

flo Wolffia แบรนด์ที่อยากให้ทุกคนได้กิน ‘ไข่ผำ’ พืชจิ๋วไทยที่เป็นซูเปอร์ฟู้ดระดับโลก
Wealth / Business
28 Jan 2025 - 10 mins read
Wealth / Business
SHARE
28 Jan 2025 - 10 mins read
ถ้าพูดชื่อ ‘ไข่ผำ’ เชื่อว่าน้อยคนนักที่จะรู้จักและเคยชิม
ผำ หรือ ไข่ผำ (Wolffia) คือพืชน้ำที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลกที่มีต้นกำเนิดในประเทศไทย หน้าตาคล้ายกับไข่กุ้งที่อยู่บนซูชิแต่มีสีเขียว คนท้องถิ่นโดยเฉพาะในภาคเหนือและอีสานมักจะเก็บผำจากแหล่งน้ำธรรมชาติ และนำไปทำเมนูแสนอร่อยอย่างไข่เจียวผำ แกงไข่ผำ หรือจะนำไปผัดใส่หมูสับ ใส่พริก ตะไคร้ ใบมะกรูดหอม ๆ โปะลงบนข้าวสวยร้อน ๆ ก็เข้ากันไม่น้อย แม้จะอร่อยและมีเนื้อสัมผัสกรุบกรับอันเป็นเอกลักษณ์ แต่ไข่ผำก็ไม่ได้เป็นที่นิยมมากนักและเริ่มหายไปจากตลาดสดในท้องถิ่น
จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ flo Wolffia (โฟล วูล์ฟเฟีย) ได้พาไข่ผำที่เกือบจะหายไปกลับมาวางขายในซูเปอร์มาร์เก็ตอีกครั้ง พร้อมบรรจุภัณฑ์อย่างดีผิดกับในตลาดที่เคยได้เห็น ยิ่งไปกว่านั้นเรายังได้เห็นไข่ผำออกจากถ้วยแกงมาอยู่ในพาสต้า สมูทตี้ ไอศกรีม มาในรูปแบบคุกกี้ เบเกอรี ไปจนถึงแปรรูปเป็นผงโปรตีน
ชื่อของ ‘ไข่ผำ’ ยังได้ปรากฏอยู่ในท็อป 10 เทรนด์อาหารของปี 2025 ซึ่งคาดการณ์โดย Whole Foods Market ซูเปอร์มาร์เก็ตเพื่อสุขภาพอันดับหนึ่งของอเมริกา อีกทั้งยังกลายเป็น Superfood ที่ทั่วทั้งโลกกำลังต้องการ เพราะนี่ไม่ใช่แค่อาหารทางเลือก แต่อาจเป็นอีกหนึ่งทางรอดของมวลมนุษยชาติ
LIVE TO LIFE ชวนไปคุยกับ ผศ. ดร.วิษุวัต สงนวล หรือ อาจารย์ฟุ จาก บริษัทแอดวานซ์ กรีนฟาร์ม หนึ่งในเบื้องหลังคนสำคัญของ flo Wolffia ที่ยังเป็นทั้งนักวิจัยพืชและเป็นอาจารย์ประจำภาควิชาพฤกษศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
เธอเล่าเรื่องราวของ ‘ไข่ผำ’ ที่ชวนให้ตาลุกวาว เหมือนได้พาเราไปมองไข่ผำผ่านเลนส์กล้องจุลทรรศน์ด้วยกัน และทำให้รู้ว่าพืชจิ๋วชนิดนี้ช่างมหัศจรรย์ในแบบที่เราก็คาดไม่ถึง
จุดเริ่มต้นของ flo Wolffia เป็นมาอย่างไร
