เช็กลิสต์ #ปัญหาสิ่งแวดล้อมใกล้ฉัน ที่ 'หมอจอย Too Young to Die' ย้ำว่าโปรดอย่าชะล่าใจ

20 Jun 2025 - 10 mins read

Better Life / People

Share

คุณกลัวความตายไหม ?

 

หากคำตอบคือ “กลัว” แล้วคุณทำอย่างไร ? คุณอาจจะเลือกกินแต่อาหารที่ดีที่สุด ควบคู่ไปกับออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อดูแลร่างกายให้ห่างไกลจากอาการเจ็บป่วยให้ได้มากที่สุด

 

แต่สำหรับ หมอจอย - พญ. สนาธร รัตนภูมิภิญโญ ผู้สวมหมวกหลายใบ ทั้งในฐานะแพทย์ศัลยกรรมตกแต่ง นักดนตรี และนักสื่อสารด้านสิ่งแวดล้อม ผู้ก่อตั้งเพจ Too Young to Die เลือกที่จะทำคอนเทนต์บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมเป็นประจำทุกสัปดาห์มานานกว่า 7 ปี ด้วยความกลัวว่าจะต้อง “ตายก่อนวัยอันควร” ซึ่งสะท้อนชัดในชื่อเพจที่เธอตั้งขึ้น ซึ่งได้มาจากชื่อเพลงของ Jamiroquai ที่พูดถึงการเมือง และส่งเสียงไปยังรัฐบาลว่าต้องลงมือทำในสิ่งที่ถูกต้องเพื่อเยาวชนในอนาคต ซึ่งใจความดังกล่าวคือหัวใจหลักที่หมอจอยยึดถือในการทำเพจนี้มาโดยตลอด

 

“จอยแค่รู้สึกว่านี่เป็นความรับผิดชอบของเราที่ต้องทำเพจนี้ไปเรื่อย ๆ เพราะกลัวตัวเองจะลำบากตอนแก่” เธอเล่าถึงที่มาของกิจวัตรในการแบ่งเวลามาอ่านและแปลข่าวสารด้านสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศรอบโลก นโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของนานาประเทศ ฯลฯ เพื่อย้ำเตือนคนไทยไม่ให้หลงลืมและละเลยปัญหาโลกร้อนที่นับวันจะยิ่งแย่ลงเรื่อย ๆ

 

แต่นอกเหนือไปจากการรับรู้ถึงสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงรอบโลกอย่างเทือกเขาเอลป์ธารน้ำแข็งในเทือกเขาเอลป์ถล่ม ชายฝั่งสหราชอาณาจักรเผชิญกับคลื่นร้อนผิดปกติ ฮาวายขึ้นภาษีท่องเที่ยวเพื่อแก้วิกฤตโลกร้อน คลื่นความร้อนในทะเลนอกชายฝั่งออสเตรเลียตะวันตก ทำให้ปลาตายกว่า 30,000 ตัว ฯลฯ LIVE TO LIFE อยากชวนหมอจอยพูดคุยถึง #ปัญหาสิ่งแวดล้อมใกล้ฉัน แฮชแท็กที่คงไม่เคยมีใคร Search หา ทว่าเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม เพราะอาจส่งกระทบร้ายแรงจนยากเกินเยียวยา

 

จุดเริ่มต้นในการทำเพจ Too Young to Die เกิดจากอะไร
“ก่อนหน้านี้จอยเป็นคนเฉย ๆ กลาง ๆ เรื่องโลกร้อน จนประมาณปี ค.ศ. 2007 - 2008 ซวง - ลดาทิพย์ ทองธเนศ เพื่อนสนิทตั้งแต่มัธยมต้นจนเรียนหมอด้วยกัน เริ่มมาเทศนาจอยเรื่องโลกร้อน และเอาหนังสือ An Inconvenient Truth เขียนโดย Al Gore ให้อ่าน พออ่านจบก็เกิดความรู้สึกว่าต้องลงมือทำอะไรสักอย่าง เลยเปิดเพจ Too Young to Die บน Facebook เตรียมไว้ก่อน แต่ยังไม่ได้ลงคอนเทนต์อะไร เพราะตอนนั้นเรารู้แค่โลกร้อนมีจริง แต่ไม่รู้ว่าปัญหานี้อยู่ในขั้นด่วนมาก เพิ่งมารู้ว่าเป็นเรื่องด่วนมากตอนที่น้องเกรตา (เกรตา ธันเบิร์ก (Greta Thunberg) นักเคลื่อนไหวด้านสภาพอากาศ) ออกมาเรียกร้องเมื่อปี ค.ศ. 2018 ตอนแรกเราคิดว่าโลกจะเริ่มวิกฤติในอีก 200-300 ปี แต่พอน้องเกรตามาเคลื่อนไหว อ้าว มันเป็นหลักสิบปีเองเหรอ ซวยแล้ว (หัวเราะ)”

