มือใหม่หัดลงทุน ‘หุ้นต่างประเทศ’ ต้องรู้อะไรบ้าง ? เพื่อให้ได้ผลตอบแทนระยะยาวที่ดีกว่า

17 Mar 2025 - 4 mins read

Wealth / Money

Share

ถ้าถามคนที่กำลังเล่นหุ้น คงเคยได้ยินมาว่า “ลงทุนผิดที่ กี่ปีก็ไม่รวย อยากมีโอกาสรวยมากกว่า ต้องเล่นหุ้นต่างประเทศ”

 

คำถามก็คือ ถ้าอยากลงทุนหุ้นต่างประเทศ ควรเริ่มต้นอย่างไรดี ?

 

บทความนี้ LIVE TO LIFE จึงรวบรวมข้อมูลพื้นฐานที่จำเป็นต้องรู้ ซึ่งจะช่วยให้ทุกคนสามารถเริ่มต้นลงทุนหุ้นต่างประเทศได้ด้วยตัวเอง ทั้งง่ายและสะดวก ตอบโจทย์นักลงทุนที่กำลังมองหาช่องทางการลงทุนใหม่ ๆ เพื่อหวังสร้างความมั่งคั่งทางการเงินจากผลตอบแทนระยะยาว

 

 

เหตุผลที่ควรลงทุนหุ้นต่างประเทศ

เหตุผลด้านกำไร หรือ ‘ผลตอบแทนที่สูงกว่า’ คือเหตุผลหลักที่ดึงดูดใจให้ใครหลายคนเริ่มต้นลงทุนหุ้นต่างประเทศ

 

เปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างที่ชัดเจน ระหว่างคนที่ลงทุนหุ้นไทย กับคนที่ลงทุนหุ้นต่างประเทศในระยะเวลา 10 ปีเท่ากัน มีความเป็นไปได้สูงว่าคนที่ลงทุนหุ้นต่างประเทศจะร่ำรวยมากกว่าคนที่ลงทุนหุ้นไทย

 

อ้างอิงด้วยข้อมูลผลตอบแทนย้อนหลังตลอด 10 ปีที่ผ่านมา พบว่า ผลการลงทุนในตลาดหุ้นไทย (SET) ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีเพียง 0.14% ขณะที่ผลการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ (MSCI) ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี 8.43% หรือสูงมากกว่า 60 เท่า

 

สมมุติว่าย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีก่อน มีเงินลงทุน 100,000 บาทเท่ากัน คนที่ลงทุนหุ้นไทยในวันนี้ จะได้เงินต้นรวมผลตอบแทนเท่ากับ 101,400 บาท (กำไร 1,400 บาท) ส่วนคนที่ลงทุนหุ้นต่างประเทศในวันนี้จะได้เงินต้นรวมผลตอบแทนเท่ากับ 184,300 บาท (กำไร 84,300 บาท)

 

นอกจากนี้ ยังมีเหตุผลอื่น ๆ ที่สนับสนุนให้คนหันมาสนใจลงทุนหุ้นต่างประเทศกันมากขึ้น โดยเฉพาะเหตุผลด้านโอกาส ที่ทำให้ได้รับผลตอบแทนในระยะยาวที่ดีกว่า เพราะยังมีอีกหลายประเทศที่มีขนาดและการเติบโตทางเศรษฐกิจใหญ่กว่าประเทศไทย ซึ่งดึงดูดทั้งนักลงทุนและเงินหมุนเวียนภายในระบบเศรษฐกิจประเทศนั้น ๆ เช่น ตลาดหุ้นยุโรปมีมูลค่า 233 ล้านล้านบาท ตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ (จีน) มีมูลค่า 255 ล้านล้านบาท และตลาดหุ้นนิวยอร์ก (สหรัฐอเมริกา) มีมูลค่า 945 ล้านล้านบาท ส่วนตลาดหุ้นไทย ซึ่งมีมูลค่าเพียง 19 ล้านล้านบาท

 

