

นอนโรงพยาบาล 1 ครั้ง เงินเก็บหายทั้งก้อน ยิ่งทำ ‘ประกันสุขภาพ’ เร็ว ยิ่งเก็บเงินได้มาก
Wealth / Money
08 Sep 2025 - 5 mins read
Wealth / Money
SHARE
08 Sep 2025 - 5 mins read
มีคำกล่าวที่ว่า “อยากมีอิสรภาพทางการเงิน ให้ทำประกันสุขภาพ”
ประโยคนี้ยิ่งชัดเจนขึ้น เมื่อปัจจุบันค่ารักษาพยาบาลสูงลิ่ว นอนโรงพยาบาลหนึ่งครั้งต้องจ่ายแสนแพง อาจทำให้เงินที่เก็บมาทั้งชีวิตหายวับไปกับตา
หากอยากมีอิสรภาพทางการเงินในบั้นปลายชีวิต การออมและลงทุนอาจยังไม่เพียงพอ เราควรลดความเสี่ยงที่จะสูญเสียเงินก้อนไปกับการรักษาพยาบาลในระหว่างทางด้วย และหนึ่งในวิธีช่วยลดความเสี่ยงได้ดีคือการทำ ประกันสุขภาพ (Health Insurance)
ประกันสุขภาพมีหลายแบบ หลายแพ็กเกจ กำหนดเบี้ยประกันและความคุ้มครองแตกต่างกัน มือใหม่ที่อยากจะทำประกันสุขภาพฉบับแรก มีอะไรบ้างที่ควรรู้ LIVE TO LIFE ขอชวน ตอบคำถาม 7 ข้อต่อไปนี้ ที่จะช่วยให้เราเจอ ประกันสุขภาพที่ใช่ ซึ่งไม่เพียงเพิ่มความอุ่นใจแต่ยังช่วยให้วางแผนการเงินเพื่อสร้างความมั่นคงให้ตัวเราเองได้ง่ายขึ้น
1.
‘สุขภาพ’ ของเราเป็นอย่างไร ?
การทำประกันสุขภาพต้องเริ่มจาก ‘รู้สุขภาพ’ ของตัวเอง ว่ามีความเสี่ยงเจ็บป่วยอย่างไรบ้าง เพื่อเลือกแผนประกันให้เหมาะกับเรามากที่สุด สิ่งที่ต้องพิจารณาคือ
- สุขภาพส่วนตัว มีโรคประจำตัวอะไรบ้าง มักจะป่วยด้วยโรคอะไร อาการแบบไหน
- กรรมพันธุ์ สำรวจดูว่าครอบครัวและญาติพี่น้องของเราป่วยเป็นโรคใดบ้าง เช่น มะเร็ง, เบาหวาน, ความดันโลหิตสูง, โรคหัวใจ เป็นต้น โรคเหล่านี้เป็นโรคทางกรรมพันธุ์ที่เรามีโอกาสจะเป็นด้วยเช่นกัน
- ความเสี่ยงจากอาชีพที่ทำ บางคนต้องอยู่กับฝุ่นละออง มลพิษ ทำงานบริษัทเป็นออฟฟิศซินโดรม พฤติกรรมการทำงานมากมายที่ทำให้เสี่ยงเป็นโรคต่าง ๆ ตามมาได้
2.
เรามีสิทธิ์รักษาพยาบาลอะไรบ้าง ?
เมื่อรู้จักตัวเองแล้ว ต่อมาคือการตรวจสอบสิทธิ์รักษาพยาบาลที่เรามีอยู่ เช่น บัตรทอง, ประกันสังคม, สวัสดิการข้าราชการ, ประกันกลุ่มของบริษัทที่ทำงาน ฯลฯ เพื่อดูว่าเราได้รับการคุ้มครองอะไรแล้วบ้าง และหากจะมีประกันสุขภาพเพิ่มอีกฉบับควรซื้อในแบบที่คุ้มครองเพิ่มเติมได้อย่างเหมาะสม ไม่ซ้ำซ้อนกับสิทธิ์ที่มีอยู่
3.
โรงพยาบาลใกล้บ้านคือที่ไหน ?