“ตัวอาจารย์เองทำวิจัยเรื่องพืชมานาน ศึกษาเรื่องพืชกับสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ศึกษาในเชิงพันธุกรรมว่าทำอย่างไรให้พืชต้านทานโรคได้ดีขึ้น ส่วน อาจารย์เมธา (ผศ.ดร.เมธา มีแต้ม อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล) ทำวิจัยเรื่องการสังเคราะห์แสงของพืช การรักษาสมดุลของแร่ธาตุ เขาจึงรู้ว่าพืชต้องการสารอาหารอะไรเพื่อให้เจริญเติบโตดี”
“ตอนแรกเราไม่ได้คิดจะทำธุรกิจ แต่บังเอิญมีศาสตราจารย์จากยุโรปที่ศึกษา วิจัยเรื่องไข่ผำ เขาบอกว่าอยากมาไทยเพราะที่นี่เป็นที่เดียวในโลกที่มีคนกินผำ ซึ่งเขาวิจัยมาแล้วว่าพืชชนิดนี้มีคุณค่าทางอาหารสูงมากและควรจะเป็นอาหารแห่งอนาคต แต่การที่เขาจะไปผลักดันให้คนยุโรปกินสิ่งนี้ เขาต้องหาหลักฐานว่ากินแล้วปลอดภัยแน่นอน เขาเลยติดต่อมาหาอาจารย์เมธา ซึ่งตอนนั้นทำวิจัยเกี่ยวกับสาหร่ายอยู่ เขาอยากให้เราพาไปดูว่าคนไทยกินไข่ผำกันยังไง จริง ๆ เราเองก็เพิ่งมารู้จักไข่ผำเหมือนกัน”
พาศาสตราจารย์จากยุโรปไปตระเวนดูไข่ผำที่ไหนบ้าง
“เราพาเขาตระเวนทั่วประเทศไทยเลย พยายามเสาะหาว่าสิ่งนี้ขายที่ไหนแต่แทบไม่มีใครรู้จัก หลายคนบอกว่าหากินไม่ได้แล้ว ถ้ามีมันก็ไม่สะอาดและไม่กล้ากิน แต่สุดท้ายเราก็หาได้จากภาคอีสานแค่นิดเดียว ศาสตราจารย์เลยขอให้ทำให้กิน เราก็มองหน้ากัน ไม่เคยกิน… (หัวเราะ) แต่ DNA คนไทย เราก็ยำ ทำไข่เจียว ให้ชิมกันไป”
“เขาแอบตกใจเพราะคิดว่าคนไทยกินผำเยอะ แต่กลับไม่ใช่อย่างที่คิด แล้วสภาพของผำที่ได้มานั้นไม่ได้สะอาด เขาเลยฝากไว้ว่าผำกำลังจะเป็นอาหารแห่งอนาคต และกำลังจะถูกผลักดันให้เป็น Superfood ของยุโรป ผำเป็นของคนไทย อยากให้คนไทยพัฒนาสิ่งนี้ต่อ เราคิดว่าก็คงเหมือนหลาย ๆ สิ่งในประเทศไทยที่เรารู้ว่ามันดี แต่ก็ไม่ได้บอกไว้ว่าการพัฒนาเป็นหน้าที่ของใคร เราก็เป็นอาจารย์ (หัวเราะ)”
“ภายหลังเรารู้ว่ามีบริษัทจากอิสราเอลได้ไข่ผำจากประเทศไทยไป แล้วเอาไปเพาะเลี้ยงในฟาร์มขนาดใหญ่ เลยเห็นแล้วว่าที่ศาสตราจารย์พูดมันคงไม่ไกลความจริง อิสราเอลที่แทบจะเป็นทะเลทรายทั้งหมด น้ำก็แพงมาก ๆ ยังเลี้ยงไข่ผำได้เลย เขาตั้งชื่อว่า Mankai หรืออาหารจากพระเจ้า ซึ่งพระเจ้าเขวี้ยงมาที่ประเทศไทยแล้ว แต่เรายังไม่ค่อยเห็นคุณค่าเลย (หัวเราะ)”
จุดไหนเปลี่ยนจากแรงบันดาลใจให้กลายเป็นสตาร์ทอัป