และ เหตุผลด้านบริหารความเสี่ยงการลงทุน หากประเมินจากสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยในตอนนี้ ซึ่งยังไม่ฟื้นตัวกลับไปอยู่ในระดับทำกำไร คนที่ลงทุนในหุ้นไทยอย่างเดียวจึงต้องตกอยู่ในความเสี่ยง ‘ขาดทุน’ ต่อเนื่อง หมายความว่า ยิ่งลงทุนยาวนานเท่าไหร่ แทนที่จะได้ผลตอบแทนที่ดีขึ้น กลับมีโอกาสขาดทุนสูงขึ้นเรื่อย ๆ

 

หรือตัวอย่างที่เห็นได้ในบางประเทศ เช่น เวเนซุเอลา และซิมบับเว ซึ่งบริหารนโยบายเศรษฐกิจผิดพลาดจนทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อขั้นรุนแรง (Hyperinflation) เท่ากับสูญเงินลงทุนทั้งหมดที่อยู่ภายในประเทศนั้นทันที เพราะค่าของเงินถูกลงมาก

 

‘หุ้นต่างประเทศ’ จึงกลายเป็นทั้งความหวังและหนทางการลงทุนที่สามารถเพิ่มโอกาสให้นักลงทุนได้รับกำไรเป็นผลตอบแทนในระยะยาว

 

 

สิ่งสำคัญที่ต้องรู้ก่อนลงทุนหุ้นต่างประเทศ

นักลงทุนทุกคนจำเป็นต้อง ‘ติดอาวุธความรู้’ หลากหลายด้าน ก่อนตัดสินใจลงทุนหุ้นต่างประเทศ เพราะว่าการลงทุนทุกรูปแบบ ต่างอาศัยพื้นฐานความรู้และความเข้าใจใน 3 ระดับ ดังนี้

 

ระดับ 1 รู้ความต้องการของตัวเอง : นักลงทุนต้องตอบตัวเองให้ได้ชัดเจนก่อนว่า ทำไมถึงอยากลงทุนหุ้นต่างประเทศ ? เพื่อโฟกัสเป้าหมายการลงทุนได้ถูกจุด นอกจากต้องรู้ข้อจำกัดต่าง ๆ โดยเฉพาะความพร้อมของเงินทุนและระดับความเสี่ยงที่รับได้ เพื่อวางแผนการลงทุนที่เหมาะสมและพอดีกับตัวเองแล้ว ยังต้องรู้ความสนใจของตัวเองด้วย

 

ความสนใจในความหมายนี้ คือ ความสนใจที่มีให้กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากเป็นพิเศษ อาจเกี่ยวข้องกับหน้าที่การงานที่ทำอยู่หรือเป็นความชอบส่วนตัว เพราะช่วยเพิ่มความได้เปรียบในการเข้าถึงข้อมูลเชิงลึก ซึ่งมีประโยชน์ในเชิงต่อยอดการลงทุนได้

 

เช่น คนที่ทำงานในวงการเทคโนโลยี ย่อมสังเกตเห็นเทรนด์บางอย่างที่กำลังจะกลายเป็นความสนใจกระแสหลักในอนาคต จึงมีโอกาสสร้างผลกำไรจากการลงทุนหุ้นต่างประเทศของบริษัทที่เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีนั้น ๆ ได้เร็วกว่าคนที่อยู่นอกวงการ

 

หรือคนที่สะสมอาร์ตทอยเป็นทุนเดิม ทำให้เห็นกระแสความนิยมของอาร์ตทอยที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นก่อนคนทั่วไป จึงเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการเริ่มต้นลงทุนในหุ้นต่างประเทศของบริษัทที่ผลิตอาร์ตทอย

 

ระดับ 2 รู้ความเป็นไปของตลาดหุ้นและเศรษฐกิจโลก : นักลงทุนควรหูไวตาไว นอกจากศึกษาข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์การลงทุนที่สนใจ ต้องคอยติดตามข้อมูลข่าวสารและความเคลื่อนไหวของเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั่วโลก เพราะช่วยให้รู้เท่าทันความเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลต่อการลงทุนได้ เช่น ความเสี่ยงเฉพาะตัวในแต่ละประเทศ อย่างสถานการณ์การเมืองและนโยบายเศรษฐกิจของประเทศนั้น ๆ ที่ทำให้ค่าเงินและอัตราแลกเปลี่ยนเงินระหว่างประเทศมีการเปลี่ยนแปลง

