ต้อง ‘ถือเงินสด’ ไว้เท่าไหร่ ? ถึงจะดีต่อสุขภาพการเงิน และอยู่รอดในยุคเศรษฐกิจซบเซา

09 Jul 2025 - 3 mins read

Wealth / Money

Share

ตอนนี้คุณ ‘ถือเงินสด’ อยู่เท่าไหร่ ?

 

หากนับจำนวนเงินที่อยู่ในกระเป๋าสตางค์รวมกับที่เก็บไว้ในบัญชีเงินฝากทั้งหมดแล้ว ถ้ายังมีเงินสดไม่ถึง ‘หลักแสน’ เท่ากับว่าสุขภาพการเงินของคุณกำลังตกอยู่ในความเสี่ยงที่ไม่ควรนิ่งนอนใจ

 

โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจมีความผันผวนและไม่แน่นอน คนที่มีเงินสดถืออยู่น้อย ยิ่งน่ากังวล เพราะชีวิตเหมือนยืนอยู่ปากเหวตลอดเวลา หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่ทำให้ต้องใช้เงินก้อนใหญ่หรือขาดรายได้หลักกะทันหัน ชีวิตอาจถึงคราวพลิกผันเพราะมีเงินไม่พอให้ใช้จ่าย

 

 

เพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์ยากลำบากเช่นนี้เกิดขึ้นกับใคร LIVE TO LIFE จึงอยากชวนทุกคนเตรียมความพร้อมวางแผนการเงินให้รัดกุม และหาคำตอบให้กับคำถามที่หลายคนกำลังสงสัยว่า ทำไมต้องถือเงินสด ? แล้วต้องถือเงินสดมากแค่ไหน ? ถึงจะเพียงพอทำให้มั่นใจว่าอยู่รอดปลอดภัยในทุกสถานการณ์และมีสุขภาพการเงินที่ดี

 

 

‘เงินสด’ นั้นสำคัญไฉน ?

รู้จักพลังของเงินที่คุณอาจมองข้ามไป

‘เงิน’ คือ สินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องมากที่สุด เพราะทำหน้าที่เป็นมาตรฐานกลางที่ใช้วัดมูลค่าของสินทรัพย์ทุกรูปแบบ แล้วทุกคนก็ใช้จ่ายเงินสดเพื่อแลกเปลี่ยนกับสินค้าและบริการที่ตัวเองต้องการได้ หรือจะนำไปแปลงเป็นสินทรัพย์รูปแบบอื่นก็ได้เช่นเดียวกัน นี่คือเหตุผลสำคัญที่ใคร ๆ ก็อยากได้อยากมี ‘เงินสด’

 

ความหมายของ ‘เงินสด’ ที่บทความนี้ต้องการสื่อถึง จึงไม่ได้จำกัดอยู่แค่จำนวนเงินทั้งหมดที่แต่ละคนมีอยู่หรือเป็นเจ้าของ แต่ยังต้องนับรวมกับ สินทรัพย์สภาพคล่อง (Liquid Assets) ที่ไม่ได้อยู่ในรูปแบบของเงินสดแต่สามารถเปลี่ยนกลับมาเป็นเงินสดได้อย่างรวดเร็วและง่ายดายโดยไม่สูญเสียมูลค่าส่วนใหญ่ไป เช่น ทองคำ กองทุนรวม และหุ้น

 

ยิ่งใครได้ถือเงินสดเอาไว้มากเท่าไหร่ ยิ่งเพิ่มความอุ่นใจให้ชีวิตได้มากเท่านั้น เพราะเงินสดมีพลังมากกว่าที่หลายคนคิด การทำความเข้าใจพลังของเงินสดให้ครบถ้วนรอบด้าน นอกจากจะทำให้เห็นความจำเป็นของการถือเงินสดแล้ว ยังมีประโยชน์ต่อการวางแผนการเงินในระยะยาวอีกด้วย

 

1. พลังแห่งสภาพคล่องที่สร้างความคล่องตัว

คนที่ถือครองเงินสดจึงมีอำนาจหรือสิทธิ์ขาดในการใช้จ่ายได้อย่างอิสระตามจำนวนเงินที่มี หมายความว่า ยิ่งมีเงินสดมาก ยิ่งมีความสามารถใช้จ่ายเงินในทุกสถานการณ์ได้อย่างคล่องตัว ตัวอย่างของคนที่ได้ประโยชน์จากพลังแห่งสภาพคล่อง ก็คือคนที่ถือเงินสดเอาไว้รองรับสถานการณ์ฉุกเฉินที่ต้องใช้จ่ายเงินแบบเร่งด่วนได้โดยไม่กระทบกับสุขภาพการเงินใด ๆ

 