 

“ประกอบกับช่วงนั้นมีกระแสของ IPCC (คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ Intergovernmental Panel on Climate Change) ที่ออกมาพูดเรื่องการควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียสตามความตกลงปารีส (Paris Agreement) ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จอยจึงเริ่มเขียนคอนเทนต์ลงในเพจมาเรื่อย ๆ จนถึงปัจจุบัน โดยมีทีมงานอีก 2 คน คือ ซวง และ แป้ง - วีรยา มานามวีรสิทธิ์ ที่ช่วยกันแปลข่าวเกี่ยวกับปัญหาสิ่งแวดล้อมทั่วโลกมาลงในเพจ”

 

เนื้อหาในเพจ Too Young to Die เกี่ยวกับอะไรบ้าง
“เนื้อหาหลักจะเป็นข่าวสารความเคลื่อนไหวที่เกี่ยวกับคาร์บอนฟุตพริ้นท์และสิ่งแวดล้อม โดยแบ่งเป็น 3 แบบ แบบแรกเน้นบอกเล่าถึงสถานการณ์สิ่งแวดล้อมทั่วโลก เพื่อ Inform ให้คนอ่านตระหนักถึงปัญหาโลกร้อนที่กำลังเกิดขึ้น แบบที่สองเป็นการเล่าถึงนโยบายของประเทศต่าง ๆ เช่น อเมริกามีนโยบายแบบไหน เวียดนามงดภาษีอะไร ประเทศไหนมีการใช้โซลาร์เซลล์เพิ่มขึ้นบ้าง เรานำมาบอกเพื่อที่คนจะได้รู้สึกถึงความเคลื่อนไหวทางการเมืองและตระหนักว่าโลกร้อนเกี่ยวข้องกับการเมือง และเน้นย้ำว่าสื่อเองก็มีส่วนรับผิดชอบได้ด้วยการไม่ละเลยประเด็นทางการเมือง ส่วนเนื้อหาในแบบที่สามว่าด้วยเรื่องของเทคโนโลยีหรือวิธีการลดโลกร้อนต่าง ๆ”

 

“จำได้ว่าสมัยเปิดเพจแรก ๆ มียอด Follow 4-5K เขียนอะไรปุ๊บ คนแชร์ 50-60 แชร์ แต่พอ Facebook เริ่มจำกัดการมองเห็น คนก็เริ่มเข้ามาอ่านเพจเราน้อยลง คิดจะปรับมาทำคอนเทนต์วิดีโอเหมือนกัน เคยลองทำแล้ว แต่รู้สึกว่าเสียเวลาชีวิตมากเกินไป ปกติจอยใช้เวลาแปลและเขียนบทความประมาณ 40 นาทีก็เสร็จแล้ว แต่ถ้านั่งทำคอนเทนต์วิดีโอ เราเสียเวลาไปสองชั่วโมงเต็ม ๆ Too Young to Die เลยขอทำคอนเทนต์สำหรับคนชอบอ่านต่อไป” 

 

