จะชวนทุกคนลัดเลาะไปตามเส้นทางเดินป่าริมอ่างเก็บน้ำที่ อุทยานและเขตอนุรักษ์ธรรมชาติแม็คริตชี (MacRitchie Nature Trail & Reservoir Park) ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางของสิงคโปร์พอดี ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมสำหรับนักวิ่ง นักเดินป่าขึ้นเขา คนที่ชื่นชอบกีฬาทางน้ำอย่างพายเรือคายัคและเรือแคนู และคนที่หลงใหลในธรรมชาติ เพราะมีกิจกรรมที่หลากหลายให้เลือกทำตามความสนใจ
ทางเดินท่องป่าเขาแห่งนี้ มีให้เลือก 6 เส้นทาง แบ่งเป็น 3 ระดับ คือ ระดับง่าย ระดับปานกลาง และระดับยาก ศึกษาแต่ละเส้นทางอย่างละเอียดได้ที่ www.nparks.gov.sg ทุกเส้นทางพาลัดเลาะไปตามป่าฝนเขตร้อนที่อยู่รอบอ่างเก็บน้ำเหมือนกัน ทำให้ได้สัมผัสกับความสมบูรณ์ของธรรมชาติแบบใกล้ชิด และได้เห็นสัตว์ประจำถิ่นที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ ทั้งลิงแสม กระรอก และตัวเงินตัวทอง แต่สัตว์ที่เป็นเหมือนตัวซีเครทเพราะไม่ค่อยออกมาให้เห็นได้ง่าย ๆ คือ บ่างพุงจง และนกฮูก เพราะเป็นสัตว์ที่รักความสงบและออกหากินเวลากลางคืนเท่านั้น หากใครเห็นในเวลากลางวันจะถือว่าโชคดี
นอกจากทางเดินทางราบ ที่นี่ยังมี Treetop Walk หรือ ทางเดินเหนือยอดไม้ เป็นเส้นทางสะพานแขวนเชือกยาว 250 เมตร ซึ่งทอดผ่านผืนป่าด้านล่าง ทำให้ได้เห็นภาพมุมสูงของต้นไม้ที่ขึ้นอยู่หนาแน่นทั่วบริเวณ
ชมพันธุ์กล้วยไม้หายากในสวนพฤกษศาสตร์
สิงคโปร์มีสวนหลายแห่งก็จริง แต่ สวนพฤกษศาสตร์สิงคโปร์ (Singapore Botanic Gardens) แห่งนี้ คือสวนที่มีอายุเก่าแก่ที่สุด เปิดให้เข้าชมครั้งแรกในปี ค.ศ. 1859 เป็นสวนที่รวบรวมพืชพรรณเขตป่าร้อนชื้นไว้มากกว่า 60,000 ต้น บรรยากาศทั่วทั้งสวนจึงร่มรื่นและเย็นสบายตลอดวัน เหมาะกับการทำกิจกรรมนันทนาการและพักผ่อนหย่อนใจ คนส่วนใหญ่นิยมชวนกันมานั่งปิกนิกบนลานหญ้าเขียวชอุ่ม เดินเล่นชมต้นไม้ และวิ่งเหยาะ เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 05.00-24.00 น.
ภายในสวนพฤกษศาสตร์แห่งนี้ ยังแบ่งพื้นที่เป็น สวนกล้วยไม้แห่งชาติ (National Orchid Garden) ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เปิดให้เดินชมกล้วยไม้แบบใกล้ชิดมากกว่า 3,000 ชนิด ทั้งส่วนจัดแสดงพันธุ์กล้วยไม้สวยงาม และส่วนเพาะพันธุ์กล้วยไม้หายากที่หาชมทั่วไปไม่ได้ ถือเป็นแหล่งขุมทรัพย์ธรรมชาติเพื่อคนที่รักกล้วยไม้โดยเฉพาะ ซึ่งเปิดให้เข้าชมในเวลา 08.30-19.00 น. เท่านั้น
การเข้าชมเฉพาะสวนกล้วยไม้แห่งชาติ จำเป็นต้องซื้อบัตรก่อน ตรงจุดจำหน่ายด้านหน้าทางเข้า ในราคา 15 ดอลลาร์สิงคโปร์ (ประมาณ 383 บาท) สำหรับนักเรียนและผู้สูงวัย อายุ 60 ปีขึ้นไป ซื้อบัตรได้ในราคาพิเศษเพียง 3 ดอลลาร์สิงคโปร์ (ประมาณ 77 บาท) ส่วนเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี เข้าชมฟรี ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.nparks.gov.sg/sbg
ปั่นจักรยานริมหาดรับลมทะเล