2. พลังแห่งความน่าเชื่อถือที่สร้างความมั่นคง

เงินสด คือสินทรัพย์รูปแบบหนึ่งที่ทุกคนในสังคมยอมรับในมูลค่าร่วมกัน เงินสดจึงมีความน่าเชื่อถือในตัวเอง ซึ่งใช้เป็นหลักประกันความมั่นคงในชีวิตได้ คนที่มีเงินสดมากจึงมีชีวิตที่มั่นคงมากตามไปด้วย และมีโอกาสขยายความมั่นคงด้วยการลงทุนเพื่อเพิ่มมูลค่าของเงินทุน เพื่อบรรลุอิสรภาพทางการเงินในอนาคต ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดที่หลายคนอยากไปให้ถึง

 

3. พลังแห่งความปลอดภัยในยามวิกฤตที่สร้างความสบายใจ

คนที่ถือเงินสดเยอะ ย่อมใช้ชีวิตได้อย่างสบายใจมากกว่าคนที่มีเงินน้อยหรือคนไม่มีเงินเลย โดยเฉพาะในสถานการณ์ไม่ปกติ เช่น เกิดภัยพิบัติ เกิดเหตุการณ์จลาจล และเกิดข้อจำกัดในการเข้าถึงระบบธนาคาร เพราะเงินสดช่วยสร้างความอุ่นใจและความปลอดภัยในยามวิกฤตให้สามารถใช้จ่ายได้ปกติ ส่วนการถือครองสินทรัพย์สภาพคล่องต่ำเอาไว้มาก ๆ ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์ รถยนต์ ตราสารหนี้ระยะยาว เครื่องประดับและของสะสมที่มีมูลค่า จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาหนึ่งเพื่อขายหรือเปลี่ยนเป็นเงินสดและเสี่ยขาดทุน

 

 

ทำไมต้องถือเงินสด ?

คำถามน่ารู้ที่กูรูการเงินมีคำตอบ

หากลองสังเกตพฤติกรรมทางการเงินของคนส่วนใหญ่ในตอนนี้จะเห็นชัดเจนว่า คนส่วนใหญ่เริ่มระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น ไม่ฟุ่มเฟือย ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น พยายามเก็บเงิน หลายคนถึงขนาดหาช่องทางเพิ่มรายได้ให้มีมากกว่าหนึ่งทาง ส่วนคนเป็นหนี้ที่มีปัญหารายได้ไม่พอใช้ ก็ต้องชะลอการชำระหนี้ออกไปก่อน

 

สาเหตุหลักที่ทำให้เราทุกคนตกอยู่ในความเสี่ยงทางการเงินเหมือนกัน มีต้นตอมาจากความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองและผลพวงจากสงครามการค้าของประเทศมหาอำนาจอย่างประเทศจีนและสหรัฐอเมริกา ซึ่งทำให้เกิดปรากฏการณ์ ‘จัดระเบียบโลกใหม่’ (New World Order)

 

ความเปลี่ยนแปลงนี้เอง ส่งผลกระทบต่อระบบการเงินในทุกประเทศ ทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัว ความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจนี้เองที่ทำให้ผู้คนทั่วโลกเริ่มรู้สึกกังวลและไม่มั่นใจต่อสถานะการเงินในปัจจุบัน จนบรรดากูรูการเงินทั่วโลกต้องออกมาแสดงความเห็น และให้คำแนะนำกับคนทั่วไปถึงหนทางรับมือเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบรุนแรงต่อสุขภาพการเงิน

 

ความน่าสนใจก็คือ กูรูการเงินคนสำคัญที่มีประสบการณ์รับมือกับวิกฤตการเงินและเศรษฐกิจระดับโลกทุกคน แม้แต่วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) ก็ยังส่งสัญญาณเตือนทุกคนให้ ‘ถือเงินสด’ เอาไว้

 

ส่วนเหตุผลที่เป็นคำตอบให้กับคำถาม ทำไมต้องถือเงินสด ? ก็คือ ในช่วงเวลาที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ ไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะต้องเจอกับอะไร ไม่มีใครมั่นใจในสภาพเศรษฐกิจ เมื่อการลงทุนมีความผันผวนสูง การลงทุนในสินทรัพย์อื่น ๆ จึงอาจเพิ่มความเสี่ยงให้สุขภาพการเงิน และการใช้จ่ายอย่างไม่รัดกุมหรือขาดการวางแผน ก็อาจเพิ่มความเสี่ยงให้ชีวิตประสบปัญหาสุขภาพการเงินได้เช่นเดียวกัน

 

วิธีรับมือที่ได้ผลเสมอ คือ การรักษาสภาพคล่องโดยถือเงินสดเอาไว้ให้มากที่สุด เพื่อใช้จ่ายในชีวิตประจำวันและที่สำคัญคือเก็บไว้เป็นเงินสำรองยามฉุกเฉิน เพราะไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ทุกอย่างยังต้องใช้เงิน

 

ถึงตรงนี้ LIVE TO LIFE ขอถามคุณอีกครั้งว่า ตอนนี้ ‘ถือเงินสด’ อยู่เท่าไหร่ ? เพื่อสำรวจความพร้อมและวางแผนเก็บเงินสดให้เพียงพอต่อการใช้ชีวิต

 

 

ต้องถือเงินสดมากแค่ไหน ?

