

ตามรอยเส้นทางความมั่งคั่งของ ‘มาเก๊า’ จากหมู่บ้านชาวประมงเติบโตเป็นลาสเวกัสแห่งเอเชีย
Travel / World
11 Sep 2025 - 5 mins read
Travel / World
SHARE
11 Sep 2025 - 5 mins read
เมื่อพูดถึง มาเก๊า ภาพความอลังการของเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์และแหล่งชอปปิงสุดหรูเด่นชัดขึ้นมาในใจนักท่องเที่ยวหลายคน
นอกจากความบันเทิงอันล้ำสมัยแล้ว มาเก๊ายังมีเสน่ห์อีกด้านที่หยั่งรากมาจากการเป็นอดีตอาณานิคมของโปรตุเกสผ่านอาคารสไตล์โคโลเนียลสวยคลาสสิกที่พบเห็นได้ในหลายย่าน บรรยากาศของบ้านเมืองจึงผสมผสานไปด้วยศิลปะของหลากวัฒนธรรม และหลาย ๆ คนก็อยากไปมาเก๊าเพื่อที่จะได้ชิมทาร์ตไข่แสนอร่อย อีกหนึ่งมรดกทางวัฒนธรรมของโปรตุเกสที่กลายเป็นของดีประจำถิ่นตราบจนปัจจุบัน
ไม่ว่าคุณจะนึกถึงมาเก๊าในแง่มุมไหน จิ๊กซอว์ทุกชิ้นที่กล่าวมาสามารถนำมาประกอบเข้าด้วยกันจนเกิดเป็นภาพความมั่งคั่งของมาเก๊าตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันได้อย่างสมบูรณ์
LIVE TO LIFE อาสาพาคุณออกเดินทางผ่านสถานที่ท่องเที่ยวที่บอกเล่าถึงเส้นทางความมั่งคั่งของมาเก๊า จากอดีตหมู่บ้านชาวประมงแสนเงียบสงบสู่การเป็นศูนย์กลางการค้าบนเส้นทางเดินเรือของโลกในยุคหนึ่ง ต่อเนื่องสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ไม่หยุดนิ่งโดยมีเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์เป็นแม่เหล็กสำคัญ ทำให้มาเก๊าครองสถานะลาสเวกัสแห่งเอเชีย
วัดอาม่า
จุดกำเนิดความมั่งคั่งจากท้องทะเล
หากจะกล่าวว่าจุดเริ่มต้นบนหน้าประวัติศาสตร์ความมั่งคั่งของมาเก๊าเกิดขึ้น ณ วัดอาม่า (A-Ma Temple) ย่อมไม่ผิดไปจากความจริงแต่อย่างใด
วัดอาม่า (A-Ma Temple)
เพราะบริเวณนี้เคยเป็นอ่าวที่พ่อค้าชาวโปรตุเกสก้าวเท้าเหยียบแผ่นดินมาเก๊าเป็นครั้งแรก และเรียกขานดินแดนแห่งนี้ตามชื่อ อาม่าเกา (A MA Goa) ที่แปลว่า อ่าวของอาม่า ก่อนจะเพี้ยนมาเป็นมาเก๊าในภายหลัง โดยบนอ่าวนี้เป็นที่ตั้งของ วัดอาม่า (A-Ma Temple) วัดเก่าแก่ที่ชาวประมงท้องถิ่นให้ความเคารพนับถือ เพราะเป็นสถานที่ประดิษฐานองค์เจ้าแม่มาจู หรือเทพธิดาแห่งท้องทะเล ผู้คอยปกปักรักษาและคุ้มครองชาวประมงในพื้นที่ให้ปลอดภัยเรื่อยมา
จากศูนย์รวมจิตใจด้านความโชคดีและความปลอดภัยของชาวประมงและนักเดินทาง ปัจจุบันผู้คนนิยมไปกราบไว้ขอพรวัดอาม่าในด้านหน้าที่การงาน การเงิน และความปรารถนาต่าง ๆ โดยหลังจากจุดธูปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ภายในศาลเจ้าจนครบ และไหว้ฟ้าดินเป็นที่เรียบร้อย จะปิดท้ายการขอพรที่ ก้อนหินสลักรูปเรือ ด้วยการนำธนบัตรมาพับเป็นรูปสามเหลี่ยมให้จับถนัดมือ (บางความเชื่อระบุว่าควรเป็นธนบัตรที่ไม่มีเลข 4) จากนั้นเริ่มลูบธนบัตรตั้งแต่ท้ายเรือย้อนขึ้นไปทางหัวเรือ โดยต้องลูบอย่างต่อเนื่องห้ามสะดุดหรือขาดตอน ระหว่างนั้นก็อธิษฐานขอพรไปด้วย เสร็จสิ้นแล้วจึงนำธนบัตรใบนั้นเก็บใส่กระเป๋าสตางค์ เชื่อกันว่าคำอธิษฐานจะเป็นจริงในเร็ววัน
ก้อนหินสลักรูปเรือ จุดขอพรด้านการเงินและความมั่งคั่ง
นอกจากการไปสักการะสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างวัดอาม่าเพื่อความเป็นสิริมงคลแล้ว สถาปัตยกรรมเก่าแก่ของที่นี่ที่ผสานศิลปะแบบจีนเข้ากับโปรตุเกสได้อย่างกลมกลืน จนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดย UNESCO เมื่อปี ค.ศ. 2005 วัดอาม่าจึงไม่ได้เป็นเพียงที่พึ่งทางใจ แต่ยังเป็นสถานที่บันทึกเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ชั้นดี และอาจถือเป็นจุดเริ่มต้นของความเจริญรุ่งเรืองจากการค้าทางทะเลที่ทำให้มาเก๊ามีสถานะเป็นประตูเชื่อมเอเชียกับยุโรปที่สำคัญในเวลาต่อมา
วัดอาม่า (A-Ma Temple)
ที่ตั้ง : Avenida de Almeida Ribeiro, Macao
เปิดทำการ : เวลา 8.00 - 18.00 น.
การเดินทาง : รถเมล์สาย 1, 2, 5, 6B, 10, 10A, 11, 16S, 18, 21A, 26, 28B, 55, 71S, MT4, N3 ลงป้าย Templo Á Ma
พิพิธภัณฑ์มาเก๊า
สัมผัสวิถีชีวิตเรียบง่ายของประชากรที่มั่งคั่งที่สุดในเอเชีย
หนึ่งในทางลัดที่จะทำให้เห็นภาพเส้นทางความมั่งคั่งของมาเก๊าตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันได้ดีที่สุด ก็คือ การเรียนรู้ประวัติศาสตร์ความเป็นมาที่จัดแสดงไว้ใน พิพิธภัณฑ์มาเก๊า (Macau Museum) บอกเล่าถึงวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวประมงและชาวเรือ ต่อเนื่องด้วยเรื่องราวในช่วงเวลาที่โปรตุเกสเริ่มเข้ามาดำเนินการค้าขาย และค่อย ๆ เช่าพื้นที่บนมาเก๊าเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้มาเก๊ากลายเป็นศูนย์กลางการค้าขายระหว่างจีน ญี่ปุ่น อินเดีย และยุโรป
ภายในพิพิธภัณฑ์ยังมีนิทรรศการที่แสดงให้เห็นการแลกเปลี่ยนสินค้าสำคัญ ๆ ระหว่างโลกตะวันตกกับตะวันออก เช่น ผ้าไหม เครื่องเทศ เครื่องลายคราม ฯลฯ
พิพิธภัณฑ์มาเก๊า
นอกจากเส้นทางการค้า ยังมีมิติของประวัติศาสตร์ไม่ว่าจะเป็น ศิลปะ ศาสนา และสถาปัตยกรรมที่เกิดจากการผสมผสานระหว่างจีนกับโปรตุเกส ที่หล่อหลอมจนเกิดเป็นความมั่งคั่งเชิงมรดกทางวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของมาเก๊าในที่สุด การได้เดินเล่นพลางเรียนรู้เรื่องราวของมาเก๊าทำให้นักท่องเที่ยวเข้าใจมากขึ้นว่า กว่าที่มาเก๊าจะเติบโตเป็นศูนย์กลางคาสิโนและรีสอร์ตหรูนั้นไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน แต่เป็นผลต่อเนื่องจากประวัติศาสตร์การค้าและการเชื่อมโยงระหว่างโลกตะวันตกกับตะวันออกมาอย่างยาวนาน
เมืองมาเก๊าเมื่อมองจากป้อมปราการมองเต
นอกจากการได้รู้จักมาเก๊าผ่านนิทรรศการภายในตัวอาคารแล้ว พื้นที่โดยรอบยังถือเป็น ‘โอเอซิสกลางป้อมปราการเก่าแก่’ ชั้นดี เพราะที่นี่ตั้งอยู่บน ป้อมปราการมองเต (Monte Fort) บนยอดเขาสูง 52 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ไม่ไกลจากซากโบสถ์เซนต์ปอล และมีการออกแบบพื้นที่สีเขียวให้กลายเป็นสวนสาธารณะที่ชาวเมืองนิยมมาพักผ่อน ออกกำลังกาย จึงถือเป็นหนึ่งในจุดชมวิวที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของมาเก๊า ดังนั้น ไม่ว่าจะไปเยือนที่นี่ในยามเช้าหรือเย็นก็จะเห็นวิถีชีวิตของชาวมาเก๊าที่นิยมมาเดินเล่น วิ่งออกกำลังกาย รำไทเก็ก หรือพักผ่อนหย่อนใจแบบสบาย ๆ
พิพิธภัณฑ์มาเก๊า
ที่ตั้ง : 112 Praceta do Museu de Macau, Macau
โทร : (853) 2835 7911
เปิดทำการ : เวลา 10.00 – 18.00 น. ปิดวันจันทร์ (ป้อมปราการมองเตและสวนสาธารณะ เปิดทำการ เวลา 07.00 - 19.00 น.)