พิจารณาว่าเวลาเจ็บป่วย เรามักจะใช้บริการโรงพยาบาลไหน มีค่าใช้จ่ายประมาณกี่บาท เพื่อเลือกวงเงินการคุ้มครองที่เหมาะสม ถ้าปกติใช้บริการที่โรงพยาบาลเอกชนระดับกลาง ค่าใช้จ่ายไม่สูงมาก ก็เลือกวงเงินที่เหมาะสมกับค่าใช้จ่ายในโรงพยาบาลนั้น ๆ ไม่ต้องเลือกวงเงินที่สูงมากนัก
เช่น ปกติรักษา OPD ครั้งละประมาณ 2,000 บาท แผนประกันที่ให้วงเงิน 2,000–3,000 บาท/ครั้ง ก็เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายในปัจจุบัน และสามารถทบทวนแผนใหม่ทุก 3–5 ปี เพื่อปรับวงเงินให้สอดคล้องกับค่ารักษาพยาบาล ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 10%
นอกจากนี้ยังควรเลือกประกันที่เป็นคู่สัญญากับโรงพยาบาลที่เราใช้บริการเป็นประจำ เพราะสะดวกในการเคลม ไม่ต้องสำรองจ่าย สามารถใช้บริการอย่างสะดวก สบาย
4.
เราเหมาะกับ ‘ประกันสุขภาพ’ แบบไหน ?
ประกันสุขภาพมีการคุ้มครองหลายรูปแบบ เช่น
- ประกันสุขภาพผู้ป่วยใน (IPD) การรักษาแบบนอนโรงพยาบาล
- ประกันสุขภาพผู้ป่วยนอก (OPD) การรักษาทั่วไป โดยไม่ต้องนอนโรงพยาบาล
- ประกันโรคร้ายแรง
- ประกันอุบัติเหตุ
- ประกันชดเชยรายได้
บริษัทประกันแต่ละแห่งจะออกแบบผลิตภัณฑ์และแพ็กเกจความคุ้มครองที่แตกต่างกัน เช่น แผนคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลทั้งผู้ป่วยใน (IPD) และผู้ป่วยนอก (OPD) พร้อมเงินชดเชยรายได้เมื่อต้องนอนโรงพยาบาล หรือแผนคุ้มครองโรคร้ายแรงโดยเฉพาะ เป็นต้น
รูปแบบของการจ่ายเงินชดเชยของประกันสุขภาพมีหลายรูปแบบ เช่น
- จำกัดวงเงิน แยกการจ่ายเป็นรายการ เช่น ค่าห้องไม่เกินวันละ 3,000 บาท หากเกินวงเงิน ผู้เอาประกันต้องรับผิดชอบส่วนต่าง
- เหมาจ่าย รักษาได้ตามวงเงินเหมาจ่ายต่อปี เช่น ได้วงเงินเหมาจ่ายปีละ 10 ล้านบาท สามารถใช้สิทธิรักษาได้ภายในวงเงินดังกล่าว
- จ่ายเป็นเงินก้อน ส่วนมากจะเป็นประกันโรคร้าย เช่น ประกันโควิดที่ตรวจพบเชื้อแล้วได้รับเงินทันที
- จ่ายชดเชย จ่ายเงินชดเชยรายวันช่วงที่ผู้เอาประกันภัยต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล
แต่ละแผนประกันมีการจ่ายที่แตกต่างกัน บ้างก็มีการผสมผสานหลายรูปแบบ เช่น ประกันกึ่งเหมาจ่าย ที่บางส่วนเหมา บางส่วนจำกัดวงเงิน อยู่ที่ว่ารูปแบบใดตรงกับความต้องการของเราที่สุด
5.
เราจ่ายเบี้ยประกันได้ปีละกี่บาท ?
เมื่อแผนประกันในใจเริ่มชัดแล้ว ขั้นต่อไปให้คำนวณงบประมาณของตัวเอง โดยค่าเบี้ยฯ ที่ต้องจ่ายไม่ควรเกิน 10% ของรายได้ต่อปี เพื่อไม่ให้รบกวนค่าใช้จ่ายในส่วนอื่น ๆ
สำหรับใครที่มองว่าเบี้ยประกันสุขภาพรายปีค่อนข้างสูง หากอยู่ในช่วงวัยทำงานที่สุขภาพแข็งแรง อาจเลือกทำประกันสุขภาพทั่วไปที่มีความคุ้มครองระดับกลาง เพื่อให้เบี้ยฯ อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม แล้วเสริมด้วยประกันโรคร้ายแรงเพิ่มเติม ซึ่งมีค่าเบี้ยฯ ไม่สูงมากนัก วิธีนี้จะช่วยเพิ่มความคุ้มครองโดยไม่กระทบต่อภาระค่าใช้จ่ายมากเกินไป หรือหากมีสวัสดิการอยู่เดิม สามารถซื้อแผนประกันที่มี Deductible หรือความรับผิดส่วนแรก เพื่อให้เบี้ยฯ ลดลงได้
6.