“เราคิดเรื่องนี้อยู่ประมาณ 2 ปี แล้วอยู่ ๆ ก็มีโปรแกรม SpaceF ซึ่งเป็น Foodtech Incubator มาเปิดที่มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นความร่วมมือของ NIA สถาบันนวัตกรรมแห่งชาติ คณะวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล และ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เขาสนับสนุนและผลักดันบริษัทสตาร์ทอัปด้านอาหารโดยเฉพาะ เราเห็นว่าสิ่งนี้น่าสนใจเลยลองไปพิชชิ่งดู”
“กรรมการประทับใจมาก เราเลยได้รางวัลในตอนนั้น พอเข้ามาอยู่ในโครงการเขาก็สอนทุกอย่าง พาไปคุยกับ CEO บริษัทนู้น บริษัทนี้ จริง ๆ เราไม่เข้าใจว่าการทำสตาร์ทอัปเป็นอย่างไร แค่พอรู้บ้าง แต่ไม่ได้รู้เยอะ เขาก็มีคอร์สสอนทั้งเรื่องเงิน เรื่องคน”
ความตั้งใจแรกของการทำสตาร์ทอัปเพาะเลี้ยงผำคืออะไร
“อยากให้สิ่งนี้กลับมาอยู่ในเมนูอาหารของคนไทย อยากให้คนไทยได้กิน เพราะนี่คือพืชที่มีคุณค่าทางอาหารสูงมาก เราอยากเอาไปวางขายในห้างได้ ให้คนหยิบสะดวก เข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันของคนไทยได้ นั่นคือเป้าหมายที่สูงสุดแล้วในวันนั้น”
จากคนที่ไม่รู้จักผำมาก่อน ตอนนั้นอะไรที่ทำให้เห็นว่าผำคืออาหารที่ดี
“ผำเป็นผักที่ดีและกินง่ายที่สุดที่เคยเจอมา ผักสีเขียวมันมีปัญหาตรงที่คนไม่อยากกิน (หัวเราะ) โดยเฉพาะมนุษย์จิ๋วอย่างลูกเราสองคน ตอนที่เริ่มทำบริษัทลูกยังเล็กและกินยากมาก ไม่ยอมกินผัก แต่ผำคือผักสีเขียวชนิดแรก ๆ ที่เขายอมกิน เราดีใจน้ำตาไหลเลย (หัวเราะ) พ่อแม่คนอื่นคงมีปัญหานี้กันเยอะ”
“นอกจากนี้คุณพ่อ คุณแม่ของเราเขาก็ทานผักน้อยลงเช่นกัน เพราะฟันเริ่มไม่ดี เคี้ยวเยอะไม่ได้ เราเลยเอาผำให้เขากิน เขาปลื้มมาก หลับสบาย ถ่ายคล่อง ผำเป็นผักที่สะดวกมากและคนทุกวัยกินได้ พ่อแม่กินได้ เรากินได้ ลูกกินได้ เราก็ยิ่งมั่นใจว่าต้องมีคนที่ต้องการผักชนิดนี้ ไม่ต้องไปถึงอนาคตหรอก ทุกวันนี้นี่แหละ”
“สำหรับมนุษย์ออฟฟิศคือโคตรดี เพราะคือผักที่ดื่มได้ ไม่ต้องนั่งล้าง ไม่มีเศษเหลือทิ้ง ตักใส่แล้วกินได้เลย เวลากินข้าว ถ้ารู้สึกว่าขาดผัก เราก็ตักผำใส่ได้เลย และมันเข้ากับอาหารได้ทุกอย่าง อาหารไทย อาหารญี่ปุ่น อาหารฝรั่ง เบอร์เกอร์ พิซซ่า ไส้กรอก ไข่ดาว จะกินกับโยเกิร์ต ปั่นเป็นสมูทตี้ก็ได้ ใส่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกินยังได้ อย่างที่บอกว่าถ้าชีวิตมันเร่งรีบ ไม่สะดวกปรุง ก็ตักใส่ได้เลย เคล็ดลับอีกอย่างที่ที่บ้านชอบทำมาก คือเอาผำไปคลุกกับน้ำจิ้มใด ๆ ที่เหลือ เช่น น้ำจิ้มข้าวมันไก่ น้ำจิ้มแจ่ว น้ำจิ้มบาร์บีคิว คลุกกับผำอร่อยหมดเลย มันง่ายมากสำหรับเรา ถ้ามีผักชนิดนี้อยู่ในตู้เย็น”