การปั่นจักรยานเล่นอาจเป็นเรื่องแสนยุ่งยากสำหรับประเทศอื่น ๆ แต่ไม่ใช่กับสิงคโปร์ โดยเฉพาะที่ อีสท์โคสท์พาร์ก (East Coast Park) ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักปั่นทั้งมือสมัครเล่นและมืออาชีพ ด้วยระยะทาง 15 กิโลเมตร ที่ทอดตัวยาวตามแนวชายหาด ทำให้นักปั่นทุกคนได้รับลมทะเลเย็นสบายตลอดทาง สร้างความเพลิดเพลินให้กับการปั่นจักรยานได้ไม่มีเบื่อ
ที่นี่มีร้านเช่าจักรยานให้เลือกหลายราคาขึ้นอยู่กับขนาดและรุ่น สำหรับจักรยานทั่วไป ราคาเช่าชั่วโมงแรกเริ่มต้นที่ 12 ดอลลาร์สิงคโปร์ (ประมาณ 300 บาท) ส่วนจักรยานสำหรับครอบครัวที่มีเบาะให้นั่งซ้อนได้ ราคาเช่าชั่วโมงแรกเริ่มต้นที่ 40 ดอลลาร์สิงคโปร์ (ประมาณ 1,000 บาท) ชั่วโมงถัดไปคิดราคาเพียง 4 ดอลลาร์สิงคโปร์ (ประมาณ 100 บาท) ราคานี้รวมหมวกกันน็อกแล้ว
ระหว่างทางที่ปั่นจักรยาน จะเห็นว่ามีคนทุกวัยมากมายออกมาทำกิจกรรมเพื่อสุขภาพ มีทั้งผู้สูงอายุกำล้งรำกระบี่ไท้เก๊ก (Tai Chi) คนพาน้องหมาเดินเล่น และคนที่เล่นกีฬาผาดโผน เพราะว่ามีลานสเก็ตมาตรฐานระดับโลกอย่าง Xtreme SkatePark ให้บริการ รวมถึงคนที่นัดกันมาจัดปาร์ตี้ปิ้งย่างริมชายหาดใต้ต้นมะพร้าวและต้นสนทะเล เป็นภาพความสุขและความสนุกของผู้คนที่ได้ทำกิจกรรมกลางแจ้งท่ามกลางแสงแดดอันสดใสตลอดทั้งวัน
ด้วยระยะทางที่ทอดยาวและขนาดพื้นที่ที่กว้างขวางของอีสท์โคสท์พาร์ก แนะนำให้ดูจุดที่ตั้งของสถานที่ต่าง ๆ เพื่อวางแผนการทำกิจกรรมล่วงหน้าผ่านทาง http://www.nparks.gov.sg/
กินดี กินอร่อย แบบฉบับคนสิงคโปร์
อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ต้นว่า เป็นทริปแนะนำแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในสิงคโปร์ที่สร้างประสบการณ์อยู่ดีและกินดีตามวิถี Blue Zone อีกหนึ่งคำถามที่ LIVE TO LIFE ต้องไขคำตอบก็คือ คนสิงคโปร์กินอะไร ? ถึงทำให้มีอายุยืนติดอันดับต้น ๆ ของโลก
คนไทยเราถือเรื่องกินเป็นเรื่องใหญ่ โดยเฉพาะตอนไปเที่ยวต่างประเทศ เพราะหลายคนมักจะเกิดความกังวลว่าอาหารต่างถิ่นอาจไม่อร่อยหรือไม่ถูกปากเท่าอาหารไทย แต่ในอีกมุมหนึ่ง ถือเป็นโอกาสดีที่จะได้เปิดใจลิ้มลองรสชาติอาหารท้องถิ่นของประเทศนั้น ๆ
สิงคโปร์มีชื่อเสียงโด่ดดังในเรื่อง Hawker Centers เพราะที่นี่คือศูนย์อาหารสาธารณะในราคาย่อมเยาที่รวบรวมร้านอาหารริมทางและแผงลอยมาไว้ในที่เดียว ซึ่งมีหลายแห่งกระจายตัวอยู่ทั่วสิงคโปร์ เช่น Maxwell Food Center และ Newton Food Center
ด้วยภูมิหลังของสิงคโปร์ที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของมาเลเซีย และเป็นดินแดนที่มีผู้อพยพจากหลากหลายประเทศเข้ามาตั้งรกรากอยู่ร่วมกัน อาหารท้องถิ่นทั้งคาวและหวานของสิงคโปร์จึงเกิดจากการผสมผสานของวัฒนธรรมอาหารหลากหลายชาติ ทั้งมาเลเซีย อินเดีย และจีน