 

รวมถึงภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งมักจะสร้างความกังวลให้นักลงทุน เพราะทำให้ตลาดหุ้นผันผวนและเกิดผลกระทบกับผลตอบแทน นักลงทุนจึงต้องปรับกลยุทธ์ด้วยการเลือกลงทุนให้สอดคล้องกับระดับเงินเฟ้อที่เกิดขึ้น เพื่อสร้างผลตอบแทนที่สามารถชนะเงินเฟ้อได้

 

หากเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ ควรลงทุนหุ้นกลุ่มเติบโต (Growth Stock) เช่น กลุ่มเทคโนโลยี นวัตกรรม หรือสินค้าฟุ่มเฟือย เพราะทำให้ได้รับผลตอบแทนที่ดีจากภาวะต้นทุนทางการเงินต่ำ ในทางตรงกันข้าม หากเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง ควรลงทุนหุ้นปลอดภัย (Defensive Stock) เช่น กลุ่มสินค้าจำเป็น โรงพยาบาล โครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภค เพราะเป็นสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต หุ้นจึงมีความผันผวนน้อยกว่าตลาดหุ้นโดยรวม

 

ระดับ 3 รู้ความต่างช่องทางการลงทุนหุ้นต่างประเทศ : ปัจจุบันการลงทุนในต่างประเทศ สามารถทำได้ 3 ช่องทาง ได้แก่

 

1. ลงทุนผ่านตลาดหุ้นในต่างประเทศโดยตรง : ด้วยวิธีเปิดบัญชีเทรดหุ้นแบบ Offshore Trading Account ซึ่งเป็นบัญชีสำหรับซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหุ้นต่างประเทศโดยเฉพาะ ซึ่งเปิดกับโบรกเกอร์ในประเทศไทย หมายถึง บริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับอนุญาตจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยให้ทำหน้าที่เป็นตัวแทนซื้อหรือขายหลักทรัพย์ให้กับนักลงทุน

 

ทางเลือกนี้เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มีประสบการณ์ เพราะต้องใช้ทั้งความรู้ ความเข้าใจในหุ้นที่ต้องการลงทุน เพื่อควบคุมความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่รับได้ และมีข้อจำกัดคือ มีต้นทุนแฝงค่อนข้างเยอะ ต้องแลกเงินเป็นสกุลเงินต่างประเทศ และใช้เงินลงทุนขั้นต่ำจำนวนมาก ส่วนเงินปันผลที่ได้รับ ต้องเสียภาษี ณ ที่จ่ายตามนโยบายภาษีของประเทศนั้น ๆ รวมถึงต้องนำรายได้จากการลงทุนหุ้นต่างประเทศมารวมกับรายได้ในประเทศไทยแล้วคำนวณภาษีแบบขั้นบันได

 

2. ลงทุนผ่านกองทุนรวมต่างประเทศ : หรือที่รู้จักในชื่อ กองทุน FIF (Foreign Investment Fund) เป็นกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในต่างประเทศ โดยผู้จัดการกองทุนจะนำเงินของนักลงทุนไปลงทุนในต่างประเทศเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนกลับมา พร้อมกับแปลงค่าเงินให้เป็นเงินบาท

 

ทางเลือกนี้เหมาะสำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์การลงทุนมาก่อน เพราะว่ามีผู้จัดการกองทุนทำหน้าที่บริหารจัดการเงินลงทุนและดูแลพอร์ตกองทุนรวมให้ ที่สำคัญไม่ต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก มีเงินแค่หลักร้อยก็เริ่มต้นซื้อกองทุนรวมต่างประเทศได้ รวมถึงใช้ลดหย่อนภาษีได้ด้วย แต่มีข้อจำกัดคือ แต่ละกองทุนกำหนดนโยบายและค่าธรรมเนียมการลงทุนแตกต่างกัน จำเป็นต้องศึกษารายละเอียดในส่วนนี้ให้ถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจลงทุน

 

3. ลงทุนผ่านตลาดหุ้นไทย (SET) : เป็นรูปแบบการลงทุนต่างประเทศผ่านตลาดหุ้นไทย โดยลงทุนในผลิตภัณฑ์ที่เชื่อมโยงกับผลตอบแทนในต่างประเทศ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่