เริ่มต้นเพาะเลี้ยงผำอย่างไร และช่วงแรกเจออุปสรรคอะไรบ้าง
“เริ่มเลี้ยงจากบ่อเล็ก ๆ ที่หลังบ้าน ก็เห็นเลยว่าถ้าบ่อแค่นี้ เวลาตักขึ้นมามันจะได้ไม่ถึงหนึ่งช้อนชาด้วยซ้ำ แล้วเริ่มเห็นปัญหา ต้องเปลี่ยนน้ำบ่อย เริ่มมีลูกน้ำ มีลูกอ๊อด แบบนี้มันไม่ใช่อาหารของคน ปริมาณก็ไม่ได้ คุณภาพยิ่งไม่ได้เข้าไปใหญ่ เลยเข้าใจว่าทำไมเราเพาะเลี้ยงผำในบ้านไม่ได้ เลยเริ่มหาทีมมาเลี้ยงในฟาร์ม ทำบ่อสองตารางเมตร”
“อาจารย์เมธามีความเชี่ยวชาญเรื่องการเพาะเลี้ยงสาหร่าย พวกเรารู้ว่าพืชต้องการสารอาหารอะไร หรือมีปัจจัยภายนอกอะไรบ้างช่วยให้เจริญเติบโต เราพัฒนาว่าจะทำอย่างไรไม่ให้ยุงไปไข่ ไม่ให้มีกบกระโดดลงไป ต้องใส่ปุ๋ยแค่ไหน ให้แสงแค่ไหน ล้างอย่างไรให้สะอาด เรื่องคุณภาพมีสิ่งที่ต้องแก้ปัญหาเยอะ เลี้ยงนิดเดียวไม่ยาก แต่ถ้าจะเลี้ยงแบบเก็บผลผลิตได้เป็นตัน ๆ เราก็อยากให้คาดการณ์ผลผลิตได้ ดังนั้นเราต้องใส่เทคโนโลยีเข้าไปเพื่อรักษาคุณภาพตลอดเวลา”
“เรามีคำจำกัดความ 3 อย่าง ผำของเราจะต้อง Nutritious, Safe และ Sustainable คือมีคุณค่าทางอาหารสูง ปลอดภัย และใส่ใจสิ่งแวดล้อม”
ผำที่เพาะเลี้ยงในฟาร์มต่างจากผำจากแหล่งน้ำธรรมชาติอย่างไร
“แบบที่เก็บตามหนองน้ำ สำหรับบางคนมันมีกลิ่นเหม็นโคลนและเหม็นคาว ยิ่งปัจจุบันมีการปนเปื้อนเยอะ ทั้งสารเคมีทางการเกษตร โลหะหนักที่อยู่ในดิน รวมถึงมูลสัตว์ ยิ่งถ้าอยู่ใกล้ชุมชนก็จะมีขยะ สิ่งปฏิกูล เราเห็นได้เลยว่าแหล่งน้ำจืดธรรมชาติในปัจจุบันไม่ได้สะอาดเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ไม่แปลกที่เราต้องเพาะเลี้ยงในฟาร์มที่สะอาดและควบคุมคุณภาพได้จริง ๆ”
“เราพัฒนาเทคโนโลยีการเลี้ยงให้เหมาะสมกับที่เขาต้องการ ทำให้เขาเติบโตได้อย่างดี ผำของเรามีโปรตีนประมาณ 40% สูงกว่าผำที่ได้จากธรรมชาติที่มีแค่ 25% เท่านั้น เพราะผำของเราแอกทีฟตลอดเวลา เปรียบเป็นคนก็เหมือนวัยรุ่นที่ยังแข็งแรง สร้างโปรตีนใหม่ ๆ ได้ตลอด”
flo Wolffia มีผลิตภัณฑ์ผงโปรตีนสำเร็จรูปด้วย แปลว่าผำโดดเด่นเรื่อง ‘โปรตีน’ มาก
“ผำโปรตีนสูงมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่หายากในพืชทั่วไปที่ไม่ใช่ถั่ว ตอนนี้โปรตีนจากพืชคือสิ่งที่โลกต้องการ เพราะการเลี้ยงสัตว์เพื่อให้ได้โปรตีนมันทำร้ายโลกมาก ๆ โปรตีนจากพืชในปัจจุบันส่วนใหญ่มาจากถั่วเหลือง ซึ่งประเทศไทยเราไม่ปลูกถั่วเหลือง เรานำเข้าเกือบทั้งหมด แปลว่าสุดท้ายถึงเรากินโปรตีนจากพืช เราก็ไม่ได้รักโลกมากขึ้นอยู่ดี หลายคนกังวลเรื่อง GMO และการก่อให้เกิดภูมิแพ้ด้วย”
“ถ้าเทียบตามน้ำหนักแห้งแล้ว ไข่ผำมีโปรตีนเท่ากับถั่วเหลืองเลย และเป็นโปรตีนชนิดดี องค์กรอนามัยโลกเขากำหนดเลยว่าโปรตีนที่ดีจะต้องมีกรดอะมิโนครบถ้วน ในสัดส่วนที่เหมาะสม และไข่ผำไม่มีตัวไหนที่ต่ำกว่ามาตรฐานเลย และมีความใกล้เคียงโปรตีนจากสัตว์มากกว่าพืชหลายชนิด”
“สาเหตุที่ผำโปรตีนสูงเพราะเขาไม่ค่อยสะสมอย่างอื่น ไขมันน้อยมาก และเป็นไขมันชนิดดี แป้งและน้ำตาลก็น้อยมาก เรียกได้ว่าตรวจไม่พบ คาร์โบไฮเดรตเดียวที่ตรวจพบคือไฟเบอร์ ถ้าเรากินผำเราก็จะอิ่มได้นานเพราะไฟเบอร์จะช่วยชะลอการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยปรับสมดุลลำไส้ด้วย พวกจุลินทรีย์เหล่านี้จะแฮปปี้ ทำให้ขับถ่ายคล่อง”
นอกจากโปรตีนแล้ว ไข่ผำมีสารอาหารอะไรบ้างถึงทำให้ได้กลายเป็น Superfood ที่ทั่วโลกต้องการ
“สิ่งที่ไข่ผำมี แต่พืชอื่น ๆ ไม่มีเลยคือ วิตามินบี 12 ซึ่งเดี๋ยวนี้คนให้ความสำคัญกับวิตามินชนิดนี้มากเพราะจำเป็นต่อการพัฒนาและรักษาการทำงานของระบบประสาทและสมองให้เป็นปกติ ถ้าเกิดขาดวิตามินชนิดนี้จะทำให้เกิดอาการเหน็บชาปลายประสาทได้ ส่งผลกับพัฒนาการของสมองด้วย แต่ไม่อยากให้ตกใจกลัวเพราะปกติถ้าเราทานเนื้อ นม ไข่ เราจะได้วิตามินบี 12 อยู่แล้ว เพียงแต่สำหรับคนที่กินวีแกน กินยาบางชนิด หรือดื่มแอลกอฮอล์เยอะ ก็อาจจะได้รับวิตามินบี 12 ไม่เพียงพอได้”
“วิตามินบี 12 จากไข่ผำเป็นแบบธรรมชาติและได้รับการพิสูจน์แล้วว่าคนเราสามารถดูดซึมไปใช้ได้จริง นักวิจัยทั่วโลกศึกษาเรื่องนี้เยอะมาก เพราะไข่ผำมีปริมาณวิตามินบี 12 ในปริมาณที่สูงมาก ใน 150 กรัมจะมีวิตามินบี 12 ประมาณ 380% หรือเกือบ 4 เท่าของที่เราต้องการในแต่ละวัน เทียบเท่ากับไข่ 18 ฟอง ดังนั้นเรากินผำแค่ช้อนเดียวก็ได้รับวิตามินบี 12 อย่างเพียงพอแล้ว ถึงจะเอาไปผ่านความร้อนก็ยังเหลืออยู่เพราะวิตามินนี้สลายได้ยากและมีปริมาณตั้งต้นค่อนข้างสูง”