อะไรทำให้หมอจอยยืนหยัดสื่อสารเรื่องสิ่งแวดล้อมมาตลอด 7 ปี เคยเหนื่อยหรือท้อบ้างไหม
“ไม่เหนื่อย กลัวตายมากกว่ากลัวเหนื่อย จอยแค่รู้สึกว่านี่เป็นความรับผิดชอบของเราที่ต้องทำเพจนี้ไปเรื่อย ๆ สมมติว่าลืมลงคอนเทนต์ 5 วัน จะรู้สึกผิดมาก จอยไม่ได้หวังว่าทำเพจแล้วจะได้เงิน แต่อยากให้คนตระหนักเรื่องโลกร้อนมากขึ้น ซึ่งเป็นค่าที่วัดไม่ได้ อาจจะวัดได้แค่มียอด Follow, Share หรือ Like เท่าไร แต่กลับบ้านแล้วเขาจะประพฤติตัวยังไงก็เป็นอีกเรื่องนึง”

 

“อีกเหตุผลที่ทำให้เราต้องทำเพจต่อไปเรื่อย ๆ เพราะกลัวตัวเองจะลำบากตอนแก่ จอยอยากให้ดูแผนภูมิสุดคลาสสิกที่ IPCC ทำไว้เมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว เวลาจอยไปให้สัมภาษณ์ที่ไหนก็จะโชว์แผนภูมินี้ให้ดู เพราะเข้าใจง่ายที่สุด”

ภาพ : facebook.com/TooYoungToDieGeek

 

“ลองตั้งต้นจากปีที่จอยเกิดก็ได้ คือ ปี ค.ศ. 1988 แล้วไล่มาดูตรงปี ค.ศ. 2020 ว่าโลกร้อนไปแล้วเท่าไร ขีดปลอดภัยคือ ห้ามร้อนเกิน 1.5 องศาเซลเซียส ซึ่งในตารางนี้ตรงกับสีส้ม และในวันที่จอยอายุ 70 ปี กราฟจะอยู่ที่สีแดง คือ อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้น 2 องศาเซลเซียส ดังนั้น เด็กที่เกิดหลังปี ค.ศ. 2020 เป็นต้นไปจะรู้สึกเหมือนกับถูกย่างสดในตอนพวกเขาอายุเกือบ 70 ปี เพราะมีการพยากรณ์ไว้ว่าอุณหภูมิโลกจะเพิ่มขึ้น 3 องศาเซลเซียสภายในปี ค.ศ. 2100”

 

ตั้งแต่ทำเพจ Too Young to Die มีคอมเมนต์หรือฟีดแบ็กไหนที่หมอจอยประทับใจเป็นพิเศษ
“ทุกปีจอยจะทำคอนเทนต์สรุปสถานการณ์โลกร้อนประจำปี และเมื่อ 1-2 ปีก่อน มีน้องผู้ชายวัยมัธยมปลายคนนึงแชร์บทความสรุปสถานการณ์โลกร้อนประจำปีนั้นออกไป และเขียน Caption ประมาณว่า เห็นไหมว่า 1.5 องศาเซลเซียสสำคัญแค่ไหน แต่ไม่มีใครเข้าใจพวกผมเลย แล้วอนาคตผมจะทำยังไงในเมื่อสิ่งเหล่านี้กำลังจะเกิดขึ้นในชีวิตผม ซึ่งจอยประทับใจมาก เพราะเขาพูดแทนสิ่งที่อยู่ในใจเราทั้งหมด ถือเป็นลูกเพจในดวงใจก็ว่าได้ จอยอยากให้คนที่ติดตามคอนเทนต์เราเป็นคนแบบเดียวกันที่ไป Educate คนอื่นต่อ”

ภาพ : facebook.com/TooYoungToDieGeek

 

เวลาที่สรุปข้อมูลสถานการณ์โลกร้อนประจำปี รู้สึกอย่างไร
“เครียด แต่ก็ต้องทำต่อ จอยอาจจะเป็นคนสมาธิสั้น เครียดเดี๋ยวเดียวก็ลืมแล้ว แต่จริง ๆ ลืมไม่ลงหรอก มันจะเด้งกลับมาเรื่อย ๆ จอยว่าตัวเองก็มีภาวะ Eco-anxiety (ภาวะวิตกกังวลเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม) เหมือนกัน ช่วงที่เพิ่งทำเพจใหม่ ๆ จอยชอบเช็คอุณหภูมิของกรุงเทพฯ ย้อนหลังทางเว็บไซต์ Time and Date ยิ่งเทียบย้อนหลังไปเรื่อย ๆ ก็ยิ่งนอยด์ เมื่อก่อนโลกเราเคยดีกว่านี้มาก”