  • DR & DRx (Depositary Receipt and Fractional DR) หลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยที่เปิดโอกาสให้ลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศ โดยซื้อขายเป็นเงินบาท และได้รับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ เหมือนกับการไปลงทุนในหลักทรัพย์ที่อยู่ต่างประเทศโดยตรง
  • DW (Derivative Warrants) เป็นเครื่องมือทางการเงินประเภทหนึ่งที่มีความยืดหยุ่นสูง และซื้อขายสะดวกเสมือนหุ้นตัวหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์ ใช้สร้างโอกาสทำกำไรได้ทั้งตลาดขาขึ้นและขาลง มีโอกาสได้รับผลตอบแทนใกล้เคียงกับการลงทุนในต่างประเทศ
  • ETF (Exchange Traded Fund) เป็นกองทุนที่สามารถซื้อขายได้เหมือนหุ้นตัวหนึ่ง มีนโยบายสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ที่กองทุนใช้อ้างอิง ซึ่งมีหลากหลายประเภท ทั้งหุ้นต่างประเทศ หุ้นรายกลุ่มอุตสาหกรรม รวมถึงตราสารหนี้ และทองคำ

ทางเลือกนี้เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลดความซับซ้อนและความยุ่งยากในการลงทุนหุ้นต่างประเทศ เพราะไม่ต้องเปิดบัญชีใหม่ ซื้อขายบนออนไลน์ผ่านโปรแกรม Streaming เป็นเงินบาท เงินน้อยก็ลงทุนได้ ไม่ต้องใช้ทุนมาก จุดเด่นของการลงทุนหุ้นต่างประเทศผ่านตลาดหุ้นไทย คือ กำไรที่ได้จากการซื้อขาย (Capital Gain) ไม่ต้องเสียภาษี

 

 

เงินลงทุนเริ่มต้นในหุ้นต่างประเทศ

ถึงตรงนี้ หลายคนที่สนใจลงทุนหุ้นต่างประเทศน่าจะสงสัยเหมือนกันว่า ต้องใช้เงินเท่าไหร่กันแน่ ?

 

หากต้องการลงทุนหุ้นต่างประเทศโดยตรงแบบนักลงทุนมืออาชีพ แน่นอนว่าต้องใช้เงินมากถึงหลักแสนหรือหลักล้าน เพราะนอกจากราคาหุ้นรายตัวที่ค่อนข้างสูงแล้ว ยังมีต้นทุนแฝงในทุกขั้นตอนการทำธุรกรรม ตั้งแต่เริ่มต้นเปิดบัญชี ขออนุญาตลงทุน และค่าธรรมเนียมแปลงค่าเงินลงทุน แต่สำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่ยังมีเงินทุนไม่มากนัก สามารถใช้เงินเพียงหลักร้อยถึงหลักพันลงทุนผ่านกองทุนรวมต่างประเทศได้

 

ถึงอย่างนั้น กฎเหล็กข้อสำคัญของการลงทุนระยะยาว คือ ออมก่อนลงทุน หมายความว่า เงินที่นำมาลงทุนต้องเป็นเงินที่เก็บแยกไว้สำหรับลงทุนโดยเฉพาะ ไม่ใช่เงินออมและเงินสำรองฉุกเฉิน เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องในชีวิตประจำวัน หากขาดทุนหรือสูญเงินลงทุนทั้งหมดไป

 

นอกจากนี้ ยังมีวิธีลงทุนที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนมือใหม่ คือ การลงทุนแบบ DCA (Dollar-Cost Averaging) หมายถึง ทยอยการลงทุนเป็นงวด ๆ ด้วยเงินจำนวนเท่า ๆ กัน โดยไม่ได้สนใจราคาของสินทรัพย์ในเวลานั้นว่าเป็นเท่าไร เหมาะสำหรับลงทุนในสินทรัพย์ที่มีแนวโน้มว่าจะเติบโตและมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต เพื่อเพิ่มปริมาณของสินทรัพย์นั้นให้มีมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะคาดหวังผลตอบแทนในระยะยาว

 