“วิตามินอีกชนิดที่พบเยอะมาก ๆ คือวิตามินเอ ซึ่งจะได้จากการกินผักสีเขียวและสีเหลือง กินไข่ผำแค่ 1 ช้อนโต๊ะพูน ๆ เราก็ได้วิตามินเท่ากินผักทั้งจานแล้ว”
ยิ่งไปกว่าเรื่องของสารอาหาร ผำยังดีต่อโลกของเราด้วย
“โลกเราไม่ได้ต้องการแค่อาหารที่คุณค่าทางอาหารสูงเท่านั้นแล้ว ตอนนี้เราต้องขับเคลื่อนเรื่องความยั่งยืนด้วย ไข่ผำคือพืชที่เพาะเลี้ยงได้อย่างยั่งยืนที่สุดในโลกเพราะใช้ทรัพยากรน้อย ถึงแม้จะใช้น้ำจืดซึ่งเป็นทรัพยากรที่มีราคาแพง แต่ก็ใช้น้อยมาก ถ้าเราปลูกพืชชนิดอื่น เรารดน้ำลงไป น้ำซึมหายลงไปใต้ดิน เราต้องปั๊มน้ำขึ้นมาใช้ใหม่ การทำแบบนี้เปลืองพลังงานมาก แต่ผำสามารถเลี้ยงในบ่อได้ น้ำมันไม่ได้หายไปไหนนอกจากระเหยบ้างเท่านั้น”
“ผำเป็นพืชที่โตเร็วที่สุดในโลก ถ้าได้อยู่ในที่ที่ชอบก็จะแตกหน่อตลอดเวลา เขาเลยดูดคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศได้เร็วกว่าป่าถึง 3 เท่า สิ่งนี้ทำให้ทั่วโลกอยากเพาะเลี้ยงผำให้ได้บ้าง เทรนด์ของโลกอนาคตคือเราต้องลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สู่อากาศ รวมถึงต้องลดการบริโภคอาหารที่ใช้พลังงานเยอะในการผลิตด้วย”
โลกของอาหารการกินในปัจจุบันทำร้ายสิ่งแวดล้อมอย่างไร
“สิ่งที่เรากินทำร้ายโลกกว่าที่เราเข้าใจ อย่างการผลิตเนื้อสัตว์ เราก็ใช้ทรัพยากรมหาศาล ซ้ำยังต้องขนส่งมาจากที่ไกล ๆ ในอเมริกา โดยเฉลี่ยแล้วส่วนประกอบในอาหารของคนอเมริกันจะต้องข้ามน้ำ ข้ามทะเลมา 15,000 ไมล์กว่าจะถึงโต๊ะอาหาร การขนส่งมันปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เยอะมาก ประเทศเราก็เพิ่งมีเดลิเวอรี่ ทำให้ใช้พลาสติกในหนึ่งวันเยอะมาก ๆ ขยะคนเมืองน่าจะเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว รวมถึงพลังงานการขนส่งด้วย แทนที่เราเดินไปใกล้บ้านก็ได้กินแล้ว”
“เรื่องการกินเป็นเรื่องที่เราทุกคนเลือกได้ว่าจะกินอาหารที่ปล่อยคาร์บอนฯ มากขึ้น หรือ กินอาหารที่ช่วยดูดซับคาร์บอนฯ ออกจากอากาศ แต่ในความเป็นจริงการเปลี่ยนอาหารการกินของเราทุกมื้อมันยากนะ เพราะเราชินกับระบบเดิม แต่เชื่อว่าประเทศไทยเราทำได้ อาหารของเราเหมาะกับการลดคาร์บอนฯ เพราะแต่ก่อนเราเคยมีผักสวนครัว รั้วกินได้ ปลูกข้าวแถวนี้ จับปลาแถวนี้ แต่ในปัจจุบันเราไม่กินผักพื้นบ้านแล้ว ผักที่อยู่ในตู้เย็นส่วนใหญ่ก็มาจากจีน สุดท้ายเราต้องจ่ายค่าขนส่งเยอะมากและต้องเก็บผักไว้ในตู้เย็นหลาย ๆ อาทิตย์”