 

“ความเปลี่ยนแปลงที่รู้สึกได้กับตัวเอง คือ อากาศร้อนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ปีที่แล้วก็มี Heat Wave ช่วงเดือนเมษายน แทบจะออกจากบ้านไม่ได้เลย อยู่ข้างนอกแล้วเหมือนหายใจไม่ออก ขับรถไปทำงานทั้งเหนื่อยและง่วง เพราะอากาศร้อนมากจนทำให้ร่างกายล้า ทั้ง ๆ ที่สมัยเราอยู่ประถมยังมีโอกาสได้ใส่เสื้อกันหนาวไปโรงเรียน หรือสมัยเรียนมหาวิทยาลัยก็ยังได้ใส่เสื้อกันหนาวไปนั่งเล่นริมแม่น้ำเจ้าพระยา แต่ในอนาคต ตอนที่จอยอายุ 60 ซึ่งก็อีก 20 กว่าปี ความร้อนจะดับเบิ้ลเป็นสองเท่ายิ่งกว่าตอนนี้”

ภาพ : facebook.com/TooYoungToDieGeek

 

คุณคิดว่าอะไรคือ 5 ปัญหาสิ่งแวดล้อมใกล้ตัวที่อยากบอกให้คนทั่วไปตระหนักว่าไม่ใช่เรื่องเล็กอีกต่อไป
“อันดับแรก คนส่วนใหญ่ยังมีความเข้าใจว่าการลดการใช้พลาสติกช่วยลดโลกร้อนได้ ใช่ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะกว่า 70-80 เปอร์เซ็นต์ของก๊าซเรือนกระจกที่มนุษย์สร้างขึ้นมาจากภาคพลังงาน ซึ่งโรงไฟฟ้าส่วนใหญ่ยังใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง รวมถึงโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติก็ก่อก๊าซเรือนกระจกเช่นกัน ประเทศที่เจริญแล้วจึงเปลี่ยนไปใช้พลังงานกังหันลม หรือพลังงานนิวเคลียร์แทน ซึ่งคนไทยอาจจะยังรู้สึกต่อต้านพลังงานนิวเคลียร์ แต่จอยเชียร์ เพราะถ้ามีระบบป้องกันที่ดี พลังงานนิวเคลียร์จะเป็นทางรอดของเรา ถามว่าตอนนี้ประเทศไทยเริ่มทำอะไรรึยัง ตอนนี้เรามีโรงไฟฟ้าโซลาร์เซลล์ลอยน้ำไฮบริดเขื่อนอุบลรัตน์แล้ว แต่ถ้าจะพึ่งพลังงานโซลาร์อย่างเดียว ไม่มีทางพอใช้แน่นอน”

 

“อีกไม่นานประเทศไทยกำลังจะมี พ.ร.บ. โลกร้อน ที่คาดการณ์ว่าน่าจะมีการประกาศและมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการเร็วที่สุดคือ ปลายปี 2568 ถือเป็นการออกกฎหมายควบคุมให้ภาคเอกชนหรือผู้ประกอบการมีส่วนร่วมในการรักษาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งจอยคิดว่าเป็นเรื่องดี ประเทศเราต้องมีคนมาชี้ว่าทำเรื่องนี้ได้แล้ว แต่ถามว่าทำได้จริงไหม เป็นแค่กุศโลบายไหม ไม่รู้ แต่ก็ดีกว่าไม่มี”

 

“อย่างคุณพ่อของจอยเองเป็นเจ้าของธุรกิจส่วนตัว ช่วงสองปีมานี้ บริษัทของเราก็ต้องคำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นท์และแจกแจงว่าลดการปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นท์ได้ปีละเท่าไร ซึ่งถ้าไม่มีกฎหมายมาบังคับก็คงไม่มีคนลุกขึ้นมาทำอะไรแบบนี้”

 