ค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์มาเก๊า : ผู้ใหญ่ 15 MOP, ผู้ถือบัตรนักเรียน 8 MOP เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี และผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปเข้าชมฟรี / วันอังคารและวันที่ 15 ของทุกเดือน เข้าฟรี
การเดินทาง : รถโดยสารประจำทางสาย 3, 3X, 4, 6A, 8A, 18A, 19, 26A, 33, N1A
เว็บไซต์ : www.macaumuseum.gov.mo
สวนสาธารณะบนป้อมปราการมองเต
นอกจากสวนสาธารณะแห่งป้อมปราการมองเต มาเก๊ายังมีสวนสาธารณะอีกหลายแห่งกระจายอยู่ทั่วมุมเมือง เช่น Camoes Garden, Flora Garden, Taipa Ecological Wetland Trail ฯลฯ ซึ่งทุกที่ได้รับความนิยมจากคนท้องถิ่นในการใช้พื้นที่สาธารณะร่วมกัน ทำให้เกิดความรู้สึกของชุมชนที่รักษาวิถีชีวิตดั้งเดิมไว้ได้อย่างเหนียวแน่น
สมกับที่มาเก๊ามักได้รับการพูดถึงอยู่เสมอว่าเป็นเมืองที่ “เล็กแต่รวย” ด้วยความที่ประชากรของมาเก๊ามีรายได้ต่อหัวสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก เนื่องจากรัฐบาลมาเก๊าดำเนินนโยบายปันผลทางสังคม (Social Dividend) โดยมีการจ่ายเงินสดให้กับผู้ถือบัตรประจำตัวผู้พำนักอาศัยในมาเก๊าโดยเขตบริหารพิเศษมาเก๊า คนละ 10,000 MOP ทุกปี (เทียบเป็นเงินไทยราว 45,000 บาท) ผ่านโครงการที่เรียกว่า โครงการมีส่วนร่วมในความมั่งคั่ง (Wealth Partaking Scheme) ที่ดำเนินการมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2008
เงินจำนวนนี้ทำให้ชาวมาเก๊าส่วนหนึ่งไม่ต้องดิ้นรนทำงานหนักเพื่อความอยู่รอด จึงมีเวลามากขึ้นสำหรับกิจกรรมเรียบง่าย เช่น ทำอาหาร เล่นกีฬา ใช้เวลากับครอบครัว สะท้อนให้เห็นภาพของความมั่งคั่งในระดับประเทศที่ช่วยให้ประชาชนเลือกวิถีชีวิตที่ช้าลงหรือมีอิสระในการใช้ชีวิตได้มากขึ้น ประกอบกับมาเก๊ามีพื้นที่ขนาดเล็ก มีประชากรเพียงไม่กี่แสนคน เมื่อเมืองไม่ใหญ่เกินไป ผู้คนจึงคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตในย่านใกล้บ้าน ทำให้สวนสาธารณะ ตลาดสด หรือร้านอาหารเล็ก ๆ ยังคงเป็นส่วนสำคัญในชีวิตประจำวันของคนมาเก๊า
Taipa Ecological Wetland Trail
เส้นทางเทรลเล็กๆ รอบทะเลสาบในไทปา
ทั้งนี้ รายได้มหาศาลจากคาสิโนส่วนใหญ่กระจุกอยู่ในเขตโคไท (Cotai Strip) ซึ่งเต็มไปด้วยแสงสีสำหรับนักท่องเที่ยว ในขณะที่ย่านอยู่อาศัยดั้งเดิม เช่น หมู่บ้านไทปา (Taipa) หมู่บ้านโคโลอาน (Coloane) ยังคงดำเนินชีวิตแบบเดิม จึงเกิดภาพตัดกันระหว่างโซนแสงสีสำหรับนักท่องเที่ยวกับโซนเรียบง่ายของชุมชน
ไทปา - โคโลอาน
หมู่บ้านชาวประมงสีพาสเทล