ถึงแม้ว่า Hawker Centers จะขึ้นชื่อเรื่องแหล่งรวมของอร่อยที่ขายในราคาดี แต่คนสิงคโปร์จำนวนมากเริ่มหันมาใส่ใจสุขภาพ และเลือกเมนูที่ดีต่อร่างกายกันมากขึ้น ร้านในศูนย์อาหารทั่วสิงคโปร์จึงเริ่มติดป้าย ‘Healthier Choice’ เพื่อบอกให้รู้ว่า ร้านนี้มีอาหารเพื่อสุขภาพเป็นตัวเลือก ช่วยให้คนสิงคโปร์และนักท่องเที่ยวเข้าถึงเมนูสุขภาพได้ง่ายและสะดวกขึ้น
หนึ่งในเมนูสุขภาพที่ได้รับความนิยมในสิงคโปร์ คือ Brown Rice Mixed Veggies หรือข้าวกล้องผักผัดน้ำมันน้อย ใส่เต้าหู้ตุ๋น และฟองเต้าหู้ เหมาะกับคนใส่ใจสุขภาพที่อยากลดเนื้อสัตว์ แต่ยังได้โปรตีนและสารอาหารครบถ้วน
อีกเมนูสุขภาพที่ต้องลอง คือ เล่ยฉ่าฟ่าน (Lei Cha Fan) หรือ Thunder Tea Rice เมนูชื่อแปลกนี้แปลมาจากชื่อภาษาจีน เพราะ ‘Lei’ ที่แปลว่า บด พ้องเสียงกับคำที่มีความหมายว่า ฟ้าผ่า เป็นข้าวกล้องราดน้ำซุปสมุนไพรสีเขียวเข้ม เสิร์ฟพร้อมผักต้ม เต้าหู้ และถั่วลิสง เป็นอาหารท้องถิ่นสิงคโปร์ที่มีต้นกำเนิดมาจากชาวจีนแคะ หรือฮากกา ใครได้ลิ้มลองรับรองว่าทั้งรสชาติอร่อยและดีสุขภาพ
สำหรับคนที่รักสุขภาพแต่อยากลองเมนูดังของสิงคโปร์อย่าง ข้าวมันไก่ไหหลำ (Hainanese Chicken Rice) แนะนำให้เลือกเวอร์ชันเพื่อสุขภาพได้ เช่น เลือกข้าวไม่มัน ลอกหนัง และเลือกซุปใสที่ไม่ปรุงจนเค็มจัด
อีกหนึ่งจานอร่อยที่มีต้นกำเนิดมาจากจีน คือ บักกุ๊ดเต๋ (Bak Kut Teh) คำว่า ‘บัก’ หมายถึง เนื้อ, ‘กุ๊ด’ หมายถึง กระดูก, และ ‘เต๋’ หมายถึง ชา บักกุ๊ดเต๋ของสิงคโปร์จึงเป็นซุปกระดูกหมูที่ตุ๋นกับเครื่องเทศและสมุนไพรหลากหลายชนิดเป็นเวลาหลายชั่วโมงจนนุ่ม เครื่องเทศที่ใช้ส่วนใหญ่ ประกอบด้วยโป๊ยกั้ก อบเชย กานพลู ตังกุย เมล็ดยี่หร่า และกระเทียม แต่บางร้านอาจใช้สูตรเฉพาะของตัวเอง โดยใส่ส่วนผสมอื่น ๆ เช่น เครื่องในสัตว์ เห็ดชนิดต่าง ๆ เต้าหู้แห้ง และสมุนไพรจีน เพิ่มสรรพคุณช่วยให้เลือดลมไหลเวียนดี ช่วยบำรุงร่างกายจากสมุนไพร และลดอักเสบได้อีกด้วย
ส่วนของหวานที่แนะนำ คือ เช็งทึง (Cheng Tng) น้ำแข็งไสใส่ธัญพืชอย่างพุทราจีน แปะก๊วย และเม็ดบัว ถือเป็นเมนูของหวานยอดฮิตเพื่อสายสุขภาพ เพราะเน้นความสดชื่นและความหวานธรรมชาติจากผลไม้แห้งโดยไม่ต้องเติมน้ำตาลเพิ่ม
เมืองที่อยากให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาพดี
ทางด้านรัฐบาลสิงคโปร์เอง ก็กำหนดนโยบายที่สนับสนุนให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดี เช่น ติดฉลากบอกปริมาณน้ำตาลในน้ำผลไม้ น้ำอัดลม นม โยเกิร์ต กาแฟ และชา เพื่อเตือนให้ผู้บริโภครู้ว่า มีน้ำตาลในปริมาณน้อยหรือสูง เพื่อลดความเสี่ยงไม่ให้คนสิงคโปร์ป่วยเป็นโรคเบาหวาน นอกจากนี้ยังมีแคมเปญที่รณรงค์เรื่องการลดน้ำตาลในเครื่องดื่มอย่างต่อเนื่อง คนที่มาเที่ยวสิงคโปร์จึงมักจะเห็นว่า มีชานมแบบไม่มีน้ำตาล หรือหวานน้อยให้เลือกทุกที่
สิงคโปร์ไม่ได้มีดีแค่แลนด์มาร์กสวย ๆ หรืออาหารอร่อย แต่ยังเป็นหนึ่งในเมืองที่ส่งเสริมให้ผู้คน ‘ใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาพดี’ ไม่เว้นแม้แต่นักท่องเที่ยว ด้วยแนวคิด ‘เมืองสุขภาพ’ ที่ใกล้เคียงกับแนวทาง Blue Zone ทำให้สิงคโปร์มีกิจกรรมช่วยสร้างเสริมสุขภาพดี มีทั้งจัดโดยชุมชน และจัดโดยองค์กรของรัฐ