“ดังนั้น การลดโลกร้อนโดยเริ่มต้นที่ตัวเองนั้นถูกแล้ว แต่เราต้องช่วยกันบอกรัฐบาลด้วยว่าได้โปรดหันมาใช้พลังงานสะอาด แต่จอยก็ไม่ได้อยากจะโทษรัฐบาลอย่างเดียว เพราะประเทศเราอาจจะไม่มีศักยภาพพอที่จะสร้างโรงไฟฟ้าที่แอดวานซ์จริง ๆ ก็ได้ เช่น การใช้พลังงานลมก็ทำได้เฉพาะบางพื้นที่ที่มีลมแรงพอ ดังนั้น สิ่งที่จอยอยากทำมาตลอดคือ ลงสนามไปถามผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้านว่าสรุปแล้วประเทศไทยทำได้ไหม ก่อนที่เราจะต่อว่าใคร เราต้องศึกษา ลงพื้นที่ หรือคุยกับนักวิชาการก่อน”

 

“ปัญหาที่สอง คือ Food Delivery ทำให้โลกร้อน อ้างอิงจากงานวิจัยของประเทศจีนที่ระบุว่าก๊าซเรือนกระจกจาก Food Delivery ในปี ค.ศ. 2014 จำนวน 0.3 ล้านตัน เพิ่มขึ้นเป็น 2 ล้านตันในปี ค.ศ. 2021 ซึ่งเกิดจากเชื้อเพลิงของรถมอเตอร์ไซค์ที่ต้องขับไปส่งของ และเกิดจากขยะต่าง ๆ ซึ่งก็น่าคิดนะว่าสมัยที่ยังไม่มี Food Delivery เราก็อยู่กันได้ ในอนาคตถ้ามี Environment Tax หรือภาษีโลกร้อน คิดว่าน่าจะเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน”

ภาพ : facebook.com/TooYoungToDieGeek

 

“ปัญหาที่สาม คือ AI ทำให้โลกร้อน เพราะต้องใช้เซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่ ซึ่งมีค่าเทียบเท่ากับบ้านหนึ่งแสนหลัง มีการคาดการณ์ว่าปี ค.ศ. 2026 ดาต้าเซิร์ฟเวอร์ของ AI ทั่วโลกจะสร้างคาร์บอนฟุตพริ้นท์ปริมาณมหาศาลเทียบเท่าประเทศญี่ปุ่นทั้งประเทศ หรือแม้แต่ตอนที่ทั้ง Microsoft และ Google ออกมาประกาศว่าจะเป็นกลางทางคาร์บอนฟุตพริ้นท์ด้วยค่าเท่านั้นเท่านี้ ปรากฏว่าเขากลับสร้างก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้น 10-20 เปอร์เซ็นต์ภายในระยะเวลาแค่ 5 ปี ไหนพี่บอกว่าพี่จะลดไง (หัวเราะ) แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกวันนี้เราต้องใช้ AI ถ้าไม่ใช้ก็แพ้เขา ดังนั้น สิ่งที่เราทุกคนทำได้ คือ อย่าเอา AI ไปใช้ทำอะไรไร้สาระก็พอ”

 

“ปัญหาที่สี่ คนไทยจำนวนหนึ่งยังคิดว่าร้านค้าที่เก็บค่าหลอดหรือค่าถุงพลาสติกเป็นเรื่องผลประโยชน์นายทุน ซึ่งมันไม่ใช่อย่างนั้น ประเทศที่เจริญแล้วอย่างไต้หวันหรือญี่ปุ่น ถ้าไปซื้อของแล้วจะเอาถุงพลาสติกก็ต้องจ่ายเงินเพิ่มทั้งนั้น ทำไมคนเหล่านั้นเขาถึงยอมรับได้โดยไม่รู้สึกว่ามันแปลกล่ะ จอยเคยถามร้านกาแฟว่าทำไมถึงยังแจกถุงพลาสติก เขาบอกว่าพอไม่แจกแล้วลูกค้าไม่พอใจ เขาอาจเสียฐานลูกค้าเลยต้องยอมแจก ที่น่าตกใจไปกว่านั้นคือ หลายคนไม่เชื่อเรื่องปัญหาโลกร้อน แต่เชื่อว่านายทุนจะได้ตังค์เพิ่ม ซึ่งเอาเข้าจริงการเก็บเงินค่าถุงพลาสติกไม่ใช่ว่านายทุนได้ประโยชน์ ทุกวันนี้นายทุนก็ต้องปรับตัว ต้องมองหามาตรการในกระบวนการผลิตเพื่อลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ เพราะมีการตรวจสอบจากภาครัฐเช่นกัน”