ไทปา (Taipa) และ โคโลอาน (Coloane) คืออดีตหมู่บ้านชาวประมงที่ค่อย ๆ ถูกปรับโฉมจนกลายเป็นย่านท่องเที่ยวยอดนิยม โดยอาคารสไตล์โคโลเนียลในไทปาและโคโลอานถูกเปลี่ยนเป็นคาเฟ่ ร้านอาหาร บาร์ ฯลฯ ที่ภายนอกฉาบทาด้วยสีพาสเทลหวาน ๆ หรือเพนต์ลวดลายกราฟิตีบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเพลิดเพลินกับการเดินสำรวจเมือง พร้อมสนุกกับการถ่ายรูปคู่อาคารสีสวยแปลกตา และเดินเข้าร้านโน้นออกร้านนี้อย่างไม่รู้เบื่อ
สีสันของบ้านเรือนในย่านไทปา
ในขณะที่อาคารอีกจำนวนมากยังเป็นบ้านเรือนของชาวบ้านท้องถิ่นที่ยังคงไว้ซึ่งวิถีชีวิตเรียบง่ายสไตล์ชาวมาเก๊าขนานแท้ การได้มาเดินเล่นตามตรอกซอกซอยในย่านไทปาและโคโลอานแบบไม่รีบร้อนจึงเป็นวิถีท่องเที่ยวที่ได้สัมผัสเสน่ห์ของมาเก๊าขนานแท้
ทั้งนี้ ไทปาและโคโลอานต่างก็เป็นหมู่บ้านชาวประมงที่ได้รับการ “ชุบชีวิต” ขึ้นใหม่เหมือนกัน แล้วทั้งสองแห่งนี้มีจุดไหนที่โดดเด่นและแตกต่างกันบ้าง
Taipa Houses
เริ่มกันที่ ไทปา เพราะเป็นโซนแรกที่นักท่องเที่ยวจะเดินทางมาถึงเมื่อมาจากฝั่งคาบสมุทรมาเก๊า โดยหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นจนแทบจะกลายเป็นภาพจำของไทปา คือ Taipa Houses อาคารโคโลเนียลสีเขียวมิ้นต์สดใส 5 หลัง ที่เมื่อร้อยกว่าปีก่อนเคยเป็นที่พักอาศัยของข้าราชการพลเรือนอาวุโส ก่อนจะได้รับการปรับปรุงในปี ค.ศ. 1999 ให้กลายเป็นบ้านพิพิธภัณฑ์ โดยแต่ละหลังบอกเล่าเรื่องราวแตกต่างกันออกไป เช่น บ้านแห่งความคิดสร้างสรรค์ บ้านแห่งความคิดถึง ฯลฯ ซึ่งไม่ว่าจะเข้าไปชมภายในหรือแค่เดินเล่นถ่ายรูปกับตัวบ้านด้านนอกก็เหมือนได้ย้อนเวลากลับไปในยุคร้อยกว่าปีที่แล้วไม่มีผิด
Taipa Houses
ที่ตั้ง : Avenida da Praia, Carmo Zone, Taipa
เปิดทำการ : เวลา 10.00 - 19.00 น. ปิดวันจันทร์
เว็บไซต์ : www.icm.gov.mo/en/housesmuseum
อีกหนึ่งไฮไลท์ของการมาเยือนหมู่บ้านไทปา คือ การไปช้อป ชิม และชิลบน ถนนกูนยา (Cunha Street) หรือ Taipa Food Street ถนนคนเดินที่มีความยาวเพียง 136 เมตร แต่กลับเรียงรายด้วยร้านอาหารเจ้าเก่าเจ้าดัง ร้านขนมหวานหลากชนิด และร้านขายของที่ระลึกน่าแวะหลายร้าน เช่น Loja das Conservas Macau (LCM) ร้านขายปลากระป๋องดีไซน์เก๋จากโปรตุเกส และ JOC Square ร้านจำหน่ายภาพพิมพ์แบบ Letter Press เหมาะแก่การซื้อเป็นของฝากที่ผู้รับจะต้องประทับใจ
ถนนกูนยา (Cunha Street) หรือ Taipa Food Street