สมมติว่า ทยอยลงทุนเดือนละ 5,000 บาททุกเดือนในกองทุนรวมต่างประเทศที่ให้ผลตอบแทน 10% ต่อปี เมื่อผ่านไป 1 ปีจะมีเงินประมาณ 66,000 บาท เมื่อผ่านไป 5 ปี เงินลงทุนจะทบกันไปเรื่อย ๆ จนมีเงินทั้งหมดประมาณ 400,000 บาท จนสุดท้ายเมื่อเวลาผ่านไปครบ 10 ปี จะมีเงินทั้งหมดประมาณ 1,000,000 บาท นี่ผลลัพธ์หนึ่งของความเป็นไปได้ที่หลากหลายหากเลือกลงทุนแบบ DCA เพราะต้องไม่ลืมว่า ในระยะสั้นและระยะกลาง อาจพบกับความผันผวนอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อราคาของสินทรัพย์พุ่งสูงขึ้นหรือลดต่ำลง

 

การลงทุนแบบ DCA จึงตอบโจทย์นักลงทุนมือใหม่ที่มีเงินทุนยังไม่มากนัก เพราะมีโอกาสที่เงินทุนจะงอกเงยเป็นเงินหลักล้าน ช่วยสร้างความมั่งคั่งระยะยาวในตลาดต่างประเทศได้

 

สำหรับนักลงทุนที่ต้องการตัวเลือกการลงทุนอื่น ๆ ที่ได้รับผลตอบแทนสูงพร้อมกับความคุ้มครองชีวิต LIVE TO LIFE แนะนำ ‘ประกันชีวิตควบการลงทุน’ ของไทยประกันชีวิตที่เหมาะกับการวางแผนการเงินระยะยาว โดยเฉพาะคนวัยทำงานที่ต้องการวางแผนเกษียณ

 

ไทยประกันชีวิต ทีแอล ไลฟ์ โซลูชั่น 99/99 (ยูนิตลิงค์) ตัวเลือกประกันชีวิตควบการลงทุนที่ให้ความคุ้มครองสูง และให้อิสระในการวางแผนทางการเงิน สามารถปรับเปลี่ยนและจัดสรรการลงทุนได้หลากหลายสินทรัพย์ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อให้ตรงกับจังหวะและรูปแบบชีวิตที่ต้องการ พร้อมโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงจากหลากหลายกองทุนที่บริษัทฯ คัดสรรมาเป็นอย่างดี ควบคู่ความคุ้มครองชีวิตสูงสุดถึง 120 เท่าของเบี้ยประกันตลอดสัญญา

 

ไทยประกันชีวิต ทีแอล ยูนิเวอร์แซลไลฟ์ 90/90 ตัวเลือกประกันชีวิตควบการลงทุนที่มีโอกาสได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้นตามผลตอบแทนจากพอร์ตการลงทุนที่จัดสรรการลงทุนให้หลากหลายสินทรัพย์ทั้งในและต่างประเทศ โดยมีการรับรองผลตอบแทนขั้นต่ำ เพื่อสร้างความมั่นคงตลอดสัญญา สามารถใช้สิทธิ์หยุดพักชำระเบี้ยประกันได้ โดยยังได้รับความคุ้มครองอยู่ และสามารถถอนเงินบางส่วนมาใช้ได้โดยไม่จำเป็นต้องเวนคืนกรมธรรม์ ที่สำคัญหากชำระเบี้ยประกันหลักอย่างต่อเนื่องจนถึงปีที่ 10 จะได้รับโบนัสเพิ่มเติมร้อยละ 2

 

หมายเหตุ : บทความนี้เรียบเรียงเนื้อหาให้มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน

 

 

อ้างอิง

  • ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์. ห้องเรียนนักลงทุน : มือใหม่หัดลงทุนต่างประเทศ. https://bit.ly/41KtLdh
  • นารินทิพย์ ท่องสายชล. 3 ทางเลือกลงทุนต่างประเทศ ผ่านตลาดหุ้นไทย. https://bit.ly/41qCm4l
  • พงษ์ธร ถาวรธนากุล. เงินเฟ้อสูง สินทรัพย์ไหนน่าลงทุน. https://bit.ly/4bvIdtT

SHARE

facebook
twitter
copy
Related articles / บทความที่เกี่ยวข้อง
Loading...