ภาพ : facebook.com/TooYoungToDieGeek

 

“เรื่องสุดท้าย หยุดเล่นสงกรานต์กันดีไหม จอยว่าการเอาน้ำมาสาดเล่นกันมันไร้สาระ เพราะน้ำประปาต้องผ่านกระบวนการผลิต ใช้ทั้งไฟฟ้าและพลังงานในการขนส่ง โดยน้ำ 1 ตารางลูกบาศก์เมตร สร้างก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 0.7 กิโลกรัม ดังนั้น เกิดคาร์บอนฟุตพริ้นท์แน่นอน จอยเคยโพสต์ประเด็นนี้ในเพจ Too Young to Die ปรากฏว่าได้ไปเลย 200 แชร์ จากที่ปกติไม่ค่อยมียอดแชร์ และมาพร้อมคอมเมนต์เชิงตำหนิติเตียน เช่น “ประเทศอื่นก่อสงคราม สร้างก๊าซเรือนกระจกเยอะแยะ ไม่เห็นต่อว่าเขาบ้าง” “ขอทราบค่าก๊าซเรือนกระจกของการแข่งรถ F1 หน่อยค่ะ” คือที่เขาพูดก็ถูก แต่จะใช้หลักการนี้ไม่ได้ ประมาณว่า ฉันทิ้งขยะน้อย ฉันไม่ผิด แต่คนทิ้งขยะเยอะ เป็นคนผิด ไม่ได้สิ ทิ้งขยะแบบไหนก็ผิดหมด ถ้ามีคนทิ้งนิดเดียวพร้อมกันหลาย ๆ คนล่ะ จะเป็นยังไง”

 

“จอยแค่รู้สึกว่าคนไม่เอาลอยกระทงได้ ก็ต้องไม่เอาเล่นสงกรานต์ได้เหมือนกัน แต่ประเด็นคือ ลอยกระทงมีหลักฐานเชิงประจักษ์เห็นเป็นขยะลอยในแม่น้ำลำคลองชัดเจน แต่สงกรานต์คนไม่เข้าใจ เพราะคนส่วนมากไม่รู้จักว่าคาร์บอนฟุตพริ้นท์คืออะไร”

 

ถ้าอย่างนั้น คุณจะอธิบายให้คนที่ไม่รู้จักคาร์บอนฟุตพริ้นท์เข้าใจว่าคืออะไร
“จอยขอเปรียบเทียบว่าโลกร้อนเกิดจากการจุดธูปหรือการตดก็แล้วกัน ทุกกิจกรรมในการใช้ชีวิตของเรา เมื่อต้องใช้ไฟฟ้าหนึ่งครั้ง ก็เหมือนการจุดธูปหนึ่งดอก หรือมีคนตดทีนึง (หัวเราะ) ยิ่งมีคนจุดธูปหรือมีคนตดเยอะ ก๊าซเรือนกระจกก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โลกก็เลยร้อน”

 

“จำได้ว่าตอนปี ค.ศ. 2020 จอยเคยอ่านบทความที่นักวิทยาศาสตร์มีการคาดการณ์ว่า ระหว่างปี ค.ศ. 2020 - 2024 จะมีอยู่หนึ่งปีที่อุณหภูมิโลกพุ่งเกิน 1.5 องศาเซลเซียส โดยมีโอกาสเป็นไปได้ 20 เปอร์เซ็นต์ และเหตุการณ์นี้ก็เกิดขึ้นจริง โดยตั้งแต่ปลายปี ค.ศ. 2023 จนถึงเดือนเมษายนปี ค.ศ. 2025 อุณหภูมิโลกสูงเกิน 1.5 องศาเซลเซียสเป็นเวลากว่า 20 เดือนติดต่อกัน คิดดูสิว่าเรามีหวังถึง 80 เปอร์เซ็นต์ แต่เปอร์เซ็นต์ส่วนน้อยแค่ 20 กลับเกิดขึ้นจริง ตอนที่จอยอ่านข่าวนี้ยังหวังว่าอาจจะไม่เกิดขึ้นจริงก็ได้ แต่กลับไม่ใช่แบบนั้น สรุปว่าสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์พยากรณ์ไว้ล้วนเกิดขึ้นจริงทั้งสิ้น คุณแค่ไม่ฟังเขาก็เท่านั้นเอง”