สำหรับเมนูที่ต้องลองเมื่อมาเยือนถนนกูนยา มีตั้งแต่อาหารท้องถิ่นอย่าง Pork Chop Bun เบอร์เกอร์หมูย่างที่ใช้ขนมปังบาแก็ตอบกรอบประกบหมูย่างชิ้นหนานุ่มเน้น ๆ ไม่มีผัก ไม่ใส่ซอส เพื่อการเอร็ดอร่อยกับรสชาติของเนื้อหมูย่างหอมกลิ่นเตาถ่านเข้ากันกับขนมปังกรอบนอกนุ่มใน ต่อด้วย พายไข่ หรือ วาฟเฟิลสอดไส้ไข่หอมเนยแบบนวล ๆ และพลาดไม่ได้กับโจ๊กปูเนื้อเนียนที่แทบทุกร้านให้เนื้อปูแบบจุใจ ไม่หวงเครื่อง
และไม่ควรพลาดการชิมอาหารแมกานีส (Macanese) ลูกผสมระหว่างอาหารโปรตุเกสและจีน ที่มีเมนูเด็ดอย่างข้าวตุ๋นสไตล์โปรตุเกส ทอดมันปลาบาคัลเยา ไส้กรอกย่างโปรตุเกส เซอร์ราดูรา ฯลฯ
สีสันของอาคารในหมู่บ้านโคโลอาน
สำหรับ โคโลอาน ซึ่งอยู่ตอนใต้สุดของมาเก๊านั้นเงียบสงบกว่าย่านไทปาอย่างเห็นได้ชัด เพราะย่านนี้อยู่ติดชายทะเล ไม่มีตึกสูง ไม่มีไลฟ์สไตล์ที่เร่งรีบ และเรียบง่ายด้วยถนนสายเล็กปูหินเป็นลวดลายริ้วสวยงาม เหมาะแก่การปั่นจักรยานหรือเดินสำรวจย่านแบบสบาย ๆ
โบสถ์เซนต์ฟรานซิสซาเวียร์ (St. Francis Xavier's)
พิกัดที่หลายคนไม่พลาดที่จะไปเยือน ได้แก่ โบสถ์เซนต์ฟรานซิสซาเวียร์ (St. Francis Xavier's) โบสถ์เก่าแก่สไตล์บาร็อคที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1928 เพื่ออุทิศให้กับนักบุญชาวสเปน สะดุดตาด้วยกรอบประตูหน้าต่างสีฟ้าสดตัดกับตัวอาคารสีเหลืองสว่าง ที่ครั้งหนึ่งเคยใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำซีรีส์ เจ้าหญิงวุ่นวายกับเจ้าชายเย็นชา ทำให้แฟนซีรีส์พากันมาตามรอยจนโบสถ์สีเหลืองแห่งนี้เป็นพิกัดเช็กอินยอดนิยมแห่งโคโลอาน
Lord Stow’s Bakery ทาร์ตไข่เจ้าดังแห่งมาเก๊า
และมาถึงโคโลอานทั้งที ห้ามพลาดการชิมทาร์ตไข่เจ้าดังของมาเก๊าที่ Lord Stow’s Bakery สาขาแรก ที่ถือเป็นต้นตำรับที่ทำให้ทาร์ตไข่กลายเป็นขนมอร่อยประจำมาเก๊าก็ว่าได้ โดยขนมหวานสัญชาติโปรตุเกสที่ได้รับการปรับสูตรโดยชาวอังกฤษชื่อ Andrew Stow ที่เปิดร้านเบเกอรี่แห่งนี้ขึ้นในเดือนกันยายน ค.ศ. 1989 และนำความประทับใจที่มีต่อขนม Pasteis de Nata หรือทาร์ตไข่โปรตุเกส เมื่อครั้งเดินทางไปเยือนโปรตุเกส มาคิดค้นพัฒนาสูตรขึ้นใหม่ โดยลดทอนรสหวานจัดแบบโปรตุเกสให้เป็นรสชาติหวานละมุนถูกปากชาวเอเชีย กลายเป็นเอกลักษณ์ของทาร์ตไข่ตำรับมาเก๊าที่ใครกินเป็นต้องติดใจ
ใครอยากชิมทาร์ตไข่อบร้อนจากเตาแบบไม่ต้องรอคิวนาน ควรเดินทางไปให้ถึงปากประตูร้านตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อการเข้าถึงรสชาติของทาร์ตไข่เป็นคนแรก ๆ ของวัน
Lord Stow’s Bakery สาขาโคโลอาน
Lord Stow’s Bakery
ที่ตั้ง : 1 Rua do Tassara, Coloane Town Square
โทร : (+853) 2888 2534
เวลาทำการ : เวลา 07.00 - 21.00 น.
