

เที่ยวอิตาลี เยือนบ้านจูเลียตที่ Verona เมืองโรแมนติกที่อยากให้รักของทุกคนสมหวัง
Travel / World
26 Feb 2023 - 10 mins read
Travel / World
SHARE
26 Feb 2023 - 10 mins read
คงไม่มีเมืองไหนจะอบอวลไปด้วยมวลของความรักได้เท่ากับ ‘เวโรนา’ (Verona) เมืองแสนโรแมนติกในประเทศอิตาลี เพราะเมืองนี้เป็นทั้งจุดเริ่มต้นของเรื่องราวรักแท้ระหว่างโรมิโอและจูเลียต และเป็นที่ตั้งของ ‘บ้านจูเลียต’ แลนด์มาร์คลือเลื่องที่เชื่อกันว่า ใครก็ตามหากได้มาเยือนที่แห่งนี้ จะสมหวังเรื่องความรัก
เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับการออกเดินทางครั้งใหม่ และหาคำตอบให้คำถามที่ว่า ‘เหตุใดเวโรนาถึงกลายเป็นจุดหมายปลายทางของผู้คนที่เชื่อมั่นในรักแท้’ LIVE TO LIFE จึงขออาสาเป็นไกด์เฉพาะกิจ ทำหน้าที่แนะนำเมืองเวโรนาและบ้านจูเลียต ผ่านเรื่องราวน่ารู้และภาพถ่ายน่าประทับใจที่จะทำให้ผู้อ่านตกหลุมรักเมืองนี้ และหาโอกาสไปเที่ยวสักครั้ง
‘เวโรนา’ คือชื่อของผู้หญิง
เดิมที เวโรนาเป็นเมืองเก่าแก่ ในแคว้นเวเนโต (Veneto) ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอิตาลี มีอายุมาตั้งแต่ 550 ปีก่อนคริสตกาล ทำให้ทั่วทั้งเมืองเต็มไปด้วยโบราณสถานชวนตื่นตา ถึงแม้ว่าเวลาจะล่วงเลยมานาน แต่สภาพของโบสถ์ วิหาร และบ้านเรือนที่ก่อด้วยอิฐและหิน กลับยังคงความงดงามไว้ได้ ในปี 2000 เวโรนาจึงได้รับการยกย่องให้เป็นเมืองมรดกโลกด้านสถาปัตยกรรมและวัฒนธรรม
สำหรับชื่อเมืองเวโรนา เป็นภาษาอิตาลีที่มีสองความหมาย ความหมายแรก คือ ชื่อของผู้หญิง คนอิตาลีจึงนิยมนำไปตั้งเป็นชื่อให้ลูกสาวตัวเอง ส่วนความหมายที่สอง หมายถึง ความสัตย์จริง คาดว่ามาจากนิสัยพื้นเพของคนสมัยก่อน ซึ่งเป็นคนจริงจังและจริงใจ
ด้วยเหตุนี้เอง ชื่อเวโรนาจึงส่งผลมาถึงคาแรคเตอร์หรือลักษณะเฉพาะของเมืองในปัจจุบัน หากสังเกตจะเห็นได้ชัดเจนว่า เวโรนาเป็นเมืองที่ผู้คนไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตเร่งรีบ ทุกคนสามารถเดินเท้าชมรายละเอียดที่ซ้อนอยู่ในงานสถาปัตยกรรมตามสถานที่สำคัญทั่วทั้งเมือง ซึ่งแสดงออกถึงความนุ่มนวลและอ่อนโยน คล้ายกำลังทำความรู้จักกับหญิงทรงเสน่ห์อย่างค่อยเป็นค่อยไป รู้ตัวอีกทีก็หลงรักเมืองนี้เข้าแล้ว
โดยเฉพาะช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้า แสงแดดสุดท้ายของวันที่ส่องมากระทบกับอิฐสีส้มของตัวอาคาร จะเปลี่ยนทั้งเมืองเวโรนาให้เป็นสีเดียวกับท้องฟ้า นี่คือภาพที่ต้องมาเห็นด้วยตาตัวเองให้ได้
รักเบ่งบานที่ ‘บ้านจูเลียต’
ทุก ๆ ปี ผู้คนหลายล้านคนจากทั่วทุกมุมโลกที่ใฝ่หารักแท้และคู่ชีวิต จะเดินทางมายังเมืองเวโรนาแห่งนี้ แม้ต่างที่มา แต่ทุกคนล้วนมีจุดหมายปลายทางเดียวกัน นั่นคือ ตั้งใจมาเยือน ‘บ้านจูเลียต’ พร้อมความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยมว่า หวังให้จูเลียตช่วยเป็นพยานและรับฟังคำปรารถนาในความรักของตน
ประวัติแรกเริ่มของบ้านหลังนี้ ถูกสร้างขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 13 ก่อนหน้าผลงานเรื่อง ‘โรมิโอและจูเลียต’ ของวิลเลียม เชกสเปียร์ (William Shakespeare) จะกลายเป็นที่รู้จักไปทั่วยุโรป แต่หลังจากเรื่องราวของโรมิโอและจูเลียตได้รับความนิยม นักอ่านจากทั่วสารทิศในตอนนั้น ต่างเดินทางมายังเมืองเวโรนา เพื่อตามหาบ้านของจูเลียต สถานที่ก่อเกิดความรักอันบริสุทธิ์ของทั้งคู่