“ถ้ามองจากประเทศอื่น คนจะมองว่าประเทศไทยคืออู่ข้าว อู่น้ำของโลก เราคือเซฟโซนที่มีความมั่นคงทางอาหารสูงมาก แต่ประชากรของเราทุกวันนี้ไม่ได้กินแบบนั้นเลย เรากลับกินของที่ทำร้ายโลกมากขึ้น สิ่งที่มาจากแดนไกล และเรากินเกินกว่าที่เราต้องการ”
“เราทุกคนตระหนักเรื่องโลกร้อน เราไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้ เราอาจคิดว่ามันเป็นเรื่องของโรงงานอุตสาหกรรมที่ปล่อยควันพิษ เป็นเรื่องของเกษตรกรที่เผาจนทำให้เกิด PM 2.5 แต่อาหารที่เรากินทุกมื้อ ทุกวัน มันก็มาจากสิ่งเหล่านั้น ถามว่าเขาเผาอะไร เผาข้าวโพดใช่ไหม ทุกวันนี้เรากินหมูกระทะไหมล่ะ หมูก็กินข้าวโพดที่เขาเผาอยู่นั่นแหละ”
เป้าหมายต่อไปของแบรนด์เพื่อการผลิตอาหารอย่างยั่งยืนคืออะไร
“ปลายทางจริง ๆ เราคือบริษัทเทคฯ เราไม่ได้ตั้งจะปลูกไข่ผำอย่างเดียวไปตลอด ความฝันของเรามันไกลไปกว่านี้มาก เราอยากพัฒนาเทคโนโลยีการเพาะปลูกพืชให้ยั่งยืน คุณภาพดี ทำให้อาหารและการเกษตรของประเทศไทยดีขึ้น เราอยากให้ประเทศเราใช้คนน้อยลง ใช้พื้นที่น้อยลง ใช้สารเคมีน้อยลงในการผลิตอาหาร”
“แรงงานไทยอยู่ในภาคการเกษตรเยอะมาก แต่รายได้กลับไม่เยอะ ประสิทธิภาพในการผลิตต่อไร่ค่อนข้างต่ำ เมื่อคนของเรากำลังจะน้อยลงเพราะประชากรหดตัว เอไอและหุ่นยนต์กำลังเข้ามาแทนที่ ถ้าเราไม่พัฒนาเองเราก็ต้องซื้อคนอื่น คิดดูว่าถ้าเราสามารถผลิตอาหารได้เร็ว สามารถลดพื้นที่การเพาะปลูกพืชได้ เราก็เอาพื้นที่ที่ทำเกษตรอยู่ตอนนี้ไปทำให้ประเทศเราสวย ปลูกป่า ทำคาร์บอนเครดิตได้ อาหารเราก็ดี อากาศเราก็ดี มันคงเป็นความฝันบ้า ๆ ของเราหนึ่งคน แต่มันเป็นไปได้จริง”
อาจารย์มองเห็นโอกาสอะไร ที่ทำให้เชื่อว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้จริงในประเทศของเรา
“เราโชคดีที่ยังพัฒนาด้านอุตสาหกรรมไม่สุด คือยังไม่สามารถก้าวไปเป็นกลุ่มประเทศชั้นนำในด้านนี้ และตอนนี้โลกกำลังหมุนกลับมาให้ความสำคัญกับอาหาร อากาศ ต้นไม้ จริง ๆ เราไม่ต้องเดินต่อทางนั้นแต่วกกลับมาได้เลย (หัวเราะ) ถ้าพูดถึงประเทศอื่น ๆ ที่ดินดี น้ำดี จะปลูกพืชได้เท่าประเทศเรา มันมีน้อยมาก ๆ เลยนะในโลกใบนี้”