อย่างภายในสวนสาธารณะทั่วประเทศหลายแห่ง เช่น สวนพฤกษศาสตร์สิงคโปร์ (Singapore Botanic Gardens), อีสท์โคสท์พาร์ก (East Coast Park) และ สวนสาธารณะบิชาน-อังโมเกียว (Bishan-Ang Mo Kio Park) มักจัดกิจกรรมเพื่อสุขภาพเป็นประจำ เช่น โยคะในสวน, ออกกำลังกายวิถีจีน (Tai Chi) และ เต้นแซมบ้า ซึ่งเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวเข้าร่วมกิจกรรมด้วยได้ โดยไม่ต้องสมัครล่วงหน้า
นอกจากนี้ สิงคโปร์ยังมีจัดงาน Healthy Lifestyle Festivals ในหลายย่านตลอดทั้งปี เช่น เทศกาลเดินเพื่อสุขภาพ เวิร์กชอปดูแลตัวเองในแง่มุมต่าง ๆ ทั้งโภชนาการ สุขภาพจิต หรือการทำอาหารคลีน รวมถึงจัดนิทรรศการเทคโนโลยีเพื่อสุขภาพ ให้ทุกคนสามารถเข้าร่วมได้ฟรีหรือมีค่าใช้จ่ายเล็กน้อย ที่สำคัญยังเปิดพื้นที่ให้ทุกคนได้ทดลองกิจกรรมสนุก ๆ เช่น ดริฟต์จักรยาน, เล่นเกมสุขภาพแบบอินเตอร์แอ็กทีฟ และฝึกโยคะ 360 องศา
สำหรับคนรักสุขภาพที่กำลังวางแผนไปเที่ยวสิงคโปร์ แนะนำให้ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Healthy 365 ซึ่งจัดทำโดยหน่วยงานสุขภาพของรัฐบาลสิงคโปร์ เพราะเป็นแอปพลิเคชันที่ให้นักท่องเที่ยวลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรมและโครงการด้านสุขภาพต่าง ๆ ได้ เช่น เชื่อมกับ Smart Watch เพื่อเก็บสถิติก้าวเดิน, ใช้ค้นหาพิกัดสวนสาธารณะ ร้านอาหาร Healthier Choice และคลาสออกกำลังกายใกล้ตัว, สะสมคะแนนจากการเข้าร่วมกิจกรรมสุขภาพที่สนใจ เพื่อแลกรับของรางวัล เช่น ของขวัญเล็ก ๆ หรือส่วนลดร้านอาหารสุขภาพ
ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่า สิงคโปร์ให้ความสำคัญในเรื่องสุขภาพและความเป็นอยู่ของคนในประเทศมากแค่ไหน จนได้รับการยกย่องให้เป็น Blue Zone แห่งที่ 6 ของโลก
ใครที่กำลังจะไปเที่ยวสิงคโปร์ ถ้าได้ลองปรับแผนเที่ยวให้ได้ไปตามรอยทั้งแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติและลิ้มลองอาหารอร่อยที่ดีต่อสุขภาพตามวิถี Blue Zone แล้วล่ะก็ LIVE TO LIFE รับรองว่าจะเป็นทริปที่สนุก มีความสุข และน่าจดจำที่สุด
อ้างอิง
- Dan Buettner. The World’s 6th Blue Zones Region – an Engineered Longevity Hotspot. http://bit.ly/3TFSImj
- Lindsey Galloway. The world's sixth 'Blue Zone': Why Singapore values both quantity and quality of life. https://bit.ly/40M2mrk
- Peter Yeoh. A Crash Course on “Lei Cha” or Thunder Tea Rice. http://bit.ly/3GMG95U
- Salma Khalik. Healthier SG could boost Singapore’s Blue Zone status. https://bit.ly/4llWg9w
- Singapore Tourism Board. Explore Sustainable and Responsible Travel in Singapore. http://bit.ly/44RAm8g
- Singapore Tourism Board. Green Spaces & Nature Parks. http://bit.ly/4lkavfa
- Singapore Tourism Board. Local Food & Drinks. https://bit.ly/4krCecp