เว็บไซต์ : www.lordstow.com
การเดินทาง : รถเมล์สาย 15, 21A และ 26A ลงที่ป้าย Coloane Residence Hall หรือรถเมล์สาย 25, 26, 50 ลงที่ป้าย Coloane Village
Cotai Strip
อาณาจักรความบันเทิงครบวงจร
แต่เดิมนั้นหมู่บ้านชาวประมงทั้งสองแห่งอย่างไทปาและโคโลอานตั้งอยู่บนเกาะที่แยกจากกันเป็นเอกเทศ ก่อนที่จะมีการถมทะเลเพื่อเชื่อมทั้งสองเกาะเข้าด้วยกัน พื้นที่แห่งนั้นจึงได้ชื่อว่า Cotai Strip หรือ เขตโคไท ที่เกิดจากการนำอักษรตัวแรกของชื่อ Coloane และ Taipa มารวมเข้าด้วยกัน
เขตโคไทเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามอย่างต่อเนื่องของรัฐบาลมาเก๊าในการขยายอาณาเขตของภูมิภาคนี้ บนพื้นฐานของความตั้งใจต่อยอดเป็นพื้นที่แหล่งบันเทิงครบวงจรเพื่อลบล้างภาพเก่า ๆ ของมาเก๊าในฐานะเมืองคาสิโนถูกกฎหมาย ซึ่งมีจุดเริ่มต้นในปี ค.ศ. 1962 เมื่อ สแตนลีย์ โฮ (Stanley Ho) เจ้าของ Sociedade de Turismo e Diversões de Macau (STDM) สร้าง Hotel Lisboa ขึ้นมาเป็นแหล่งคาสิโนครบวงจร และขยายบริการเรือเฟอร์รี่เพื่อให้การเดินทางจากฮ่องกงมายังมาเก๊าสะดวกขึ้น โดยมีลาสเวกัสในสหรัฐอเมริกาเป็นต้นแบบ
เมื่อการเดินทางมาเสี่ยงดวงจากฮ่องกงทำได้ง่ายขึ้น เมืองคาสิโนอย่างมาเก๊าในทศวรรษ 1990 จึงเป็นทั้งแหล่งฟอกเงินและแหล่งอาชญากรรม ดังนั้น หลังจากที่โปรตุเกสส่งมอบมาเก๊าคืนแก่จีนในปี ค.ศ. 1999 จีนจึงเริ่มดำเนินการปรับธุรกิจคาสิโนในมาเก๊าให้เป็นระบบมากขึ้น โดยดึงต่างชาติเข้ามาลงทุนเพื่อเปลี่ยนผู้เล่นเจ้าเดียวเป็นหลายราย
ในปี ค.ศ. 2002 รัฐบาลมาเก๊าเริ่มออกใบอนุญาตให้ต่างชาติเข้ามาประมูลใบอนุญาต ดังนั้นกลุ่มทุนต่าง ๆ ทั้ง Sands, Wynn, Galaxy และ MGM จึงก้าวเข้ามาบุกเบิกธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรในเขตโคไท เกิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้หลากหลายกลุ่มมากกว่า โดยเฉพาะกลุ่มครอบครัวที่สามารถพักผ่อนในอาณาจักรแห่งรีสอร์ต ที่ครบครันด้วยห้างสรรพสินค้า สวนน้ำ ชิงช้าสวรรค์ การแสดงโชว์แสงสีเสียง และสารพันความบันเทิง ที่ลบภาพความเป็นเมืองแห่งธุรกิจสีเทาได้สมความตั้งใจ
The Venetian Macau
และด้วยข้อกำหนดของรัฐบาลมาเก๊าที่วางเอาไว้แต่ละเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ที่จะเกิดขึ้น ต้องมีจุดขายที่สามารถเป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ ให้กับเมืองได้ จึงเป็นที่มาของการมี The Venetian Macau, The Parisian Macau และ The Londoner Macau ของเครือ Sands ที่จำลองบรรยากาศของเมืองเวนิส หอไอเฟล และหอนาฬิกาบิ๊กเบนไว้บนถนนเส้นเดียว
The Londoner Macau
ส่วนเครือ Wynn ได้จำลองน้ำพุแบบเดียวกับในลาสเวกัสพร้อมกับกระเช้าชมวิวภายในโซนอาคาร ประชันกับ Studio City ของ MelCo ที่สร้างสถิติโลกด้วยการสร้าง Golden Reel ชิงช้าสวรรค์รูปเลขแปดที่สูงที่สุดในโลกเอาไว้ตรงกึ่งกลางของอาคาร เพราะสัญลักษณ์ของเลขแปดเปรียบเหมือนเครื่องหมายอินฟินิตี้ ตัวแทนขับเคลื่อนความร่ำรวยมั่งคั่งที่จะหมุนวนอย่างต่อเนื่องสืบไป