“ผำคือพืชที่เป็นของเรา เขาเลือกแล้วว่าจะอยู่ที่นี่ ตรงนี้ เพราะอากาศมันเหมาะ แสงเราเหมาะ ถ้าไปอยู่ยุโรปทางเหนือมันจะมีช่วงที่ไม่มีแสงเลยทั้งเดือน ผำมันก็ไม่โต อากาศหนาวแค่นิดเดียวมันก็สะดุ้งแล้ว ญี่ปุ่นพยายามมาก่อนเราอีก แต่จะทำให้ราคาถูกได้เท่าเราก็ทำได้ยาก เพราะพื้นที่ของเขาแพง ค่าไฟก็แพง ทำให้มีค่าใช้จ่ายสูง ยังไงก็ไม่คุ้ม สุดท้ายแล้วอาหารก็ต้องผูกกับราคา”
วางเป้าหมายสำหรับตลาดโลกไว้อย่างไรบ้าง
“เรายังไปได้ไกลกว่านี้ แต่ยังต้องใช้เวลา ต้องใช้เวลาศึกษาว่าผลิตภัณฑ์อะไรที่เหมาะกับต่างประเทศ หลายประเทศยังไม่ได้อนุญาตให้ผำเป็นพืชอาหาร เราต้องลุยต่อ บอกเขาว่าคนไทยกินมานานแล้ว”
“ต่างชาติรอซื้อเยอะมาก เพียงแต่ตอนนี้กำลังผลิตยังไม่เพียงพอในคุณภาพและราคาที่เขาต้องการ แน่นอนว่าเทียบกับถั่วเหลืองแล้วมันก็ยังแพงกว่า เราจึงต้องพัฒนาว่าจะทำอย่างไรให้สามารถคงคุณภาพไว้ในราคาที่ลูกค้ารับได้”
แนวโน้มของตลาดไข่ผำในประเทศไทยในปัจจุบันเป็นอย่างไร
“ตอนนี้ผำกำลังเป็นกระแส เราดีใจที่วันนี้คนไทยรู้จักสิ่งนี้และเริ่มสนับสนุนเยอะมาก ความเป็นจริงเรื่องนี้มีทั้งข้อดี และข้อเสีย ผำไม่ได้เลี้ยงยากขนาดนั้น แต่ต้องเลี้ยงให้คุ้มทุน บอกตามตรงว่าเรายังต้องสร้างตลาดไปเรื่อย ๆ ถ้าเราแห่มาทำอย่างเดียวกันหมดมันก็จะเหมือนผลผลิตทางการเกษตรอื่น ๆ ที่สุดท้ายอาจไม่ได้คุณภาพ มันจะมีผลผลิตเยอะแต่ไม่รู้ว่าต้องขายที่ไหน ซึ่งเราไม่อยากให้เกิดภาพแบบนั้น ใช่ ผำมันดีมากเลย แต่ไม่ได้แปลว่าเราจะไปเสนอขายแล้วมีคนตบแย่งกันซื้อ เรายังต้องอธิบายอยู่ว่ามันดีอย่างไร กินอย่างไร (หัวเราะ)”
ผำเริ่มมีกระแสในประเทศไทยแล้ว ที่ผ่านมาในฐานะแบรนด์แรก ๆ และเป็นเจ้าใหญ่ที่วางขายในห้าง มีวิธีการอย่างไรที่ทำให้สิ่งนี้กลายเป็นเทรนด์แห่งอนาคต
“พูดเยอะ ๆ (หัวเราะ) การที่ผำมาอยู่ในจุดนี้ได้เราต้องคุยตั้งแต่ระดับรัฐบาล องค์กร ส่วนกลาง เอกชน คุยกับนักวิชาการระดับโลก คุยกับบริษัทอื่น ๆ ในไทยที่ทำไข่ผำเหมือนกัน คุยกับผู้บริโภคเราถึงจะเข้าใจว่าพูดแบบไหนแล้วเขาจะสนใจและเข้าใจ”
“เชื่อว่าถ้าได้ลองแล้วคนก็มักจะชอบ ถามว่าเรากินผำไปทำไม คำตอบคือกินไปเลยเพราะมันดี (หัวเราะ)”
flo Wolffia
- Facebook : Flo Wolffia
- Website : flowolffia.com
- Line : @flowolffia
สั่งซื้อได้ที่
- Line Shop : https://shop.line.me/@flowolffia
- Shopee : https://th.shp.ee/88KGZym
- TikTok Shop : https://vt.tiktok.com/ZMhxtGghR/?page=TikTokShop