 

“ล่าสุดรายงานของ WMO (World Meteorological Organization หรือองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก) ออกมาบอกว่า ระหว่างปี ค.ศ. 2025 - 2029 มีโอกาส 70 เปอร์เซ็นต์ที่ค่าเฉลี่ยของอุณหภูมิใลกในห้าปีนี้จะเกิน 1.5 องศาเซลเซียส เอาเป็นว่าห้าปีที่แล้วเขาพูดอะไรไว้ล้วนเกิดขึ้นจริงทั้งหมด และอยู่ใน Range ที่แย่ด้วย”

ภาพ : facebook.com/TooYoungToDieGeek

 

ถ้าคน 70 ล้านคนยอมเปลี่ยนพฤติกรรม คุณคิดว่าสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแค่ไหน
“เอาตรง ๆ มันไม่มีทางกลับไปเหมือนเมื่อ 10-20 ปีก่อนอีกแล้ว แต่แค่ชะลอความรุนแรง เปรียบเหมือนคนเป็นมะเร็ง ถ้าจะบอกว่าช่างมัน ไม่รักษาแล้ว คุณก็ตายเร็วกว่าคนที่เป็นมะเร็งแต่พยายามรักษา อย่างน้อยยังมีเวลาอีกห้าปีที่ได้ไปเที่ยวเล่นกับลูก และมีเวลาใช้ชีวิตยาวขึ้นอีกหน่อย”

 

“ตอนที่ทั้งโลกถูกล็อกดาวน์ในช่วงโควิด 19 ก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกลดลง 4 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถ้าเราจะพิชิตเป้าหมาย 1.5 องศาเซลเซียสภายในปี ค.ศ. 2030 เราต้องลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงปีละ 7 เปอร์เซ็นต์เทียบกับปีก่อนหน้า แล้วก็ลดลงอีก 7 เปอร์เซ็นต์ไปเรื่อย ๆ แล้วคิดดูว่าขนาดตอนล็อกดาวน์ยังลดได้แค่ 4 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง แต่เชื่อเถอะว่า การหยุดกิจกรรมของมนุษย์ช่วยลดก๊าซเรือนกระจกได้แน่นอน"

 

กิจกรรมอะไรบ้างที่คุณลงมือทำเพื่อลดปัญหาโลกร้อนโดยเริ่มที่ตัวเอง
“วันนี้สิ่งที่ทำแล้วคือ ใช้แก้วส่วนตัว งดถุงพลาสติก และล้างขยะพลาสติก Delivery อย่างบ้าคลั่ง บางทีก็คิดเหมือนกันว่าเราล้างพลาสติกทำไมวะเนี่ย ไม่ใช่จานตัวเองซะหน่อย (หัวเราะ) แต่รู้สึกว่าต้องล้าง ไม่อย่างนั้นจะรู้สึกผิด ตอนนี้ที่บ้านมีกองทัปเปอร์แวร์ขยะพลาสติกสูงเท่าชั้นหนังสือ 3-4 ชั้น เตรียมเอาไปบริจาคทีเดียว หรือไม่ก็ให้ซาเล้งแถวบ้านมารับไป จอยคิดว่าถ้ามีใครสักคนลงทุนล้างพลาสติกขนาดนี้ เขาควรจะได้เงินนะ หรืออาจมีอาชีพนี้แล้ว แต่เรายังไม่รู้รึเปล่า”

 