ชิงช้าสวรรค์ Golden Reel แห่ง Studio City
ในขณะที่เครือ Galaxy ก็เนรมิตหมู่อาคารสีทองมลังเมลืองเชื่อมต่อกันหลายตึก ล้อมรอบด้วยโรงแรมหรูรวม 8 แบรนด์ ได้แก่ Galaxy Hotel, Hotel Okura Macau, Banyan Tree, JW Marriott, The Ritz-Carlton, Andaz, Raffles และ Capella มีห้องพักรวมประมาณ 5,000 ห้อง พื้นที่โดยรอบมีทั้งชายหาด สไลเดอร์ สระน้ำแบบเนินน้ำ และชายหาดทรายเทียมยาวกว่า 575 เมตร
Grand Lisboa Palace Macau
นอกจากนี้ ยังมี Galaxy Promenade ศูนย์การค้าที่รวบรวมแบรนด์ดังกว่า 200 แบรนด์ โดยพื้นที่ในศูนย์การค้าจะเชื่อมต่อกับคาสิโน ศูนย์การประชุมครบวงจร และเวทีคอนเสิร์ตขนาดใหญ่ ที่มีแนวโน้มว่าจะเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ในอนาคต
โชว์เพชรแห่งโชคลาภที่โถงโรงแรม Galaxy Macau
แน่นอนว่าการจะเพลิดเพลินกับความบันเทิงในเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์นั้นทำได้หลายวิธี หนึ่งในวิธีที่ง่ายที่สุด คือ การสัมผัสความรุ่มรวยและมั่งคั่งของมาเก๊าผ่านโชว์สุดอลังการที่เกือบทุกรีสอร์ตเปิดให้ชมฟรี อาทิ ต้นไม้แห่งความรุ่งโรจน์ ในห้องโถงกลมของ Wynn Macau ที่มลังเมลืองด้วยต้นไม้สีทองที่มีกิ่งก้านมากกว่า 2,000 กิ่ง และมีใบ 98,000 ใบทำจากทองคำ 24 กะรัตและทองสัมฤทธิ์
ส่วนภายในห้องโถง Diamond Lobby ของโรงแรม Galaxy Macau ก็อลังการด้วย เพชรแห่งโชคลาภ สูง 3 เมตรที่ผุดขึ้นมาจากน้ำ แล้วหมุนโชว์ความหรูหรา ก่อนที่น้ำพุจะค่อย ๆ เอ่อล้นไหลท่วม เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งความโชคดีแก่ผู้พบเห็น โดยจะทำการแสดงทุก 30 นาที ตั้งแต่เวลา 12.00 - 22.00 น. ในวันจันทร์ถึงวันพฤหัสบดี และตั้งแต่เวลา 10.00 - 24.00 น. ในวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์
The Parisian Macao Tower
สะพานฮ่องกง–จูไห่–มาเก๊า
เส้นทางเชื่อมเศรษฐกิจ อนาคตแห่ง Greater Bay Area
เส้นทางความมั่งคั่งของมาเก๊าไม่ได้หยุดอยู่แค่ความบันเทิงที่ขับเคลื่อนตลอด 24 ชั่วโมงเท่านั้น แต่ยังทอดยาวไปสู่อนาคต โดยมีสะพานข้ามทะเลที่ยาวที่สุดในโลกอย่าง สะพานฮ่องกง–จูไห่–มาเก๊า เป็นอีกหนึ่งกลไกขับเคลื่อนสำคัญ
เพราะการเกิดขึ้นของสะพานฮ่องกง–จูไห่–มาเก๊า ได้เปลี่ยนวิถีของเมืองเล็ก ๆ อย่างมาเก๊าให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายเศรษฐกิจระดับภูมิภาค Greater Bay Area ตามความตั้งใจของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่มีเป้าหมายในการพัฒนา Greater Bay Area ซึ่งหมายถึงอ่าวกวางตุ้ง ฮ่องกง และมาเก๊า รวมถึงอีก 9 เมืองในมณฑลกวางตุ้ง ให้กลายเป็นเขตเศรษฐกิจที่มีความสามารถในการแข่งขันกับเมืองท่าสำคัญของโลก อย่างซานฟรานซิสโก นิวยอร์ก และโตเกียว
สะพานฮ่องกง–จูไห่–มาเก๊า