แน่นอนว่า เชกสเปียร์ไม่ได้บอกพิกัดของบ้านไว้ในบทประพันธ์ แต่ด้วยความบังเอิญ ปรากฏว่ามีบ้านหลังหนึ่งเป็นของตระกูลเดลคาเปลโล (Dell Capello) ซึ่งออกเสียงที่ใกล้เคียงกับตระกูลคาปูเล็ต (Capulet) ของจูเลียต ผู้คนจึงทึกทักเอาเองว่าเป็น Juliet’s House หรือบ้านจูเลียตที่ตามหา ขณะที่คนท้องถิ่น เรียกบ้านจูเลียตด้วยภาษาอิตาลีว่า Casa di Giulietta (คาซ่า ดิ จูเลียตตา)
นานวันเข้า คนยิ่งแวะมามากขึ้นเรื่อย ๆ ท้ายที่สุดตระกูลเดลคาเปลโล ได้ตัดสินใจปรับปรุงบ้านหลังนี้ให้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวจริง ๆ บริเวณหน้าบ้านเป็นลานขนาดย่อมที่มีรูปหล่อจูเลียตยืนรอต้อนรับทุกคน ส่วนภายในเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงเครื่องเรือน วัตถุโบราณ และเครื่องแต่งกายจากหนัง Romeo and Juliet ที่ฉายครั้งแรกในปี 1968
ปัจจุบัน บ้านจูเลียตเป็นมากกว่าที่เที่ยวธรรมดา ถึงขนาดคนท้องถิ่นมักพูดหยอกล้อกันว่า หากไม่ได้เยือนบ้านจูเลียต ถือว่ามาไม่ถึงเมืองเวโรนา เพราะบ้านหลังนี้เป็น Sanctuary หรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของคนที่ศรัทธาในรักแท้ โดยมีความเชื่อข้อหนึ่งที่ส่งต่อกันมาว่า เมื่อสัมผัสรูปหล่อจูเลียตแล้วบอกคำอธิษฐานเรื่องรัก สิ่งที่ขอไว้จะเป็นความจริง
เขียนจดหมายถึง ‘จูเลียต’ สักฉบับ
หากกำลังรู้สึกว้าวุ่น เพราะมีเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ให้คิดไม่ตก หรือกำลังมองหาความรักที่ดีต่อใจ ขอแนะนำให้เขียนจดหมายสักฉบับถึงจูเลียต เพราะจดหมายแต่ละฉบับจะถูกตอบกลับโดยเลขาของจูเลียต หรือกลุ่มคนที่อาสาเข้ามาทำหน้าที่คลายปัญหารัก ทั้งเสนอทางออก ให้มุมมองใหม่ และส่งต่อกำลังใจถึงเจ้าของจดหมาย
หลังจากตอบกลับเสร็จแล้ว จดหมายทุกฉบับจะยังคงถูกเก็บรักษาเอาไว้ เพราะเลขาของจูเลียตมองว่า ทุกเรื่องราวความรัก แม้จะเจ็บช้ำ ชวนเศร้า หรือทำให้ทุกข์ ล้วนแต่มีความหมายให้เก็บเพื่อจำเป็นบทเรียน และเป็นประสบการณ์ชีวิต จึงไม่ควรทิ้งขว้างหรือไม่ใส่ใจ พวกเขายังเชื่อด้วยว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่คนเราก้าวข้ามเรื่องราวไม่ได้ดั่งใจไปได้ ชีวิตจะได้พบกับหนทางใหม่และความสัมพันธ์ที่ดีกว่าเสมอ
เหมือนกับเรื่องราวของหนังรักอบอุ่นหัวใจอันโด่งดังในปี 2010 อย่าง Letters to Juliet ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากบรรดาจดหมายของผู้คนมากมายเขียนถึงจูเลียต ด้วยความตั้งใจอยากส่งต่อความเชื่อในรักแท้ที่ว่า รักแท้ไม่มีคำว่าสายเกินไป เราไม่อาจหยั่งรู้ถึงหัวใจของจูเลียต แต่สิ่งที่เรารู้สึกได้ผ่านเรื่องราวความรักของเธอ คือ ความกล้าทำตามเสียงของหัวใจ บางทีเราอาจต้องการความกล้าทำตามเสียงหัวใจตัวเองเช่นกัน
หนังเรื่องนี้จึงทำหน้าที่เหมือนไกด์บุ๊กของเมืองเวโรนาและบ้านจูเลียต คอยเชิญชวนให้คนที่ปรารถนาในรักแท้ ตัดสินใจออกเดินทางมายังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้
ไม่สำคัญว่าเป็นคนโสดหรือเป็นคนมีคู่ครอง หากได้ไปยืนอยู่ที่บ้านจูเลียต เชื่อว่าทุกคนจะสัมผัสได้ถึงมวลความรักและความหวังที่เบ่งบานอยู่ทั่วบริเวณ เป็นความรู้สึกแสนวิเศษที่ต้องใช้ใจสัมผัสด้วยตัวเองสักครั้ง เพราะบ้านจูเลียต เปิดประตูรอต้อนรับทุกคนที่ศรัทธาในรักแท้ไม่เคยเปลี่ยน
อ้างอิง
- Visit Verona. Juliet's House and Museum. https://bit.ly/47bplg4
- Visit Verona. Sui passi di Giulietta. https://bit.ly/48BeMnu
- UNESCO World Heritage Centre. City of Verona. https://bit.ly/3GYR6xB