“จอยแค่รู้สึกว่าระบบประเทศเราเป็นอารมณ์บริจาค ทั้ง ๆ ที่เราควรทำให้คนอยากรีไซเคิลมากขึ้น ตอนนี้เท่าที่ทราบถ้าเราอยากให้บริษัทรีไซเคิลมารับขยะพลาสติกของเรา ต้องมีปริมาณมากเกิน 20 กิโลกรัม หรือถ้าเราจะเอาขยะพลาสติกไปขายด้วยตัวเอง บางทีอาจจะต้องขับรถข้ามจังหวัดกว่าจะเจอแหล่งที่รับซื้อขยะรีไซเคิล”

 

“นี่ก็เป็นคำถามเหมือนกัน ถ้าสวัสดิการประเทศเราดี เราควรจะต้องเชื่อใจรถขยะได้สิ แต่ทุกวันนี้เรายังไม่เชื่อใจรถขยะ ไม่มั่นใจว่าเขาแยกขยะจริงไหม ทำให้เราต้องเป็นบ้าหอบฟางล้างพลาสติกเก็บไว้ที่บ้านด้วยความที่ไม่เชื่อใจรถขยะ แต่เชื่อใจซาเล้งมากกว่า นี่เป็นอีก Movement ที่จอยอยากทำเหมือนกัน อยากขออนุญาตไปสำรวจรถขยะหรือไปดูที่โรงงานแยกขยะของกทม.”

 

“นอกจากตัวเองลงมือทำแล้ว การบอกคนใกล้ตัวก็สำคัญ จอยคอยบอกทุกคนในบ้านให้แยกขยะ จากที่เมื่อก่อนไม่แยกขยะกันเลย ก็มีคุณแม่ที่เชื่อเป็นคนแรกและยอมล้างขยะด้วยกันกับเรา หรืออย่างพี่สาวของจอย เมื่อก่อนสั่งของ Delivery มาปุ๊บ โยนพลาสติกทิ้งหมดเลย เราก็ต้องคอยสอนเขาเรื่องล้างพลาสติกแล้วแยกขยะ”

 

“อีกอย่าง คือ จอยเป็นตัวกำจัด Food Waste ประจำบ้าน ด้วยความที่เป็นคนที่กินอะไรก็อร่อยเลยกินอะไรก็ได้ ดังนั้น พอพ่อกับแม่ซื้อของกินเยอะเกินไป เราก็มีหน้าที่ไปเก็บกินให้หมด หรือเวลาไปกินข้าวในโรงอาหารที่โรงพยาบาล จอยจะเลือกกินข้าวราดแกงแทนที่จะเป็นร้านขายอาหารตามสั่ง เพราะถ้าเราไม่กินกับข้าวที่เขาทำใส่ถาดมาแล้ว ถ้ามันเหลือก็จะกลายเป็น Food Waste”

 

“จริง ๆ แล้ว ถ้าจะลดโลกร้อนขั้นสุด ต้องทำกับข้าวเองที่บ้าน แต่ด้วยเวลาที่ไม่อำนวย วิธีแก้ปัญหาของจอยคือ การติดปิ่นโตไปด้วย สำหรับซื้อข้าวใส่ปิ่นโตกลับมากินมื้อเย็นที่บ้าน อีกอย่างคือ จอยเลือกกินอาหารจากแพ็กเกจจิ้ง ถ้าเป็นอาหารในกล่องพลาสติกที่ต้องใช้ช้อนแบบใช้แล้วทิ้ง เราก็เลือกที่จะไม่กิน ทุกวันนี้เลยกินแซนด์วิชที่ห่อในถุงกระดาษเป็นประจำ”

 

“ดังนั้น การบอกว่าแก้ปัญหาโลกร้อนต้องเริ่มที่ตัวเองก่อน จอยว่าชีวิตเราก็ทำได้เท่านี้ที่ว่ามานี่แหละ นอกเหนือไปจากนี้ คือ สิ่งที่รัฐบาลต้องช่วยลดก๊าซเรือนกระจกจากการจัดสรรภาคพลังงานให้ถูกวิธี เชื่อว่าตอนนี้เขาคงทำอยู่ แต่ขออีกค่ะ ขออีก ๆ”

 

ติดตามข่าวคราวความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมในทุกมิติรอบโลกกับหมอจอยได้ทาง Facebook : Too Young to Die

SHARE

facebook
twitter
copy
Related articles / บทความที่เกี่ยวข้อง
Loading...