ชวนคำนวณวางแผนเก็บเงินสำรอง

การถือเงินสดเอาไว้ใช้หลักการเดียวกับการถือ ‘เงินสำรองฉุกเฉิน’ (Emergency Fund) คือต้องเป็นเงินก้อนที่เก็บแยกไว้ต่างหากจากเงินที่ใช้จ่ายประจำวัน ที่สำคัญคือต้องเป็นเงินที่มีสภาพคล่องสูง พร้อมนำออกมาใช้ได้ทุกเมื่อ เพราะไม่มีใครรู้ล่วงหน้าว่าสถานการณ์ไม่คาดฝัน เช่น ตกงาน เจ็บป่วยกะทันหัน หรือประสบอุบัติเหตุ ซึ่งทำให้ต้องใช้เงินด่วนจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ แม้เราทุกคนจะไม่อยากให้เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นเลยก็ตาม

 

แต่คำถามสำคัญที่ทุกคนน่าจะอยากรู้คำตอบเต็มทีคือ ต้องถือเงินสดมากแค่ไหน ? เพราะจำนวนเงินสดที่แต่ละคนต้องถือมีจำนวนไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับรายจ่ายในแต่ละเดือน

 

โดยทั่วไป ทุกคนควรมีเงินสดสำรองเอาไว้อย่างน้อย 6 เท่าของค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน เช่น นางสาว A มีรายได้จากเงินเดือน 20,000 บาท แต่มีรายจ่ายรายเดือน 10,000 บาท เท่ากับนางสาว A ต้องมีเงินสดสำรองไว้อย่างน้อย 60,000 บาท

 

หรือประเมินจากกลุ่มอาชีพที่ทำงานอยู่ก็ได้ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้

 

1. กลุ่มอาชีพในภาคเอกชน หรือพนักงานออฟฟิศ มนุษย์เงินเดือนทั่วไป แม้จะมีรายได้ประจำแน่นอนเป็นเงินเดือน แต่ยังมีความเสี่ยงตกงานหากบริษัทหรือองค์กรที่ทำงานด้วยได้รับผลกระทบรุนแรงจากปัญหาเศรษฐกิจ จึงควรมีเงินสดเก็บสำรองไว้อย่างน้อย 6 เท่าของค่าใช้จ่ายรายเดือน

 

2. กลุ่มอาชีพในภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ หรือข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ ซึ่งมีความมั่นคงสูงและมีโอกาสตกงานน้อยกว่ากลุ่มอาชีพในภาคเอกชน เพราะทำงานในองค์กรของรัฐ แต่ก็ควรมีเงินสดเก็บสำรองสำหรับสถานการณ์ฉุกเฉินไว้อย่างน้อย 3 เท่าของค่าใช้จ่ายรายเดือน

 

3. กลุ่มอาชีพอิสระ หรือฟรีแลนซ์ที่มีรายได้ไม่แน่นอนในแต่ละเดือน แต่มีรายจ่ายคงที่ทุกเดือน ถือว่าเป็นกลุ่มอาชีพที่ไม่มั่นคงสูง เพราะไม่มีรายได้ประจำ และอยู่ในความเสี่ยงว่าจะได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจเสมอ จึงควรมีเงินสดเก็บสำรองไว้อย่างน้อย 12 เท่าของค่าใช้จ่ายรายเดือน

 

แต่หลังจากวิกฤตโควิด-19 ที่ผ่านมา ทำให้ผู้คนจำนวนมากตกงานและว่างงานกะทันหัน เพื่อไม่ให้ชีวิตตกอยู่ในความเสี่ยงทางการเงิน ทุกคนทุกอาชีพจึงควรมีเงินสดสำรองเอาไว้อย่างน้อย 12 เท่าของค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน เพื่อให้เพียงพอต่อการใช้จ่ายนาน 1 ปี ถึงจะทำให้มั่นใจได้ว่าอยู่รอดปลอดภัยในทุกสถานการณ์และมีสุขภาพการเงินที่ดี

 

สุดท้ายนี้ LIVE TO LIFE อยากถามคุณซ้ำอีกครั้งว่า ตอนนี้ ‘ถือเงินสด’ อยู่เท่าไหร่ ?

 

 

อ้างอิง

  • Lorie Konish. Warren Buffett has a record amount of cash. https://bit.ly/44kZIdj
  • ธนาคารแห่งประเทศไทย. ลดเสี่ยง เพิ่มสุข ด้วยเงินออมเผื่อฉุกเฉิน. https://bit.ly/4kfQvZR
  • ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย. เงินออมฉุกเฉิน ปราการด่านแรกในการป้องกันปัญหาทางการเงิน. https://bit.ly/4eo5mzK

SHARE

facebook
twitter
copy
Related articles / บทความที่เกี่ยวข้อง
Loading...