อ่านเงื่อนไขอย่างละเอียดแล้วหรือยัง ?
ประกันแต่ละฉบับมีเงื่อนไขและรายละเอียดที่แตกต่างกัน ดังนั้น ก่อนตัดสินใจซื้อประกันสุขภาพสักฉบับควรตรวจสอบให้ละเอียดว่าประกันที่กำลังจะซื้อนั้นมีเงื่อนไขเป็นอย่างไร และควรโฟกัสที่ส่วนต่าง ๆ ต่อไปนี้เป็นพิเศษ
- วงเงินคุ้มครอง ตรวจสอบว่าในแต่ละหมวดได้รับความคุ้มครองเท่าไร เช่น ค่าห้อง ค่าแพทย์ หรือค่าผ่าตัด ข้อยกเว้นความคุ้มครอง เช่น โรคที่เป็นมาก่อนทำประกัน หรือการรักษาที่ไม่เกี่ยวกับการแพทย์ ซึ่งประกันจะไม่คุ้มครอง
- ระยะรอคอย (Waiting Period) คือช่วงเวลาที่ผู้เอาประกันยังไม่สามารถใช้สิทธิ์เคลมค่ารักษาพยาบาลได้ แม้จะทำประกันแล้ว จ่ายเบี้ยประกันแล้ว มีผลบังคับใช้แล้ว แต่ประกันจะยังไม่คุ้มครองบางโรคในทันที เช่น ประกันมีระยะรอคอยการคุ้มครองโรคร้าย 120 วัน หมายความว่าถ้าตรวจเจอทันที แม้ทำประกันไปแล้ว ก็ไม่สามารถเคลมได้ ต้องรอให้เกิน 120 วันก่อนเท่านั้น ถึงจะเริ่มให้ความคุ้มครอง
- Co-Payment หรือ การร่วมจ่าย ในบางแผนประกันอาจกำหนดว่าเราต้องจ่ายค่ารักษาในปีถัดไปร่วมกับบริษัทประกันด้วย หากเคลมเกินหลักเกณฑ์ที่กำหนด โดยในแต่ละแผนจะระบุไว้ชัดเจนว่าเราต้องจ่ายกี่เปอร์เซ็นต์และเคลมได้แบบเต็มจำนวนไม่เกินกี่ครั้ง แผนประกันที่มี Co-payment เหมาะสำหรับผู้ที่สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลได้อย่างเหมาะสม
7.
บริษัทประกันที่เลือกน่าเชื่อถือหรือไม่ ?
การเลือกบริษัทประกันก็ควรพิจารณาจากความน่าเชื่อถือ เลือกบริษัทชั้นนำที่มั่นคง มีตัวแทนประกันชีวิตที่พร้อมให้คำแนะนำได้เป็นอย่างดีตามที่ต้องการ เพื่อเพิ่มความมั่นใจได้ว่าการคุ้มครองจะเป็นไปอย่างต่อเนื่องและเชื่อถือได้
หนึ่งในตัวเลือกที่คุ้มค่า และเหมาะสมจะเป็นประกันสุขภาพฉบับแรก LIVE TO LIFE ขอแนะนำ ประกันสุขภาพ 'ไทยประกันชีวิต Health Fit DD’ ที่มีจุดเด่นคือชำระเบี้ยฯ* เพียงหลักพัน แต่ได้รับความคุ้มครองแบบเหมาจ่ายสูงสุดถึง 30 ล้านบาท สามารถเลือกรับความคุ้มครองครอบคลุมทั้งกรณีผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอกได้ รวมถึงเลือกซื้อผลประโยชน์ค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยนอก (OPD) เพิ่มเติมได้ สมัครได้ถึงอายุ 80 ปี และคุ้มครองยาวนาน ถึงอายุ 99 ปี
ในวันที่อายุยังน้อย ร่างกายแข็งแรง เราอาจยังมองไม่เห็นข้อดีของการทำประกันสุขภาพอย่างชัดเจน แต่ยิ่งเริ่มต้นเร็ว ก็ยิ่งคุ้มค่า เพราะวันที่เราคิดว่า ‘พร้อม’ อาจมาถึงช้าเกินไป และสุขภาพเราอาจไม่สามารถทำประกันได้แล้ว การวางแผนล่วงหน้าจึงเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยให้เรามีทั้งความอุ่นใจและอิสรภาพทางการเงินในอนาคต