เนื่องจากสะพานฮ่องกง-จูไห่-มาเก๊า ช่วยร่นเวลาในการเดินทางระหว่าง 3 เมืองลงอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการเดินทางทางบกระหว่างฮ่องกงกับเมืองจูไห่จากเดิมต้องใช้เวลาถึง 4 ชั่วโมง แต่สะพานฮ่องกง-จูไห่-มาเก๊า ช่วยลดระยะเวลาในการเดินทางเหลือเพียง 30 นาที ทำให้การขนส่งสินค้าจากท่าอากาศยานของฮ่องกงไปยังจีนแผ่นดินใหญ่สะดวกยิ่งขึ้น จึงคาดว่าจะช่วยกระตุ้นอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในแถบนี้ได้อีกด้วย
ดังนั้น ใครที่วางแผนเดินทางไปยังมาเก๊าโดยบินไปลงที่ฮ่องกง และเข้าสู่มาเก๊าโดยใช้สะพานข้ามทะเลที่ยาวที่สุดในโลกด้วยความยาว 55 กิโลเมตรแห่งนี้ จะได้สัมผัสมิติความมั่งคั่งของมาเก๊าที่ไม่ได้เป็นเพียงเมืองท่องเที่ยว แต่ยังเป็นประตูเชื่อมต่อเศรษฐกิจระดับภูมิภาค
เตรียมตัวก่อนไปมาเก๊า
- คนไทยสามารถเดินทางเข้าและอยู่ในมาเก๊าได้ไม่เกิน 30 วัน โดยใช้เพียงหนังสือเดินทาง (Passport) ที่มีอายุ 6 เดือนขึ้นไป ไม่ต้องขอวีซ่า ไม่ต้องกรอกใบตม. ทั้งขาเข้าและขาออก
- สกุลเงินของมาเก๊า คือ ปาตากาส์ (Macanese Pataca) ตัวย่อคือ MOP อัตราแลกเปลี่ยนโดยประมาณ คือ 1 MOP = 4 บาท สามารถใช้เงิน Hong Kong Dollar (HKD) จ่ายแทนเงิน MOP ได้ โดย 1 HKD = 1 MOP
- การเดินทางไปมาเก๊า : สามารถทำได้หลายวิธี เช่น ทางเครื่องบินที่มีเที่ยวบินตรงทุกวัน ทางเรือ สามารถโดยสารเรือเฟอร์รี่ระหว่างฮ่องกงและมาเก๊า และทางรถยนต์ สามารถเดินทางจากฮ่องกงไปมาเก๊าโดยใช้สะพานฮ่องกง–จูไห่–มาเก๊า ซึ่งสามารถเดินทางทางบกเข้าไปยังเมืองจูไห่ของจีนผ่านทาง Portas do Cerco (Border Gate) ทางเหนือของมาเก๊าได้ด้วย
- การเดินทางภายในมาเก๊า : รถเมล์เป็นวิธีเดินทางที่ประหยัดและสะดวก มีรถเมล์ให้บริการทั่วทั้งเขตมาเก๊า ไทปา และโคโลอาน เวลาขึ้นรถเมล์ให้ขึ้นประตูหน้า จ่ายค่ารถเมล์ 6 MOP ตลอดสาย โดยหยอดเงินลงในตู้ (ควรเตรียมเงินค่าโดยสารให้พอดี เพราะคนขับไม่ทอนเงิน) หรือแตะบัตร Macau Pass (M-Pass) ที่สามารถใช้ขึ้นรถเมล์และซื้อของตามร้านสะดวกซื้อ รวมถึงร้านค้าต่าง ๆ ได้
- บัตร Macau Pass ราคา 130 MOP เป็นค่ามัดจำบัตรและค่าธรรมเนียมใช้บัตร 30 MOP เติมเงินขั้นต่ำ 50 MOP เวลาขึ้นรถเมล์แตะบัตรจะได้ลดราคาค่ารถเหลือ 3 MOP ซื้อและเติมเงินได้ที่ร้านสะดวกซื้อ เช่น 7-11, Royal, Circle K และจากเครื่องขายตั๋วอัตโนมัติ ดูรายละเอียดที่ www.macaupass.com
อ้างอิง
- การท่องเที่ยวมาเก๊าประจำประเทศไทย.facebook.com/th.macaotourism
- Macau Government Tourism Office.www.macaotourism.gov.mo/en
- Wikipedia.Wealth Partaking Scheme.https://bit.ly/47Yp9Vh
- SummerB.เที่ยวมาเก๊า วัดอาม่า A-Ma Temple ไหว้ขอพร เสริมดวงให้เฮง.https://bit.ly/4p2qZed
- สุภชาติ เล็บนาค.เรียนรู้จาก ‘มาเก๊า’ รีดเงิน Entertainment Complex สร้างชาติ สร้างแหล่งท่องเที่ยวใหม่.https://bit.ly/4ggjzju
- ลัม โช ไว.เรื่องน่ารู้ของ “ฮ่องกง-จูไห่-มาเก๊า” สะพานข้ามทะเลยาวที่สุดในโลกของจีน.https://bit.ly/4niURkS